บทสัมภาษณ์ : “สิทธิของผู้หนีภัยความตาย”จากมุมมองนักวิชาการด้านสิทธิ

แม้ว่าตลอดเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีผู้หนีภัยความตายจากประเทศพม่าเข้ามาอาศัยจำนวนหลายแสนคน แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ ลงนามเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย ทำให้การให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัย ความตายในประเทศไทยไม่ได้ดำเนินไปตามมาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังคงขาดความเข้าใจในเรื่องสิทธิของผู้หนีภัยความตายจนนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือละเมิดสิทธิผู้หนีภัยความตาย สาละวินโพสต์ ฉบับนี้ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ คุณพงษ์เทพ ยังสมชีพ นักวิชาการผู้มีประสบการณ์ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในระดับสากลและระดับภาคสนามมาช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิผู้หนีภัยความตาย รวมทั้งวิเคราะห์ปัญหาการให้ความช่วยเหลือ ผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในประเทศไทยที่ผ่านมา 


ปัจจุบันคุณพงศ์เทพเป็นนักวิจัยในโครงการวิจัยผลกระทบความไร้รัฐและไร้สัญชาติของเด็ก เยาวชน และครอบครัวในสังคมไทย และนักศึกษาในโครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งเป็นผู้ช่วยภาคสนามของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอชซีอาร์ ประจำพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผู้หนีภัยความตายหมายถึงใคร
ผู้หนีภัยความตาย คือ ผู้หนีภัยที่เกิดกับชีวิต ทั้งภัยโดยตรง และโดยอ้อม ภัยโดยตรง เช่น ภัยจากการสู้รบ ส่วนภัยความตาย โดยอ้อม ผมแบ่งออกเป็นสองประเภท  คือ ภัยความตายทางกายภาพ ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ได้ว่า ถ้าไม่หนีออกมาจากพื้นที่นั้นจะต้องตาย เช่น เมื่อรู้ข่าวว่ามีกองทหารกำลังจะเข้ามาที่หมู่บ้านและมีข้อมูลว่า หากทหารเข้ามาในหมู่บ้านแล้วจะเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้  จึงหนีออกมาก่อนที่ทหารจะมาถึง หรือ กรณีการหนีจากการบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งอันที่จริง การเกณฑ์แรงงานไม่ได้เป็นภัยความตายโดยตรง คือ ถ้าถูกยอมให้เกณฑ์แรงงานไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะไม่ถูกฆ่าตาย แต่ถ้าหากปฏิเสธไม่ยอมทำงาน ก็มีความเสี่ยงที่จะตายได้ หรือ หากถูกบังคับให้ทำงานแล้วหลบหนีออกมาก็มีข้อมูลว่าคนเหล่านี้จะถูกฆ่าตายได้ เช่นเดียวกับกรณีการถูกบังคับเก็บภาษี หรือการข่มขืน ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามก็มีความเสี่ยงที่จะตายได้ นี่เป็นตัวอย่างของภัยความตายทางกายภาพที่เห็นได้ชัด ภัยความตายอีกประเภทหนึ่งคือ ภัยความตายทางจิตใจ เช่น การข่มขืน เป็นต้น

ผู้หนีภัยความตายจากประเทศพม่าที่อยู่ในประเทศไทยแบ่งเป็นกี่กลุ่ม
หากพิจารณาจากฐานคิดนี้ ผมแบ่งประเภทผู้หนีภัยความตายจากประเทศพม่าที่เข้ามาในประเทศไทย 2 กลุ่มใหญ่  ด้วยกันคือ กลุ่มที่อยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราว กับ กลุ่มที่อยู่นอกค่าย  กลุ่มผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายจะได้รับความดูแลจากรัฐบาลไทย ยูเอ็นเอชซีอาร์ เอ็นจีโอทั้งไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 150,000 คน ทั้งหมด 9 ค่าย ในพื้นที่ 4 จังหวัด แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี

อีกกลุ่มหนึ่งคือ ผู้หนีภัยความตายที่อยู่นอกค่าย ถ้าแบ่งกันโดยกว้างจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง คือ กลุ่มที่หน่วยงานราชการของรัฐบาลไทยให้การดูแลอยู่ โดยการให้บัตรสีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ถือบัตรผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า ไม่ว่าจะเป็นสีชมพู สีม่วง รวมทั้งกลุ่มชุมชนพื้นที่สูงสีฟ้า กลุ่มของบัตรเขียวขอบแดง กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะมีผู้หนีภัยความตายปะปนอยู่ด้วย กลุ่มที่สองคือ กลุ่มของแรงงานต่างด้าว ในกลุ่มนี้จะมีคนที่หนีภัยความตายเข้ามาแล้วไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มที่หน่วยงานราชการออกบัตรอนุญาตให้อยู่ ก็จะไปขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานต่างด้าว ส่วนกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในการจัดการอะไรเลย คือ ไม่มีทั้งบัตรสีและบัตรแรงงาน เป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งเอกสารโดยสิ้นเชิงและอยู่ในประเทศไทยเช่นกัน

ผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราว(ในที่นี้จะขอใช้คำว่าค่ายผู้ลี้ภัย) เป็นใครบ้าง
มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย (ปัจจุบันมีเฉพาะค่ายสำหรับชาวกะเหรี่ยงและชาวคะเรนนี) และบุคคลในความห่วงใยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (พีโอซี) หรือ Person of concern to UNHCR (POC) ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่หนีจากภัยการประหัตประหารเข้ามาลี้ภัยในประเทศไทย

ทั้งสองกลุ่มมีแนวทางปฏิบัติเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ในกลุ่มของผู้หนีภัยการสู้รบนั้น รัฐบาลไทยมีแนวความคิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงชาวบ้านที่ตกอยู่ระหว่างการสู้รบของฝ่ายกองทัพรัฐบาลทหารพม่ากับฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบมาลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว โดยอนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) และองค์กรเอกชนการกุศลเข้าไปให้ความช่วยเหลือในปัจจัยพื้นฐานเพื่อการยังชีพ ซึ่งถ้าหากภัยความตายที่เกิดจากการสู้รบหมดไป คนเหล่านี้ย่อมสามารถกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมของพวกเขาได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคู่กรณีที่ดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าโดยตรง นอกจากนี้จำนวนผู้หนีภัยการสู้รบมีจำนวนมากกว่า  150,000 คน จึงมีความจำเป็นที่ต้องควบคุมจำกัดบริเวณในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่คนเหล่านี้ข้ามชายแดนไทยเข้ามา ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการส่งกลับประเทศพม่าเมื่อสถานการณ์อำนวย

ในขณะที่ POC เป็นกลุ่มที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หรือทางการทหารต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าโดยตรง ทางรัฐบาลไทยจึงไม่ประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เป็นทางการ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะหนีภัยความตายจากการถูกประหัตประหารเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม ทางรัฐบาลไทยจึงเปิดโอกาสให้ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ปฏิบัติงานในการให้ความคุ้มครอง โดยทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ได้ประสานงานกับสถานทูตของประเทศต่างๆ เพื่อดำเนินการส่ง POC เหล่านี้ไปตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สาม และทางรัฐบาลไทยได้อนุญาตออกวีซ่าเพื่อให้ POC เหล่านี้เดินทางออกนอกประเทศไปได้ นอกจากนี้ทางรัฐบาลไทยยังต้องการให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ดำเนินการส่ง POC เหล่านี้ไปประเทศที่สามทั้งหมด เพื่อลดจำนวนของ POC ในประเทศไทย ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ใช้เทคนิควิธีทางการทูตในการประสานเชื่อมโยงกับประเทศพม่าว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าในประเทศไทย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยจำเป็นต้องประสานงานทางการทูตกับประเทศต่างๆ ที่มีความห่วงใยต่อกลุ่ม POC ในประเทศไทย ปัจจุบัน ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้อยู่ที่ศูนย์ถ้ำหิน จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อรอการส่งไปประเทศที่สาม

สิทธิของผู้หนีภัยความตายในประเทศไทยเป็นอย่างไร
ผมขอพูดโดยภาพรวมกว้างๆ ก่อนว่า สิทธิของผู้หนีภัย ความตายตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นอย่างไร ปฏิญญา สากลที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงกติการะหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีได้ให้สิทธิต่าง ๆ กับมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสิทธิในการดำรงชีวิต  สิทธิในการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สิทธิในการทำงาน สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิในการศึกษา สิทธิในการมีสถานะบุคคล สิทธิในการมีเอกสารพิสูจน์ตน สิทธิเหล่านี้มีอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ ในอีกส่วนหนึ่งก็คือ กฎหมายไทย ถ้าพูดโดยกว้างก็คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิความเท่าเทียมกันเอาไว้ และกระทรวงต่างประเทศของไทยก็พูดไว้ชัดเจนว่า สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยไม่เลือกปฏิบัติ ทุกคน เท่าเทียมกันไม่ว่าจะมีสถานะบุคคลที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ในส่วนของกฎหมายไทย เช่น ประมวลกฎหมายอาญาก็ให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตของบุคคลเท่ากันไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ถ้าถูกทำร้ายร่างกายก็สามารถที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้และได้รับการคุ้มครองเช่นกัน ในส่วนของกฎหมายหรือนโยบายของรัฐฉบับอื่น ๆ ด้วย เช่น เรื่องสิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิทางการศึกษา ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยก็ได้ให้สิทธิต่าง ๆ เหล่านี้อย่างทั่วถึงโดยไม่จำกัดสถานะบุคคลตามกฎหมาย นี่ผมพูดในลักษณะทั่วไปว่า สิทธิโดยทั่วไปของผู้หนีภัยความตายมีอะไรบ้าง

คุณคิดว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไม่เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย 
หากยึดตามคำอธิบายของหน่วยงานภาครัฐก็คือ การเข้าเป็นภาคีจะทำให้รัฐไทยผูกมัดตัวเองในการปฏิบัติตามการทำงานหรือนโยบายขององค์กรระหว่างประเทศในเรื่องผู้ลี้ภัยของยูเอ็นเอชซีอาร์ เพราะไทยมีภาระผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามและในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยมีสิทธิต่าง ๆ ที่ให้กับผู้ลี้ภัย ซึ่งทางรัฐไทยดูว่ายังไม่เหมาะสม เช่น การได้สิทธิเท่าเทียมกับประชาชนของรัฐนั้น ซึ่งรัฐไทยมองว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเข้าเป็นภาคีจึงอาจมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะผลดีคือ จะทำให้รัฐไทยได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่า เป็นประเทศที่มีสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานหลักสากล แต่ผลเสียคือรัฐไทยต้องผูกมัดตนเองว่าต้องดูแลผู้ลี้ภัยตามมาตรฐานสากลตลอดไป

ถ้ารัฐไทยเป็นภาคีจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ลี้ภัยหรือไม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน งบประมาณที่ใช้ดูแลผู้ลี้ภัยประมาณ 150,000 คน ที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องอาหาร ที่พัก การรักษาพยาบาล การศึกษา เสื้อผ้า การดูแลจัดการภายใน รวมถึงเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐในการให้ความช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัย โดยที่องค์กรต่าง ๆ รวมทั้งยูเอ็นเอชซีอาร์ให้การสนับสนุนผ่านทางกระทรวงมหาดไทย ถ้าพูดถึงภาระที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในเรื่องของงบประมาณมีน้อยมาก ดังนั้น ถ้าไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่าย เพราะที่ผ่านมารัฐไทยก็ไม่ได้รับภาระตรงนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า การมีผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยนั้นเป็นภาระของประเทศในเรื่องของพื้นที่และสิ่งแวดล้อม ตรงนี้เป็นภาระที่จะต้องยอมรับ

ถ้าเป็นภาคีแล้วผู้ลี้ภัยจะต้องได้รับสิทธิอย่างไรบ้าง
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ตัวกฎหมายแม่บท คือตัวปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตัวกฎหมายสิทธิมนุษยชน ฉบับอื่น  ก็จะต้องใช้ฐานคิด คือ ความเท่าเทียมกัน เมื่อผู้ลี้ภัย ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน จึงไม่ได้มีความแตกต่างที่ผู้ลี้ภัยจะได้สิทธิต่างๆ เช่นเดียวกับประชาชนในรัฐนั้น เช่น สิทธิการเดินทางโดยเสรี ในประเทศและหากต้องการเดินทางไปต่างประเทศ รัฐที่ดูแลผู้ลี้ภัยอยู่ก็ต้องออกเอกสารเดินทางให้ รวมไปถึงสิทธิทางการศึกษาและสิทธิอื่น ๆ ก็ต้องเท่าเทียมกัน

คุณคิดว่า ประเด็นเรื่องการให้สิทธิเท่าเทียมกันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐไทยไม่ต้องการเป็นภาคีหรือไม่
ผมคิดว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจมากกว่า หากเปรียบเทียบวิธีปฏิบัติของรัฐไทยต่อผู้หนีภัยความตายที่ผ่านมาเราจะพบว่า ผู้หนีภัยความตายแต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิที่แตกต่างกันไป ลองยกตัวอย่างเรื่องสิทธิในการทำงาน ผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายไม่ได้รับสิทธิในการให้ทำงาน ส่วนผู้หนีภัยความตายที่อยู่นอกค่าย ถ้าอยู่ในกลุ่มของผู้ถือบัตรชาวเขาก็จะได้รับอนุญาตทำงานในพื้นที่ที่จำกัด ส่วนกลุ่มผู้ถือบัตรแรงงานต่างด้าวจะได้ทำงานได้ในหลายพื้นที่มากกว่ากลุ่มผู้ถือบัตรชาวเขา แต่จำกัดประเภทของงาน  ส่วนผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน คราวนี้ เราลองมาพิจารณาดูว่า ถ้ารัฐไทยให้สิทธิการทำงานกับผู้ที่อยู่ในค่าย รัฐไทยต้องเสียอะไรบ้าง ทุกวันนี้มีผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายประมาณ 150,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นเด็กและคนแก่ซึ่งไม่ออกมาทำงานอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือเจ็ดถึงแปดหมื่นคนที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งสามารถออกไปทำงานได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะออกไปทำงานเพราะเขาต้องดูแลเด็กๆ  ดังนั้น หากผู้ใหญ่ออกไปทำงาน อาจมีเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง คือ สามสี่หมื่นคน การที่เรามีคนสามสี่หมื่นคนเพิ่มเข้าไปในตลาดแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย จะถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก นี่ก็เป็นตัวอย่างการพิจารณาเรื่องการให้สิทธิต่างๆ กับผู้หนีภัยความตายว่า จริง  แล้วอาจไม่ได้เป็นภาระกับประเทศไทยอย่างที่
กังวลใจเลย และงานวิจัยหลายชิ้นก็ชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้หนีภัยความตายที่จะออกไปทำงานจริงๆ มีน้อยมาก

ในทางกลับกัน การห้ามไม่ให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายออกไปทำงานมีผลเสียบ้างหรือไม่
ผมคิดว่า ปัญหานโยบายของรัฐไทยสำหรับผู้ลี้ภัยในค่าย คือ ในตอนแรกที่เริ่มตั้งค่าย รัฐไทยคาดว่าผู้ลี้ภัยจะอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปีเท่านั้น พอเหตุการณ์สู้รบสงบลงก็จะส่งกลับไป แต่จนถึงปัจจุบัน บางค่ายอยู่กันเป็นสิบยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่ได้กลับเพราะสงครามยังไม่สงบ แต่ปัญหาก็คือนโยบายของรัฐไทยยังเป็นนโยบายสำหรับการอยู่ชั่วคราวเหมือนเดิม โดยไม่ได้พัฒนากรอบความคิดว่า การที่เอาคนมากักเอาไว้เป็นระยะสิบยี่สิบปีจะทำให้เกิดผลเสียกับมนุษย์อย่างไร เด็กที่เกิดและโตในค่ายผู้ลี้ภัยไม่มีโอกาสได้ทำงานเหมือนคนทั่วไป เพราะฉะนั้น ชีวิตเขาโตขึ้นมาก็เรียนหนังสือโดยที่ไม่รู้ ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร จบมาแล้วก็ไม่มีงานทำ มีชีวิตอยู่ไปวัน  ส่วนผู้ใหญ่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน ตรงนี้มีผลต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์อย่างมาก เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน เมื่อไม่ได้ทำงาน คุณค่าของเขาก็ลดน้อยลง ความรู้สึกของเขาในการอยู่ไปวัน  ไม่ได้ทำอะไร ชีวิตผ่านไป ตรงนี้ทำให้ระดับสากลมีแผนการรณรงค์ออกมาต่อต้านการนำมนุษย์มาเก็บเอาไว้ในคลังสินค้าโดยไม่ได้ทำอะไร เพราะเป็นการจำกัดสิทธิของความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ก็ทำให้ชีวิตคนจำนวนเป็นแสนคนถูกตัดขาดจากการพัฒนาไป ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อตัวของเขาเองและคนรุ่นถัดไปด้วย

รัฐไทยมีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถกลับไปดำรงชีวิตอยู่ในบ้านเกิดของเขาบ้างหรือไม่
ผมคิดว่า รัฐไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าที่ควร แม้ว่ารัฐไทยจะบอกว่า อยากให้ผู้หนีภัยการสู้รบกลับไปยังประเทศของตนเองเมื่อสงครามสงบ แต่กลับไม่มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องทักษะการทำงานหรือการดำรงชีพให้กับผู้ลี้ภัยเหล่านี้เลย ลองคิดดูว่า คนที่อยู่ในค่ายโดยไม่ได้ทำงานมาเป็นเวลาสิบปียี่สิบปี อยู่  จะให้เขากลับไปทำงาน เขาก็ลืมเรื่องทักษะการทำงานไปหมด จะให้ไปทำนาก็ลำบากแล้ว ยิ่งถ้าพูดถึงเด็กที่เกิดและเติบโตในศูนย์มาเป็นเวลาสิบปียี่สิบปี และถูกห้ามไม่ให้ทำงานมาโดยตลอด  แล้วเราคาดหวังว่าจะให้เขากลับไปทำงานในบ้านเกิดของเขา มันก็ดูจะเป็นความคาดหวังที่เลื่อนลอย เพราะฉะนั้น นโยบายเรื่องนี้มันขัดกัน อยากจะให้กลับ แต่ก็ไม่ได้เตรียมทักษะที่ช่วยให้กลับไปดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างเช่น โครงการฝึกอาชีพในค่าย พอฝึกเสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ บางคนเรียนซ่อมเครื่องยนต์ พอจบหลักสูตรสามเดือน ก็ไม่รู้จะนำความรู้ไปใช้ที่ไหน เพราะถูกห้ามไม่ให้ทำงานนอกค่าย  ความรู้ต่าง  ก็หายไปทีละน้อย 

สภาพจิตใจของคนที่อยู่ในค่ายที่เคยพบเป็นอย่างไร
เวลาพูดคุยกับคนในค่าย ผมสังเกตเห็นว่า แววตาของเขาไม่มีความฝัน เขาไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เพราะอยู่ในค่ายมาสิบปียี่สิบปีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้นกับชีวิตเขา เหมือนคนอยู่ไปวันๆ แล้วมันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกท้อแท้และหมดหวังในชีวิตเพราะมองไม่เห็นทางออก เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประเทศตัวเอง ก็มองไม่เห็นว่าจะพัฒนาดีขึ้น จะกลับไปก็ไม่รู้จะกลับได้เมื่อไหร่ อยู่ในประเทศไทยก็ต้องอยู่ในสภาพที่อยู่ในค่ายอย่างนั้น

บางคนมองว่า ผู้ลี้ภัยไม่อยากกลับบ้านเพราะอยู่ในค่ายไม่ต้องทำงานอะไรก็มีข้าวกินทุกวัน คุณเห็นด้วยไหม
ผมคิดว่าเราคงต้องนึกถึงสุภาษิตที่ว่า
เอาใจเขามาใส่ใจเราลองเอาคนที่พูดไปอยู่ในค่าย แล้วได้รับความช่วยเหลือ เป็นข้าวสาร ถั่วเหลือง กะปิ น้ำมัน ทุกวัน แล้วก็ต้องอยู่ในนั้นตลอด ห้ามทำงาน ห้ามออกไปข้างนอก จะอยู่ได้นานแค่ไหน แล้วเขาจะรู้สึกยังไงที่ต้องอยู่ในสภาพอย่างนั้น เขาจะยังมีความสุขอยู่ไหมว่ามีคนเอาอาหารเหมือนเดิมมาให้กินทุกวัน แล้วไม่ได้เป็นอาหารที่คนทั่วไปกิน ไม่มีผัก หมู ไก่  ส่วนข้าวสารที่ได้รับบริจาคก็เป็นข้าวคุณภาพต่ำมาก

เราควรมีกลไกในการช่วยเหลือผู้หนีภัยความตายอย่างไร
ผมแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือ กลไกทางกฎหมาย ส่วนที่สองคือ กลไกทางการเมือง ส่วนที่สามคือ กลไกทางสังคม

ส่วนแรก กลไกทางกฎหมาย คือ กลไกกฎหมายระหว่างประเทศ และกลไกกฎหมายไทย ซึ่งตรงนี้ กลไกกฎหมายระหว่างประเทศ ในส่วนของกฎหมายผู้ลี้ภัย ทางยูเอ็นเอชซีอาร์เป็นผู้ถือ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับอื่น ๆ ซึ่งมีกลไกในตัวเอง ส่วนกลไกทางกฎหมายของไทย เรื่องสิทธิในการได้รับความคุ้มครองทางชีวิตร่างกายก็มีกลไกให้ความคุ้มครองอยู่ แต่กลไกต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการให้ผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในประเทศไทยได้รับสิทธิต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เนื่องจากกลไก

ในการที่ทำให้กฎหมายสามารถบังคับใช้ในทางปฏิบัติยังมีปัญหา  เหมือนสำนวนที่ว่า
กฎหมายดี แต่ต้องมีผลบังคับใช้”  เช่น เรื่องการคุ้มครองสิทธิจากการถูกละเมิดทางร่างกาย กลไกทางกฎหมายก็มีอยู่ แต่กลไกที่จะทำให้กฎหมายบังคับใช้ยังมีปัญหา เช่น ถ้าผู้หนีภัยความตายถูกข่มขืน กลไกทางกฎหมายไทยมีการให้ความคุ้มครองตรงนี้ โดยหากไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องส่งอัยการฟ้องเพื่อจับกุมดำเนินคดี แต่ว่ากลไกที่จะบังคับใช้ยังมีปัญหาอยู่ตรงที่ หากผู้หนีภัยความตายถูกข่มขืนแต่ไม่มีบัตรประจำตัวอะไรเลย เมื่อเดินทางไปแจ้งความก็จะถูกกลไกของกฎหมายเข้าเมืองอีกฉบับหนึ่งควบคุมไว้ ทำให้ถูกจับในฐานผู้หลบหนีเข้าเมืองก่อนที่จะแจ้งความว่าถูกข่มขืน นี่เป็นตัวอย่างของกฎหมายดี แต่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง

ส่วนที่สอง คือ กลไกทางการเมือง ทั้งกลไกทางการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ เช่น องค์กรระหว่างประเทศต่าง  องค์กรการกุศล ชุมชนระหว่างประเทศที่ช่วยผลักดันนโยบายของผู้ลี้ภัย การที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของชุมชนระหว่างประเทศตรงนี้ก็มีทั้งปัจจัยผลักและดึงดูดให้กลไกทางการเมืองระหว่างประเทศที่รัฐไทยต้องมีบทบาทอยู่จะดำเนินไปอย่างไรในการที่จะทำให้เกิดผล ส่วนกลไกทางการเมืองในประเทศนั้นก็มีผลอย่างมากทั้งกลุ่มผู้หนีภัยความตายที่อยู่ในค่ายและนอกค่ายด้วย เช่น กลไกทางการเมืองภายในประเทศมีผลต่อสิทธิของผู้ถือบัตรสีต่าง ๆ ว่าจะได้รับการพัฒนาสิทธิของตนเองอย่างไร

ส่วนที่สาม คือ กลไกทางสังคม ผมคิดว่ามีผลมากทีเดียว ผมแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก คือ สื่อมวลชน มีส่วนสำคัญที่จะทำให้สังคมโดยทั่วไปเข้าใจและมีทัศนคติต่อผู้หนีภัยความตายอย่างไร ซึ่งส่งผลอย่างมาก ต่อการทำให้ผู้หนีภัยความตายได้รับสิทธิหรือไม่ได้รับสิทธิ กลุ่มที่สอง คือ นักวิชาการ ก็มีผลในการสร้างองค์ความรู้ที่สื่อสารออกไปสู่สังคม ทำให้สังคมมีความเข้าใจหรือมีทัศนคติต่อผู้หนีภัยความตายอย่างไร  กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มสังคมโดยทั่วๆไป ผมขอแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของกลไกทางสังคมของประชาชนทั่วไป กับ กลไกทางสังคมในภาคธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันมีผลอย่างมากต่อการให้สิทธิของผู้หนีภัยความตายในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มาลงทะเบียน เนื่องจากภาคธุรกิจต้องการแรงงานในส่วนนี้ และประเทศไทยก็ต้องมีภาคธุรกิจเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทำให้รัฐบาลไทยยอมให้สิทธิต่าง ๆ กับกลุ่มแรงงานต่างด้าวมากขึ้น เช่น สิทธิในการทำงาน การอยู่อาศัย การรักษาพยาบาล การศึกษา ตรงนี้ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่มีผลต่อการให้สิทธิแก่ผู้หนีภัยความตาย
มากขึ้น เพราะฉะนั้น สิทธิสามารถเปลี่ยนได้ตามปัจจัยที่ผลักดัน


ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยมีการพิสูจน์ว่าใครคือผู้หนีภัยความตายบ้างหรือไม่
มีสามแบบ แบบแรกคือ กลุ่มของผู้หนีภัยความตายที่ชัดเจนที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราว และ กลุ่มผู้ถือบัตรสีต่าง  ซึ่งรัฐไทยให้หลังจากมีคนหนีเข้ามาในเมืองไทยตามเหตุการณ์ต่าง  เช่น บัตรสีชมพูของผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าที่เข้ามาก่อนปี พ.ศ. 2513 เป็นต้น ตรงนี้ก็เป็นเกณฑ์อย่างหนึ่งของการพิสูจน์สถานะผู้หนีภัยความตาย 
แบบที่สองก็คือ เกณฑ์ของทางยูเอ็นเอชซีอาร์ ในเรื่องการพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย
ในกลุ่มของนักศึกษาพม่า ตรงนี้ก็มีการพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัย  หรือในกลุ่มของผู้หนีภัยการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตรงนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ต้องพิจารณา
แบบที่สาม คือ เป็นเกณฑ์ที่เราเรียกเป็นศัพท์เทคนิคว่า Provincial Admission Board หรือ PAB คือ คณะกรรมการระดับจังหวัดที่ทำการพิจารณาสถานภาพผู้หนีภัย ในเกณฑ์นี้เองก็มีการพัฒนาต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 รัฐไทยกับยูเอ็นเอชซีอาร์ตกลงกันว่าจะใช้ PAB ในการกลั่นกรองคนโดยใช้เกณฑ์อยู่สองเกณฑ์ คือ เกณฑ์ของผู้หนีภัยการสู้รบ และ เกณฑ์ผลกระทบของการสู้รบ แต่ตอนหลังเหลือเกณฑ์แรกเพียงเกณฑ์เดียว ส่วนแกณฑ์ผลกระทบของภัยการสู้รบไม่ให้ใช้ ในเวลาต่อมา รัฐไทยได้ยกเลิกกระบวนการพิจารณาสถานภาพของยูเอ็นเอชซีอาร์ เพราะต้องการดำเนินการเอง ซึ่งตรงนี้ยูเอ็นเอชซีอาร์ก็มีความยินดี เพราะว่าจริงๆ แล้วตรงนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐเจ้าของประเทศที่จะทำ ตอนแรกที่ยูเอ็นเอชซีอาร์มาทำเพราะรัฐไทยไม่ได้ทำ ดังนั้น จากกระบวนการของ PAB ซึ่งเคยพิจารณาเฉพาะผู้หนีภัยการสู้รบเท่านั้น ก็ขยายเพิ่มเป็นผู้หนีภัยทางการเมืองด้วย คือ รวมเอาเกณฑ์ยูเอ็นเอชซีอาร์เข้าด้วย ตรงนี้ก็เป็นเกณฑ์อีกอย่างหนึ่งที่จะใช้พิจารณาผู้หนีภัยความตาย

งานของยูเอ็นเอชซีอาร์ในเมืองไทยดูแลในส่วนไหนบ้าง
ถ้าดูตามข้อตกลงกับรัฐบาลไทยคือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ให้ความช่วยเหลือคนที่อยู่ในค่ายเท่านั้น  โดยมีจุดประสงค์มุ่งไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการส่งกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ หรือการส่งไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม และความช่วยเหลืออื่น ๆ ระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย นี่เป็นบทบาทกว้าง ๆ สำหรับผู้หนีภัยความตายในประเทศไทย

ยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยนอกค่ายได้เลยใช่ไหม 
ครับ เพราะยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่ได้เป็นองค์กรทางการเมืองและไม่ได้เป็นองค์กรเหนือรัฐ การจะทำอะไรจะต้องให้รัฐเป็นผู้ร้องขอ การที่ยูเอ็นเอชซีอาร์เข้ามาในประเทศไทย รัฐไทยก็ร้องขอให้เข้ามา บอกความต้องการว่าจะให้ช่วยอะไร ในบางครั้งอาจเสนอทางรัฐบาลไทยว่า อยากจะช่วยในเรื่องนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลไทยอยากให้ทำหรือไม่

ตรงนี้ทำให้เป็นข้อจำกัดของการทำงานยูเอ็นเอชซีอาร์หรือเปล่า
ครับ ทุกประเทศเหมือนกัน ตรงนี้ทำให้ผมอยากย้อนกลับไปถึงกลไกที่พูดในตอนแรกว่า จริง ๆ ถ้าเราดูจะเห็นว่ามีความเชื่อมโยงกันในหลายรูปแบบ ถ้าภาคประชาชนมีความต้องการช่วยเหลือผู้หนีภัยความตาย ก็อาจมีวิธีการหรือกลไกที่ทำให้รัฐไทยปรับเปลี่ยนทัศนคติ และทำให้รัฐไทยยอมรับในข้อเสนอของยูเอ็นเอชซีอาร์ในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่นอกค่ายก็เป็นไปได้ รวมทั้งสื่อมวลชนก็มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้รัฐไทยร้องขอให้ยูเอ็นเอ็ชซีอาร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

นโยบายรัฐไทยต่อผู้หนีภัยความตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่าในแต่ละยุคหรือไม่
โดยปกติ เป็นธรรมดาที่รัฐซึ่งมีพรมแดนติดกันจะมีความเกรงใจกันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีรัฐไทยกับรัฐพม่าที่พรมแดนติดกันรวมสองพันกว่ากิโลเมตร ดังนั้น ในเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศ เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ เรื่องของคนที่ข้ามไปข้ามมา การลงทุนในต่างประเทศ ก็มีส่วนสนับสนุนในการวางนโยบายระหว่างประเทศไทย-พม่า เนื่องจากรัฐพม่ามีมุมมองความคิดว่า ต้องการทำให้ประเทศของตนเองสงบโดยการทำให้ประเทศรวมเป็นหนึ่งด้วยการรวมชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มไว้ด้วยกัน โดยที่ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ก็ยังมีกองกำลังติดอาวุธที่ต่อสู้กับรัฐบาลพม่า และผู้หนีภัยความตายก็เป็นกลุ่มที่มีชาติพันธุ์เดียวกันกับกลุ่มที่ยังคงต่อสู้อยู่ในพม่า ดังนั้นก็มีความเชื่อมโยงที่ทำให้รัฐพม่าเชื่อว่า กลุ่มที่รัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยความตายที่เป็นเชื้อชาติกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลพม่า มันก็เหมือนกับทำให้รัฐไทยกับเป็นปฏิปักษ์กับรัฐพม่า ดังนั้น รัฐไทยเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากทางการเมืองระหว่างประเทศเช่นกัน ในขณะเดียวกัน รัฐไทยก็มีหน้าที่เป็นสมาชิกชุมชนระหว่างประเทศ และเป็นรัฐที่มีมนุษยธรรมในการให้ความช่วยเหลือ ตรงนี้เป็นบทบาทที่รัฐไทยต้องเล่นทั้งสองด้าน

ถ้ามองอย่างเข้าใจการเป็นรัฐไทยก็วางตัวลำบากใช่ไหม
ใช่ครับ มีบางคนให้แนวคิดว่า นโยบายปัจจุบันหรือที่ผ่านมาถูกต้องอยู่แล้วคือยึดหยุ่น ไม่ชัดเจน บางคนอาจมองว่ามันควรจะมีกลไกหรือระบบต่าง  ที่ชัดเจน เช่น รับคนเข้ามาอยู่ยังไง แต่ในความชัดเจนตรงนั้นอาจทำให้รัฐเพื่อนบ้าน  ตีความเป็นอย่างอื่นได้ ถ้ามองในแง่ดี การที่รัฐไทยไม่มีนโยบาย ที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยความตายก็อาจเป็นข้อดีในการที่รัฐไทยจะวางตัวระหว่างเพื่อนบ้านและชุมชนนานาประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ความไม่ชัดเจนก็นำไปสู่การถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งสองฝ่ายได้เช่นกัน  

ดีกรีความเข้มข้นของนโยบายขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้นำในรัฐบาลไทยกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าไหม
มีส่วน จริง ๆ มันมีองค์ประกอบมากมาย ผู้นำการเมือง ข้าราชการประจำ บางทีเราจะเห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับประเทศพม่ามีความต่อเนื่องของข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่เป็นคนคิดนโยบาย คือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องความมั่นคงโดยเฉพาะ คือ ทหาร หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีนโยบายสืบทอดกันมา ไม่ว่าข้าราชการการเมืองจะเปลี่ยนไปเช่นไร ทั้งสองฝ่ายก็มีผลและมีบทบาท ขึ้นอยู่กับว่า ในช่วงใดใครจะมีบทบาทหรืออำนาจมากกว่ากัน ตรงนี้ก็จะนำไปสู่นโยบายไทยต่อพม่าในแต่ละยุคว่ามีความแตกต่างกัน

ความแตกต่างกันในแต่ละยุคมีทั้งปัจจัยดึงดูดและปัจจัยผลักดัน อยากให้พูดถึงความแตกต่างระหว่างผู้นำการเมืองไทยแต่ละยุคและนโยบายต่อพม่า
ในมุมมองของผม สมัยของรัฐบาลประชาธิปัตย์จะเคารพหลักการสากลทั่วไป เรื่องสิทธิต่างๆ เมื่อเทียบกับสมัยของไทยรักไทยจะเห็นว่า หลักการต่าง ๆ ยังมีอยู่ ถามว่าผู้หนีภัยความตายในค่ายสมัยประชาธิปัตย์กับไทยรักไทยมีความเป็นอยู่ต่างกันไหม ผมคิดว่าไม่ต่างกัน สมัยนี้ที่คนบอกว่า มีความสัมพันธ์ กับทางพม่าดีมากน่าจะมีผลไม่ดีกับผู้หนีภัยความตายในประเทศไทย แต่เราก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม เพราะเขาก็ไม่ได้ปิดค่ายแล้วส่งคนกลับไป จะว่าไปแล้วเราอาจเห็นตรงข้ามด้วยซ้ำไป เพราะช่วงเวลาต่างกัน ปัจจัยต่างกัน สมัยก่อนหน้านี้จะเห็นว่ารับเฉพาะผู้หนีภัยการสู้รบเท่านั้น ห้ามการศึกษา ฝึกอาชีพ ห้ามไม่ให้ส่งผู้หนีภัยในค่ายไปในประเทศที่สาม ปัจจุบันก็เปลี่ยนไปให้การศึกษามากขึ้น อบรมฝึกอาชีพ ในเรื่องการส่งผู้หนีภัยไปประเทศที่สามก็สามารถทำนโยบายชัดเจนว่าอยากให้มีการแก้ไขปัญหา โดยการแก้ไขปัญหาไม่จำเป็นต้องกลับไปประเทศพม่า เช่น การส่งผู้ลี้ภัยการเมืองจากศูนย์ถ้ำหินไปประเทศที่สาม

แสดงว่าไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงโดยตรงกับนโยบายผู้หนีภัยความตาย
ใช่ เพราะมันมีปัจจัยอื่นที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ขึ้นกับผู้นำรัฐบาล อย่างบางคนโยงเรื่องการกวาดล้างกับความสัมพันธ์ของคุณทักษิณกับพม่า แต่เราก็มองว่าในสมัยคุณชวนก็มีการกวาดล้างเหมือนกัน แต่การกวาดล้างไม่ได้อยู่ ๆ ลุกขึ้นมาทำ แต่มันมีเหตุที่ทำให้ต้องมีนโยบายนั้นออกมา ซึ่งปัจจัยก็มาจากผู้หนีภัยที่อยู่ในเมืองไทยเอง อย่างเช่น หลังจากมีการยึดสถานทูตพม่าในสมัยคุณชวน ก็มีการควบคุมกลุ่มนักศึกษาพม่าอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพราะถ้ารัฐบาลไทยไม่มีนโยบายอะไรโต้ตอบเลยก็คงไม่ได้ 

จริง ๆ แล้วรัฐไทยเองก็ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในประเทศพม่าเช่นกัน ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ดังนั้น ในกลไกหรือปัจจัยบางอย่างที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศพม่าได้ รัฐไทยเองก็คงไม่อยากเห็นกลไกเหล่านี้หมดไป.