โรคเรื้อรัง

เรื่อง : และวินจี (ชู่) 
แปล : Numripan

มิตูนั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวและดวงจันทร์ความคิดของเธอกำลังล่องลอยไปกับกลุ่มเมฆที่เคว้งคว้างอยู่บนท้องฟ้าขณะที่แม่ของเธอนั่งฉีกกระดาษเล่นโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเปลวเทียนที่จุดไว้โอนเอนช้าๆ  ไปกับแรงลมที่พัดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า    


ไม่มีใครรู้ว่าแม่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นตั้งแต่ตอนที่ตั้งท้องมิตูหรือหลังคลอดเธอรู้แต่เพียงว่าแม่มีอาการป่วยทางจิตเมื่อเธอเริ่มโตขึ้นสิ่งที่แม่กำลังเป็นอยู่สร้างบาดแผลในใจให้เธอไม่น้อยแม่มักจะเดินไปทุกหนทุกแห่งตามใจชอบเธอต้องคอยตามหาอยู่ตลอดพฤติกรรมของแม่ทำให้ลูกอย่างเธอต้องกุมขมับอยู่บ่อยครั้ง  

มิตูไม่ใช่แค่ลูกแม่ม่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ม่ายที่พ่วงด้วยอาการทางจิต ในชีวิตของเธอไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้นเธอและแม่ได้แต่เอาตัวรอดไปวันๆ มิตูเคยถามแม่ว่า ‘เรามาจากไหน  และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บ้านเกิดของเราอยู่ที่ไหนกันแน่’ แต่แม่ก็ไม่เคยตอบคำถามหรือพูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองเลยแม้แต่ชื่อของมิตูก็ไม่รู้ว่าได้มาจากไหนใครเป็นคนตั้งให้ กระท่อมหลังเล็กๆ โทรมๆ ที่แม่กับมิตูอาศัยอยู่จึงเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สองแม่ลูกมี  

‘พ่อเป็นใคร’ มิตูนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยฝันดีอย่างคนอื่นเขาสักครั้ง แค่เรื่องเพ้อฝันเธอก็ยังไม่รู้ว่าจะคิดถึงเรื่องอะไรดีมิตูได้แต่บอกตัวเองว่า โทษใครไม่ได้ที่เกิดมาเป็นแบบนี้คงเป็นเวรกรรมที่เธอต้องชดใช้ในชาตินี้  

มิตูเห็นแม่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เขตก่อสร้างจึงค่อยเบาใจเธอเดินไปเรียกให้แม่กลับบ้าน    “ฉันกำลังนอนหลับสบายมาปลุกฉันทำไมถึงบ้านแล้วฉันจะตีเธอให้ตายเลย” แม่พูดพลางทำเสียงฟึดฟัดอยู่ในลำคออย่างคนอารมณ์เสียขณะที่มิตูเองคิดในใจเช่นกันว่า ‘หนูก็อยากตายเหมือนกัน’  

แต่พอถึงบ้านเท่านั้นแม่ก็ตะโกนขึ้นมาอีกว่า“ทำไมต้องมาปลุกฉันด้วยมีอะไรกินเรอะเอามาเลย...”     คำพูดกระโชกโฮกฮากของแม่ทำให้มิตูอยากจะตายเสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดแต่เธอก็พยายามควบคุมอารมณ์และหันมายิ้มให้แม่สีหน้าของแม่ในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง เธอหยิบกล้วยสุกลูกเล็กๆสองลูกยื่นให้แม่  

“แม่อย่าไปไหนอีกนะ หนูต้องซักผ้าอีกเยอะเลย”  
“ลูกก็กินกล้วยด้วยสิ” แม่พูดพลางขยับเท้าเดินเข้ามาหามิตูที่กำลังซักผ้าและยื่นกล้วยสุกให้มิตูเธอมองหน้าแม่และอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอกับพฤติกรรมของแม่  
“ลูกอยากร้องไห้หรือ อย่าร้องนะลูก โอ๋ๆๆ เดียวแม่จะร้องเพลงให้ฟังนะ ลูกรีบกินกล้วยสิ”
แม่พูดขึ้นพลางปอกเปลือกกล้วยและเอาเข้าปากทันทีทันใดพร้อมๆกับเริ่มร้องเพลงให้มิตูฟัง  
“ที่รักจ๋ากลับมาหาที่ต้นสะเดาของบ้านเหนือ ลืมสาวเหนือแล้วรึที่รัก....ไหนว่าจะซื้อขนมมาฝากไง หิวแล้วนะ” แม่ร้องเพลงในขณะที่สายตาเหม่อลอยไปไกล  

ตอนเด็กๆมิตูได้ยินเพลงนี้บ่อยมาก เธอมักจะหลับไปบนตักแม่ทุกครั้งที่แม่ร้องเพลงนี้ แต่พอโตขึ้นกลับไม่อยากฟังเพลงนี้อีกต่อไปเพราะไม่อยากเห็นแม่ในสภาพแบบนี้ บ่อยครั้งที่เธอต้องแอบร้องไห้ตอนที่แม่ร้องเพลงนี้     แม่ยังคงกินกล้วยไปและร้องเพลงไปด้วยทว่ามิตูกลับรู้สึกว่ามือไม้อ่อนแรงและเริ่มซักผ้าไม่ไหวเธอรู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ต้องซักผ้าต่อไปโดยทำเป็นไม่สนใจแม่ มิตูรู้ดีว่าถ้าหยุดซักผ้าเธอกับแม่ก็คงไม่มีเงินเพราะอาชีพรับจ้างซักผ้าเป็นสิ่งเดียวที่พอประทังชีวิตของเธอและแม่ได้ในตอนนี้  

ลมแรงพัดโชยเข้ามาในห้องนอนดังหวีดหวิวเสียงกรนของแม่แข่งกับบรรยากาศที่เงียบสงัดแม่กำลังหลับใหลโดยไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้นมิตูทิ้งตัวลงนอนข้างแม่เงียบๆ นับตั้งแต่เธอจำความได้ทุกคืนก่อนนอน เธอมักเสียน้ำตาให้กับความน้อยเนื้อต่ำใจใน ชะตาชีวิตเสมอ  

‘ถ้าพ่อเป็นเหมือนแม่ แม่คงไม่ทิ้งพ่อกับมิตูไว้แน่’ มิตูคิดในใจ ความโกรธแค้นและความน้อยใจแล่นเข้าในสมองทำให้เธอนอนไม่หลับบางครั้งเธอก็แอบคิดเล่นๆว่าวันหนึ่ง พ่ออาจโผล่มาเหมือนในหนังก็ได้ ทว่า ชีวิตจริงไม่เป็นเหมือนในหนังไม่มีใครสามารถกำกับชีวิตให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการได้  

บางครั้งมิตูคิดว่าแม่อาจจำอะไรบางอย่าง ได้เธอเคยถามแม่ไปว่า  “แม่...ตอนแม่เป็นเด็ก แม่อยู่ที่ไหนเหรอ? พ่อของหนูเป็นใคร? คิดให้ดีๆ แล้วค่อยตอบนะแม่เดียวหนูจะซื้อขนมให้แม่กินถ้าแม่ตอบได้”     ทุกครั้งที่ถูกถามแม่ก็มักทำหน้างงๆ และตอบแบบลอยๆว่า“นั่งรถไฟมาหาฉันแดดร้อนมากหิวน้ำด้วยซื้อขนมให้กินด้วยชื่ออะไรนะกูคินหม่อง หรือ เมยะหม่อง สักอย่างนี่แหละ...เรียกฉันว่าที่รักด้วยนะ” แม่พูดพลางทำเสียงหัวเราะคิกคักอยู่ในลำคอเหมือนเด็กๆแต่ไม่ทันไรสีหน้าของแม่ก็มักเปลี่ยนไปก่อนจะพูดว่า“แต่ว่าเขาตบหน้าฉันด้วย”พอพูดจบแม่ก็ร้องไห้โฮออกมาแบบนี้ทุกครั้ง  

“พ่อเธอไปเมืองนอก แต่เขาบอกว่าจะซื้อขนมมาฝากเขาบอกว่าไม่อยากอยู่กับฉันแล้ว เขาบอกแม่ว่าเขาไม่ใช่ควาย เขาตีฉันด้วยนะตอนนี้ฉันไม่ต้องโดนตีอีกแล้ว เขาไปเมืองนอกแล้ว” แม่พูดพลางหันมายิ้มให้มิตู ขณะที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม    ‘ใครกันนะที่กล้าทำกับผู้หญิงสติไม่ดีได้ลงคอแม่เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุดและชีวิตของมิตูก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแม่’ มิตูพูดกับตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอ  

“ครอบครัวของเธอมากับรถสามล้อน่ะย้ายมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกันตอนนั้นเธออายุประมาณสามขวบเองกระท่อมที่เธอกับแม่อยู่ตอนนี้ก็มีคนสร้างให้เพราะสงสารพ่อเธอรูปหล่อเอาการเชียวเขาออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาตอนหัวค่ำแต่บางครั้งก็ไม่กลับบ้าน แม่เธอเป็นคนสวยมากนะแต่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเวลาซักผ้า แม่เธอก็ชอบพูดอยู่คนเดียวถามว่าพูดอะไร ก็จะยิ้มอย่างเดียว”  

“มีอยู่วันหนึ่งแม่เธอไปรับจ้างซักผ้าที่บ้านหลังหนึ่งแต่อยู่ๆก็เอาเสื้อผ้าที่จะซักไปทิ้งเรี่ยราดบนถนนโชคดีที่มีหมอคนหนึ่งให้แม่เธอกินยาและให้กลับบ้านตอนนั้นเธออายุแค่เก้าขวบ สิบขวบเอง ฉันว่าอย่างพ่อเธอเนี่ยนะ...ในโลกนี้คงไม่มีอีกแล้วแต่ก็อย่ามองพ่อในด้านลบเลยนะดูแลแม่ของเธอให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เธอเป็นคนที่น่าสงสารมาก”     นี่คือคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้านเรื่องของแม่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีใครรู้และไม่มีใครพูดถึงอีกมิตูอยากรู้ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้เธอแต่ก็ไม่มีใครรู้เธอจึงพยายามไม่คิดอะไรอีกได้แต่ก้มหน้ารับจ้างซักผ้าไปวันๆเพื่อหวังจะได้เงินมาเลี้ยงดูแม่ต่อไป  

‘คนๆ หนึ่งละเลยหน้าที่จนทำให้คนสองคนต้องลำบาก’ มิตูคิดอยู่ในใจลึกๆพลางหันไปมองแม่ที่กำลังเล่นถุงพลาสติกและขวดอยู่บางครั้งเธอก็อยากจะระบายกับใครสักคน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเล่าให้ใครฟังแม้บางครั้งก็อดน้อยใจต่อโชคชะตาไม่ได้แต่เธอก็คิดว่าอย่างน้อยก็ยังโชคดีกว่าคนที่กำพร้าแม่เพราะเธอยังได้สัมผัสถึงความรักจากแม่  

ธรรมชาติได้สรรค์สร้างพระจันทร์ให้ส่องแสงสว่างอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยก แต่สองแม่ลูกกลับเหมือนอยู่ในโลกที่มืดมิด สายลมเย็นๆ กระทบผิวกายของมิตูเป็นระยะๆ แต่ความ ร้อนที่อยู่ในใจกลับไม่เคยจางหายเธอมองดูแม่ที่กำลังนอนหลับสบายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ขณะที่เธอไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้  

“มิ ตูจ๋า พี่เห็นแม่เธอออกไปข้างนอกน่ะตามไปดูหน่อยสิ”  มะยีเอตะโกนบอกมิตูขณะที่เธอกำลังไปรับจ้างซักผ้าที่บ้านหลังหนึ่ง  

“กลุ้มใจจริงๆ แม่นะแม่” มิตูบ่นในใจแล้วออกไปหาแม่ตามหมู่บ้าน  
“เห็นแม่หนูไหมๆๆ” ทุกคนต่างส่ายหน้าให้กับมิตูเธอเริ่มกังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆคราวที่แล้วก็ครั้งหนึ่งที่แม่หายไปแต่เช้าแต่พอตอนเที่ยงแม่ก็กลับมาเองตอนนั้นมิตูก็โกรธแม่มากและดุแม่ไปว่า‘แม่ไปไหนมา ทำไมไม่บอกหนูว่าจะออกไปข้างนอกหนูบอกแล้วไงว่าถ้าหนูไม่อยู่แม่อย่าออกไปไหน’  

เธอจำได้ว่าในตอนนั้นแม่ตอบด้วยเสียงอ่อยว่า‘แม่ไปทำงานมานี่ขนมของลูกที่แม่ซื้อมาฝากไง’มิตูได้ยินอย่างนั้นจึงรู้สึกเสียใจที่ดุแม่ไป แต่บางครั้งแม่ก็ออกไปตอนกลางคืนครั้งหนึ่ง แม่หายไปจากกระท่อมตอนกลางคืนมิตูออกไปตามหาแม่และได้เจอกับยามคนหนึ่งจึงขอให้ช่วยตามหา แม่จนพบคืนนั้นยามขู่แม่ไม่ให้ออกไปเที่ยวตอนกลางคืนแม่กลัวจนถึงทุกวันนี้และไม่เคยออกไปไหนตอนกลางคืนอีกเลย  

มิตูเดินหาแม่จนเจ็บเท้าไปหมดแล้วเธอวิ่งไปที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้กับเขตก่อสร้าง และเห็นแม่นอนอยู่อย่างสบายอารมณ์ ด้วยความเหนื่อยล้าและกังวลใจมิตูจึงรีบปลุกและคว้ามือแม่ลุกขึ้นอย่างแรงแม่โกรธเหมือนทุกครั้งและถามมิตูว่า “ผัว...ผัว...ผัวฉันหายไปไหนแล้ว เธอไปเรียกให้ฉันเดี๋ยวนี้”  
“ผัวไหนแม่ไม่เห็นมีใครเลย ลุกขึ้นเถอะอย่ามานอนบนถนนเลยนะแม่” มิตูพูดพลางจูงมือแม่ลุกขึ้นเมื่อทั้งสองมาถึงกระท่อมมิตูบอกแม่อีกครั้งว่า“แม่อย่าออกไปข้างนอกอีกนะ เวลาที่แม่ไม่อยู่ในบ้านหนูเป็นห่วงแม่มาก ถ้าแม่ออกไปข้างนอก หนูจะไม่ซื้อขนมให้แม่อีกแล้วนะ”  

แม่ไม่ได้รับปาก แต่พูดขึ้นมาทันทีว่า“ไหนว่ามีขนมให้แม่กิน เอามาสิ”  “ถึงเวลากินข้าวแล้ว ล้างมือเถอะนะแม่อยากกินปลาไม่ใช่รึหนูซื้อปลามาให้แม่ กินนะ”  
สีหน้าบึ้งตึงของแม่เริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “จ้า..จ้า..แม่รู้แล้ว” แม่พูดก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ มิตูรู้สึกสบายใจขึ้นที่แม่อยู่ในบ้านกับเธอ แต่อยู่ๆ แม่ก็หัวเราะและพูดออกมาว่า  “ผัวฉันซื้อน้ำหวานให้ฉันกิน” “ผัวที่ไหน” มิตูรีบถามแม่ทันที “ก็ผัวฉันไง” แม่ตอบ

‘มิตู แม่ของเธอน่ะยังสาว อย่าปล่อยให้แม่ไปไหนไกลล่ะ’ มิตูฉุกคิดถึงคำพูดของป้าทวยข่ายที่เคยเตือนไว้ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกแข็งไปทั้งตัวราวกับว่าเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายหยุดเดินไปชั่วขณะสิ่งที่แม่พูดบวกกับคำเตือนของป้าทวยข่ายทำให้มิตูเริ่มกังวลว่าอาจเกิดเรื่องมิดีมิร้ายกับแม่ในช่วงที่แม่หายไป ในขณะที่แม่กำลังชี้มือชี้ไม้ไปบนท้องฟ้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น.