อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา โศกนาฎกรรมของผู้พลัดถิ่นภายในและ ผู้ลี้ภัยจากพม่ายังคงมีอยู่เช่นเดิม สิ่งที่แตกต่าง ออกไปมีเพียงจำนวนความถี่ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สูงมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่จำนวนผู้ลี้ภัยที่ เพิ่มมากขึ้นตามมา แม้ว่าผู้ลี้ภัยในยุคแรกๆ ที่ อาศัยอยู่ในประเทศไทยส่วนหนึ่งจะได้อพยพไป อยู่ในประเทศที่สาม แต่ดูเหมือนพื้นที่ในค่าย ผู้ลี้ภัยก็ยังเต็มแน่นจนไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัย กลุ่มใหม่ ๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ชายแดนฝั่งตรงข้ามประเทศไทยจึงเต็มไปด้วยผู้พลัดถิ่นภายในที่พร้อมจะหนีตายมายังฝั่งไทยหากถูกโจมตีอีกครั้ง จนถึงวันนี้ ผู้ลี้ภัยหลายแสนคนที่จากบ้านมานานก็ยังไม่มี โอกาสกลับคืนสู่แผ่นดินแม่ของ ตนเองแต่อย่างใด และยังไม่มีใคร ให้คำตอบได้ว่าอีกนานเท่าไหร่พวกเขาจะได้กลับไป เพราะดูเหมือน โศกนาฎกรรมจะยังคงดำเนินไป เหมือนเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
โศกนาฎกรรมบนสองแผ่นดิน
บนแผ่นดินฝั่งประเทศพม่าในช่วงแปดปีที่ผ่านมา จำนวนผู้พลัดถิ่นภายในและผู้ลี้ภัย ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากโครงการพัฒนาของรัฐบาลทหารพม่า 2 โครงการ คือ โครงการสร้างเมืองหลวงเนปีดอว์ และการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน ทั้งสอง โครงการนำไปสู่การ “เคลียร์” พื้นที่เพื่อเปิดทาง ให้กับการสร้างเมืองหลวง ถนนหนทาง และ สาธารณูปโภค ต่าง ๆ
การ “เคลียร์” พื้นที่ในเขตรัฐกะเหรี่ยง เกิดขึ้นโดยการยืมมือของทหารกะเหรี่ยง DKBA ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่าทำสงครามกับทหารกะเหรี่ยง KNU และประชาชนชาติพันธุ์เดียวกันเอง อาทิ ในช่วงปี 2546-2547 ทหารกะเหรี่ยง DKBA ได้ขยายเข้าไปในแต่ละหมู่บ้านซึ่งเป็นพื้นที่ของทหารกะเหรี่ยง KNU ส่งผลให้เกิดการบังคับใช้ แรงงาน ยึดทรัพย์สิน ขูดรีดภาษี และข่มขู่คุกคาม ผู้คนจำนวนมากจึงต้องอพยพออกจากหมู่บ้าน
TBBC (Thailand Burma Border Consortium) ได้เผยแพร่ตัวเลขในรายงานสำรวจการ พลัดถิ่นฐานภายในประเทศ ในพม่าแถบตะวันออกว่า เฉพาะในปี พ.ศ.2546 มีผู้พลัดถิ่นในรัฐ กะเหรี่ยงถึงกว่า 130,000 คน ในขณะที่ในค่ายพักพิงฝั่งไทยมีผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นอีกกว่าหมื่นคน นอกจากนี้ องค์กรสตรีกะเหรี่ยง หรือ KWO ยังออกรายงานชื่อ “State of Terror” ชี้ชัดว่า กองทัพ พม่าที่มีแผนการให้ทหารละเมิดสิทธิสตรีในรัฐกะเหรี่ยง ครึ่งแรกของปี 2548 มีผู้หญิงและเด็กถูกข่มขืนและฆ่ากว่า 5,000 คน
ต่อมาในช่วงปี 2549 หน่วยบรรเทาทุกข์ Free Burma Rangers หรือ FBR ได้เผยแพร่ภาพ รถบรรทุกในค่ายทหารพม่า และถนนที่สร้างแล้วเสร็จ เพื่อการส่งเสบียงและระดมกำลังกว่า 10 ค่าย ในพื้นที่จังหวัดพะอัน รัฐกะเหรี่ยง พร้อมทั้งภาพชาวบ้านในหมู่บ้านเลอวากว่า 100 คนที่ เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการไล่ยิงของทหารพม่าที่บุกเข้ามาเพื่อยึดพื้นที่สำหรับตั้งค่ายทหาร ชาวบ้านต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า และไม่สามารถเดินทางกลับเข้าไปในหมู่บ้านได้อีก เพราะทหาร พม่าได้ฝังกับระเบิดไว้ทั่วหมู่บ้าน
แม้ว่าก่อนหน้าผู้นำ KNU ได้ร่วมการเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าแต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่ายังคงละเมิดข้อตกลงและยังคงนำกำลังทหาร เคลื่อนไหวในพื้นที่อยู่ ตลอดเวลา จำนวนผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในรัฐกะเหรี่ยงจึงเหมือนเส้นกราฟที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์ ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2552 ชาวกะเหรี่ยงหนีตายเข้ามาฝั่งไทยบริเวณ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก จำนวนกว่า 5,000 ชีวิต เมื่อทหารพม่าสนธิกำลังกับทหาร DKBA เพื่อ ปราบปรามกลุ่ม KNU ให้สิ้นซากก่อนที่จะจัดการเลือกตั้งใหญ่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ผู้ลี้ภัยจำนวนนี้ หน่วยงานไทย ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR TBBC และองค์กรการกุศลทั้งในและนอกประเทศ ได้ให้ความช่วยเหลือให้อยู่ในศูนย์พักพิง ชั่วคราว 3 จุดด้วยกัน คือ ศูนย์บ้านหนองบัว บ้านอุสุทะ และบ้านแม่สลิด ต่อมาในเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางการไทยมีมติให้ส่งผู้ลี้ภัยจำนวนดังกล่าวกลับประเทศ เกิดการเรียกร้องให้ยุติการส่งกลับจากองค์กรสิทธิมนุษยชนกว่า 50 องค์กรเพราะการสู้รบในฝั่งพม่ายังไม่สงบ แต่ในที่สุด ผู้ลี้ภัยกว่า 2,000 คนก็ยังถูกทางการไทยส่งกลับไปในพื้นที่เสี่ยงกับระเบิดโดยอ้างว่า เป็นความสมัครใจของผู้ลี้ภัย
ด้านผลกระทบจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน โดยเฉพาะเขื่อนฮัตจี โดยมีการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้ร่วมทุนและรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้ แม้ว่าการสร้างเขื่อนจะยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ประชาชนในพื้นที่ก็ถูกบังคับและไล่ให้ออกจากพื้นที่ไปแล้วกว่า 2,400 คน (รายงานจาก Karen Rivers Watch ปี 2550) โดยในปี 2552 คณะกรรมาธิการมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีไทย ขอให้ระงับโครงการเนื่องจาก พื้นที่การสร้างเขื่อนมีการสู้รบของทหารกะเหรี่ยง KNU กับทหารพม่าและทหารกะเหรี่ยงDKBA เท่ากับส่งเสริมให้มี การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐกะเหรี่ยงให้เพิ่มสูงขึ้น และไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน จนถึงขณะนี้ได้มีการประกาศชะลอโครงการไว้ก่อน และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อมูลและเสนอความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบในด้านต่างๆ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนและลง พื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่ก็ไม่ได้เป็นการรับรองว่าจะไม่มีการกดขี่ขับไล่ ประชาชนออกจากพื้นที่ เพราะนอกจากเขื่อนแล้ว ยังมีการหวังผลจากธุรกิจจากแร่สังกะสีและ ทองคำที่มีอยู่ในพื้นที่ด้วย
ทางด้านรัฐคะเรนนี รัฐที่เล็กที่สุดในพม่า มีรายงานเมื่อวันที่ 3 เมษายน 51 ว่า พบจำนวน ตัวเลขผู้พลัดถิ่นภายในรัฐคะเรนนีในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 81,000 คน เพิ่มขึ้น 42 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ขณะที่พบว่าจำนวนผู้พลัดถิ่นทั้งหมดคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวน ประชากรในรัฐคะเรนนีทั้งหมด โดยพบว่า 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้พลัดถิ่นเป็นผู้หญิงและเด็ก
ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 51 องค์กรซึ่งทำงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้พลัดถิ่นภายใน (The Norwegian Refugee Council Internal Displacement Monitoring Center - IDMC) ออกรายงานว่า พบผู้พลัดถิ่นทางตอนเหนือ ของรัฐกะเหรี่ยงและทางทิศตะวันออกของภาคพะโคเพิ่มขึ้นกว่า 76,000 คน ระหว่างเดือนตุลาคม ปี 2549 ถึงเดือนตุลาคม ปี 2550 โดยใน รายงานระบุว่า ปัจจุบัน พม่ามีผู้พลัดถิ่นภายในจำนวน 5 แสนคน
ทั้งนี้พบว่า ผู้พลัดถิ่นภายในจำนวน 3 แสนคนอาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวในเขตพื้นที่ของกลุ่มติดอาวุธที่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า ซึ่งพบว่ามีหลากหลายชนกลุ่มน้อย ขณะที่ผู้พลัดถิ่นภายในอีก 1 แสนคนยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า และอีกจำนวน 1 แสนคนถูกต้อน ให้ไปอยู่ในเขตควบคุมของรัฐบาลพม่า โดยสาเหตุที่ผู้พลัดถิ่นภายในเพิ่มขึ้น เนื่องจากการ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากทหารพม่า
เหนือขึ้นไปในเขตรัฐฉาน นอกจากประชาชนชาวไทยใหญ่จะได้รับผลกระทบจากการ สู้รบระหว่างกองกำลังไทยใหญ่ SSA และกองทัพ พม่าแล้ว ยังต้องเผชิญกับผลกระทบจากการ สร้างเขื่อนสาละวินในเขตรัฐฉาน หรือเขื่อนท่าซางเช่นเดียวชาวกะเหรี่ยง โดยรัฐบาลทหารเริ่ม “เคลียร์” พื้นที่โดยตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา รัฐบาลทหารมีนโยบายบังคับโยกย้ายถิ่นฐาน ประชาชนจากเขตชนบทเข้าไปอยู่ภายใต้เขตควบคุมในเมืองจนเป็นเหตุให้มีประชาชนชาว ไทยใหญ่เริ่มอพยพเข้ามาในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมาในปี 2542 รัฐบาลทหารพม่าได้เพิ่มกำลังถึง 10 กองพัน เข้าไปรักษาความปลอดภัย รอบ ๆ บริเวณสถานที่ก่อสร้างเขื่อนท่าซาง ในรัฐฉาน เป็นเหตุให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างมาก ในรายงาน “ใบอนุญาตข่มขืน” ที่กลุ่มเครือข่ายปฏิบัติงานสตรีไทใหญ่ หรือ SWAN ร่วมกับ SHRF ได้ระบุว่า มีผู้หญิงไทยใหญ่รอบๆ บริเวณโครงการเขื่อนท่าซาง ถูกทหารพม่า ข่มขืนกว่า 300 คน ต่อมาในเดือนกันยายนปี 2551 บมจ.เอ็ม ดี เอ็กซ์ (MDX) ยังคงยืนยันที่จะ ดำเนินโครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้าท่าซาง ซึ่งโครงการนี้จะมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมถึง 5 แสนไร่ และ คาดการณ์ว่าต้องอพยพ ชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นคน
หารพม่าบุกเผาทำลายหมู่บ้านในเมืองลายค่า รัฐฉานตอนใต้ เนื่องจากสงสัยว่ามีการสนับสนุน กลุ่มทหารใหญ่ SSA เป็นผลให้มีผู้ไร้ที่อยู่ทันทีกว่า 10,000 คน ชาวบ้านส่วนหนึ่งซ่อนตัวและใช้ชีวิตอยู่ในป่า อีกส่วนอาศัยวัดเป็นที่พักพิง และจำนวนกว่าพันคนหนีเข้ามาในประเทศไทย บริเวณชายแดนด้าน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จากสถิติในช่วงปี 2545-2547ลำพังบริเวณชายแดน อำเภอไชยปราการ ฝาง และแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีชาวไทยใหญ่เดินทางเข้าสู่ไทยเฉลี่ย เดือนละ 1,000 คน โดยชาวบ้านเหล่านี้มาจากเมืองลายค่า เมืองนาย เมืองกึ๋ง และอีกหลายเมือง ซึ่งเป็นเมืองที่ทหารพม่าเข้าปฏิบัติการในพื้นที่
เนื่องจากประเทศไทยไม่มีนโยบายเปิดรับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ ผู้พลัดถิ่นส่วนใหญ่จึงอาศัย อยู่ในประเทศไทยในฐานะแรงงานต่างด้าว จนกระทั่งปี 2545 ประเทศไทยเพิ่งเริ่มเปิดศูนย์ พักพิงชั่วคราวให้กับผู้ลี้ภัยชาวใหญ่จำนวนไม่ถึงพันคนบริเวณชายแดนอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับการช่วยเหลือด้านปัจจัยพื้นฐานจากองค์กร TBBC แต่เนื่องจาก ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยกับ UNHCR จึงขาดโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือเทียบเท่ากับผู้ลี้ภัยที่ได้รับการจดทะเบียน อาทิ โอกาสในการเดินทางไปประเทศที่สามหากไม่มีสามารถกลับไปยังบ้านเดิมของตนได้อีก
นอกจากจะมีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นบริเวณชายแดนไทยพม่าแล้ว ยังมีผู้ลี้ภัยอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มีชายแดนติดกับพม่าอย่างจีน อินเดีย มาเลเซีย และบังกลาเทศ
เดือนสิงหาคมปี 2552 ทหารพม่าบุก โจมตีกลุ่มหยุดยิงโกก้าง หรือ MNDAA ในพื้นที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือรัฐฉานตอนบน มีชายแดนติดกับจีน มณฑลยูนานและยึดพื้นที่ ได้ ซึ่งเป็นการทำลายข้อตกลงหยุดยิงที่ดำเนินมานาน 20 ปี ทำให้มีชาวโกก้างอพยพหนีเข้า ไปยังจีนเกือบ 3 หมื่นคน โดยจีนได้ตั้งศูนย์อพยพชั่วคราวรองรับผู้หหนีภัยดังกล่าว และใน เดือนกันยายนได้ส่งกลับผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้โดยอ้าง ว่าสถานการณ์การสู้รบได้ยุติลงแล้ว
ต้นปี 2552 ผู้ลี้ภัยอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก คือ ผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงยา หลังจากมีรายงานข่าวว่า ทหารไทย ปล่อยให้พวกเขาลอยเคว้งคว้างอยู่บนเรือ ต้องเผชิญความอดอยากอยู่กลางทะลึก แม้ไม่มี สงครามในพื้นที่รัฐอาระกันซึ่งเป็นที่อยู่ของ ชาวโรฮิงยาแต่รัฐบาลพม่าก็ไม่เคยยอมรับว่า คนกลุ่มนี้เป็นประชาชนของพม่า พวกเขาจึงมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ อาศัยอยู่ในพม่าเพียงชั่วคราว ภายหลังเรื่องราว ความลำบากในแผ่นดินเกิดของพวกเขาถูก เปิดเผย UNHCR จึงเสนอให้มีจัดตั้งค่าย ผู้ลี้ภัยในจังหวัดระนอง แต่เกิดการต่อต้านจาก ประชาชน ในจังหวัดระนองเนื่องจากไม่ต้องการให้มีการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในจังหวัดของตนเอง ปัจจุบันมีชาวโรฮิงยาอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศบังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน และมาเลเซีย นับแสนคน
จากชายแดนไทยสู่ประเทศที่สาม
หากการอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยนานนับ 20 ปีเป็นสิ่งที่ไร้ความหวัง การเดินทางไปเริ่มต้นชีวิต ใหม่ในประเทศที่สาม อาจทำให้แววตาของผู้ลี้ภัยสดใสมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยคนรุ่นใหม่ที่ เพิ่งลืมตาดูโลกไม่นานก็อาจได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้ว ลวดหนามเกือบครึ่งชีวิต แต่การเดินทางไปประเทศที่สามก็ไม่ใช่เรื่อง่าย ที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ไป หรือกว่าจะได้ไปก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย
หากการอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยนานนับ 20 ปีเป็นสิ่งที่ไร้ความหวัง การเดินทางไปเริ่มต้นชีวิต ใหม่ในประเทศที่สาม อาจทำให้แววตาของผู้ลี้ภัยสดใสมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยคนรุ่นใหม่ที่ เพิ่งลืมตาดูโลกไม่นานก็อาจได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้ว ลวดหนามเกือบครึ่งชีวิต แต่การเดินทางไปประเทศที่สามก็ไม่ใช่เรื่อง่าย ที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ไป หรือกว่าจะได้ไปก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย
นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้เป็นเวลานานกว่า 25 ปี ประเทศไทยมีค่ายผู้ลี้ภัยชนเผ่าจากพม่ารวม 9 ค่าย ตั้งกระจัดกระจายอยู่ตามแนวชายแดนไทย – พม่า ตั้งแต่จังหวัด แม่ฮ่องสอนจรดราชบุรี ตัวเลขผู้ลี้ภัยเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 มีผู้ลี้ภัยจากพม่าที่ลงทะเบียน กับ UNHCR และกระทรวงมหาดไทย อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงตามแนวชายแดน 116,523 คน เป็นชาวกะเหรี่ยง 65,040 คน และชาวกะเรนนี 51,438 คน
ผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนกับ UNHCR เท่านั้นจึงจะสามารถขอลี้ภัยหรือในชื่อทางการว่า “ขอ ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (Resettlement)” ได้ ผู้ลี้ภัยที่เข้ามาใหม่จะไม่มีสิทธิเข้าร่วม โครงการนี้ โดยทั่วไปแล้วการเปิดรับสมัครผู้ลี้ภัยไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศแถบยุโรปหรือประเทศพัฒนาแล้ว คือ ออสเตรเลีย แคนาดา ฟินแลนด์ อังกฤษ ไอร์แลนด์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ ออสเตรเลีย อเมริกา จะไม่มีกำหนดเวลา รับสมัครและจำนวนที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความจำนงของรัฐบาลประเทศปลายทางว่ามีความ ประสงค์จะรับผู้ลี้ภัยหรือไม่ อย่างไรก็ตามในแต่ละปีๆ จึงมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่ยื่นเรื่องขอลี้ภัย มากกว่าจำนวนที่ประเทศที่สามต้องการรับไปอยู่ด้วย จึงทำให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต้องรอไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดเวลา บางครั้งนานหลายปี จนมีผู้ลี้ภัยบางคนทนรอต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจหนีออกมาเป็น “แรงงานข้ามชาติ”
เมื่อประเทศที่สามตกลงใจรับผู้ลี้ภัยแล้ว ทาง UNHCR และ ตัวแทนรัฐบาลของประเทศที่สามจะเรียกสัมภาษณ์ ตรวจสอบประวัติ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อกระบวนการสัมภาษณ์สิ้นสุดลงและผู้ลี้ภัยที่ได้รับการ คัดเลือกให้ไปประเทศที่สาม จะมีองค์การระหว่างประเทศเพื่อการ โยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เข้ามาดูแล รับผิดชอบต่อ มีการพาผู้ลี้ภัยไป ตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพ ตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ นอกจากนั้นแล้ว IOM ยังต้องให้คำแนะนำ ความรู้ ประเพณีวัฒนธรรม การใช้ชีวิต และความเป็นอยู่ต่างๆ ในประเทศที่สาม ให้ผู้ลี้ภัยได้เข้าใจด้วย หลังสิ้นสุดกระบวนการ ทุกอย่างก็เพียงแต่รอกำหนดการวันเดินทาง
ในประเทศที่สาม รัฐบาลของประเทศ นั้น จะเข้ามาดูแลผู้ลี้ภัยต่อ ทั้งเป็นผู้จัดหาสถานที่สำหรับการอยู่อาศัย เครื่องอุปโภค บริโภค และความต้องการต่างๆ รวมทั้งจะมี หน่วยงานอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ ต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก สำหรับคนที่ทั้งชีวิตอยู่แต่ในรั้วลวดหนาม ภาษาอังกฤษกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อีกหลายคนก็จบเพียงชั้นประถมศึกษา ประกอบกับความสามารถทางภาษาที่ อยู่ในขั้นเริ่มต้น แถมยังต้องแข่งขันกับคนจำนวนมาก ทำให้หลายคน ต้องทำงานที่ได้ค่าตอบแทนต่ำ และกลายเป็น “แรงงานข้ามชาติระดับ ล่าง” ในประเทศที่สามต่อไป
UNHCR ได้รายงานว่าตั้งแต่ปี 2548 ที่มีผู้ลี้ภัยจากพม่าเริ่มต้นโยกย้ายถิ่นฐานใหม่ จนมาถึงปลายปี 2550 มีผู้ลี้ภัยเพียง 19,138 คน จาก 9 แคมป์เดินทางไปประเทศที่สามแล้ว ส่วนใหญ่มาจากค่ายแม่หละ โดยมีอเมริกาเป็นประเทศที่รับผู้ลี้ภัยมากถึง 12,046 คน ตามด้วย ออสเตรเลีย 2,291 คน แคนาดา 2,253 คน และประเทศอื่นๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2553 สำนักข่าว Mizzima รายงานว่า IOM วางแผนดำเนินการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวพม่ารวมกว่า 74,000 คน ที่อยู่ในประเทศไทย ไปยังประเทศที่สามให้หมดภายใน 6 ปี รวมถึงชนเผ่าม้งลาวที่ลี้ภัยมาอยู่ในประเทศไทย 15,000 คนด้วยเช่นกัน ขณะที่ องค์กร TBBC เผยว่า มีผู้ลี้ภัยชาวพม่าได้ลี้ภัยเข้ามายังค่ายอพยพ ที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า รวมแล้วประมาณ 140,000 คน นั่นหมายความว่า ยังคงมีผู้ลี้ภัยที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยและจะยังมีจำนวนผู้ลี้ภัยที่หลั่งมายั่งประเทศไทยอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หากสถานการณ์การเมืองในประเทศพม่ายังไม่ขึ้น
ในวันผู้ลี้ภัยโลก 20 มิถุนายนปี 2552 UNHCR ได้เปิดเผย สถานการณ์ผู้ลี้ภัยโลกว่า ในปีที่ผ่านมา ทั่วโลกยังมีคนกว่า 42 ล้านคนที่ผลัดพรากจากบ้านเรือนตัวเอง แบ่งเป็นผู้ลี้ภัยจำนวน 16 ล้านคน และผู้พลัดถิ่นจำนวน 26 ล้านคน จำนวนโดยรวมลดลง 700,000 คน จากปีที่แล้ว เนื่องจากยังไม่รวมผู้พลัดถิ่นในปี 2552 ซึ่งมีเป็นจำนวน มากจากประเทศปากีสถาน ศรีลังกา และโซมาเลีย
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยแล้ว จำนวน 112,932 คน และมีผู้ขอลงทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยจำนวน 12,578 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยจากพม่า ชาวกะเหรี่ยง และ กะเหรี่ยงแดง
“คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยทราบว่ามีคนที่เป็นผู้ลี้ภัยจริงๆ อยู่ในประเทศของตัวเอง...ผู้ลี้ภัย ไม่เหมือนแรงงานต่างด้าว ผู้ลี้ภัยไม่มี ทางเลือกอื่น นอกจากหนีออกจากประเทศของตน พวกเขาต้องหนี เพราะชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย หรือมีการไม่เคารพ สิทธิมนุษยชนของพวกเขา” นาย โจเซปเป เดอ วินเซนทิส กล่าว
UNHCR ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยร่วมกับรัฐบาลไทย และ เอ็นจีโอที่ทำงานในพื้นที่ โดยให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัย และพัฒนา คุณภาพชีวิต ในด้านต่างๆ อาทิ การฝึกทักษะอาชีพ และการศึกษา เพื่อผู้ลี้ภัยดำเนินชีวิตระหว่างอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวอย่างปลอดภัย
“ผู้ลี้ภัยกว่า 100,000 คนในประเทศไทย ต้องอยู่ในพื้นที่ปิดมาเกือบตลอดชีวิต บางคนอยู่มาสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้แต่เกิดที่ในพื้นที่พักพิงนั้น การที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่ สร้างความอึดอัด และเกิด สิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการเกิด ความรุนแรง ข่มขืน และ การใช้ยาเสพติด” นาย โจเซปเป เดอ วินเซนทิส กล่าว
ในรายงานฉบับนี้ ได้แสดงให้เห็นการ ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยใน 3 รูปแบบ นั่นคือ การเดินทางกลับประเทศตนเองโดยสมัครใจ การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม และการ ตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ลี้ภัย สำหรับการ ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม รายงานฉบับนี้ แสดงให้เห็นว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัย ชาวพม่าได้รับการตั้งถิ่นฐานใหม่มากที่สุด เป็นจำนวน 23,200 คน เมื่อเทียบกับชาติอื่น โดยสำนักงาน UNHCR ในประเทศไทย สามารถดำเนินการให้ผู้ลี้ภัยตั้งถิ่นฐานใน ต่างประเทศได้มากที่สุด เทียบกับสำนักงาน UNHCR ในอีก 85 ประเทศ โดย ตั้งแต่ปี 2548 UNHCR ในประเทศไทยได้ช่วยเหลือให้ผู้ลี้ภัยกว่า 40,000 คน ได้ตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย โดย คาดว่า ภายในสิ้นปี 2553 นี้จะสามารถช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยได้ในการตั้งถิ่นฐานในประเทศใหม่ได้ เป็นจำนวน 50,000 คน
นาย โจเซปเป เดอ วินเซนทิส กล่าวว่า ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศพม่าที่มีความขัดแย้ง ทางการเมืองในประเทศพม่าเกิดขึ้นยาวนาน และไม่สามารถแก้ไขได้ในอนาคตอันใกล้
“เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มี การเปลี่ยนแปลง ความกดดันและภาระในการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัย ก็จะตกอยู่กับประเทศ ที่ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ เช่นประเทศไทย เราเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกทุกฝ่ายจะต้อง ช่วยประเทศเหล่านั้นในการ แก้ปัญหาผู้ลี้ภัย ร่วมกันต่อไป”