ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ของคนไร้สัญชาติ

โดย ธันวา สิริเมธี
ภาพ โดย Ben Mattias

มีคำกล่าวว่า “ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้” คนหลายคนได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงข้อนี้ แต่ทว่า สำหรับคนบางคน  ที่เกิดมา “ไร้สัญชาติ” คำกล่าวนี้ยากที่จะเป็นความจริง...

เรื่องของคนไม่มีสิทธิ

ธารารัตน์ แซ่ไช่ เกิดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นบุตรสาวของชาวจีนซึ่งหนีภัยสงครามเข้าไปอยู่ในประเทศพม่า และต่อมาหนีภัยสงครามจากประเทศพม่าเข้ามายังประเทศไทย ธารารัตน์เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมในอำเภอแม่สอด ผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาก จนเธอได้รับเกียรติบัตรผลการเรียน ดีเด่นติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี รวมทั้งยังได้รับรางวัลนักเรียน ดีเด่นของโรงเรียน


หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอไม่ได้สอบเข้าเรียน ในมหาวิทยาลัยของรัฐ เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชนไทย มหาวิทยาลัยแห่งเดียวที่เปิดโอกาสให้คนไร้สัญชาติอย่างเธอได้ เข้าเรียนคือมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญหรือเอแบค ซึ่งค่าเล่าเรียน แพงมาก แต่ด้วยความรักเรียนและหวังว่าจะได้ประกอบอาชีพ การงานสมความรู้ที่ร่ำเรียนมา เธอจึงตั้งใจเรียนจนจบการศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการทั่วไป แต่ สุดท้าย เธอก็ต้องยอมรับความจริงอันเจ็บปวดที่ว่า “สำเนาบัตรประชาชน” มีความหมายต่อองค์กรที่เธอสมัครงานมากกว่าความ สามารถทางภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และความรู้ระดับ ปริญญาตรี ซึ่งอัดแน่นอยู่ในตัวเธอ งานถูกกฎหมายซึ่งเธอสามารถทำได้มีเพียง “กรรมกร” เพียงไม่กี่ประเภทที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้เท่านั้น

ธารารัตน์ได้บอกเล่าเรื่องราวของเธอไว้บนเว็บไซต์ www.archanwell.org ซึ่งรวบรวมปัญหาของคนไร้สัญชาติ เอาไว้ว่า

“ข้าพเจ้าเรียนมาโดยตลอดเพื่อหวังว่า สักวันหนึ่งเมื่อจบ การศึกษาจะได้มีโอกาสที่ดีในการเข้าสมัครงาน และที่ผ่านมา ผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ก็ยังด้อยโอกาสในการเลือกทำงาน ตามที่ตนชอบได้เพราะหลายองค์กรไม่รู้จักบัตรผู้พลัดถิ่นสัญชาติ พม่าว่ามันคืออะไร เขากลัวผิดกฎหมายแรงงาน บ้างก็กลัวว่าต้อง ออกใบอนุญาตทำงานให้ จึงไม่รับ...

“...ระหว่างที่หางานไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ไปสอนที่โรงเรียน พาณิชย์แห่งหนึ่ง สอนภาษาอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษทั้งคาบเรียน กับเด็กๆ ก็ดีใจที่มีโอกาสถ่ายทอดความคิดดีดีออกไปให้ แต่ข้าพเจ้า มาพิจารณาตัวเองว่าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้แล้ว ชีวิตเรา เวลาเรามีค่า เราไม่อยากเป็นคนที่รอคอยให้คนมาเลือกเรา เราอยากเรียกร้องสิทธิ เราอยากรู้เหมือนกันว่าความสามารถเรา มีขนาดไหน เราอยากพัฒนา อยากทำอย่างที่คิด อยากเดินเข้าไป สมัครงานแบบไม่ต้องห่วงอะไรเกี่ยวกับเรื่องบัตรประจำตัว และไม่อยากแก้ตัวอะไรมากมายเพื่อที่จะได้งานที่ตนชอบ อยากเป็นคนที่ถูกกฎหมาย อยากมีสิทธิในการดำรงชีวิต อย่างยุติธรรม อยากให้ผู้เกี่ยวข้องให้สิทธิขั้นพื้นฐานกับข้าพเจ้า...

“มาถึงวันนี้ก็ยังรู้สึกเศร้าใจนัก จากการลงทุนศึกษาเล่าเรียน มากมายจนจบระดับปริญญาตรีที่เอแบคซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียงด้านบริหารธุรกิจ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ทฤษฎีมากมาย จากที่นี่และเปิดตาข้าพเจ้าสู่โลกแห่งธุรกิจก็จริงอยู่ แต่จะสมบูรณ์ มากขึ้นถ้ามีโอกาสเลือกทำงานตามที่ตนใฝ่ฝัน คืออยากทำงานด้าน การส่งออกนำเข้า อยากเรียนรู้ระบบการตลาด ซึ่งศักยภาพที่ ข้าพเจ้ามีอยู่โดยเฉพาะด้านภาษาและด้านบริหารจะถูกใช้อย่าง เต็มที่ และได้เงินเดือนตามความสามารถเพื่อเตรียมตัวสู่ความฝัน ที่อยากเปิดบริษัทด้านการส่งออกนำเข้า แต่มาวันนี้ก็ได้แต่ทำงาน รับจ้างชั่วคราวไปวัน ๆ โดยมีรายได้ ไม่แน่นอน....”

คนไร้สัญชาติและคนไร้รัฐ

“คนไร้สัญชาติ (Nationalityless) คือ คนที่ไม่มีสัญชาติของ ประเทศใดเลยในโลก กล่าวโดยหลักกฎหมายได้ว่า คนไร้สัญชาติ มีสถานะเป็นคนต่างด้าวในทุกประเทศของโลก แต่ปัญหาไร้สัญชาติ จะรุนแรงมากขึ้นหากบุคคลไม่ได้รับการยอมรับให้สิทธิอาศัย โดยรัฐใดเลยในโลก บุคคลในสถานการณ์นี้จึงตกเป็นคนต่างด้าว ผิดกฎหมายของทุกประเทศ หรือกลายเป็น คนไร้รัฐ (Stateless) แต่ถ้าคนไร้สัญชาติได้รับสิทธิอาศัยจากรัฐหรือประเทศใดบนโลกนี้ คนกลุ่มนี้ก็จะเป็นคนไร้สัญชาติแต่ไม่ไร้รัฐ”

ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรืออาจารย์แหวว ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายบุคคลไร้สัญชาติอธิบายความหมาย ของคำว่า“คนไร้สัญชาติ”และ“คนไร้รัฐ”ให้ฟัง รวมถึงอธิบาย หลักการให้สัญชาติไทยว่า

“หลักการให้สัญชาติของประเทศไทยมี 2 ลักษณะ เช่นเดียวกับทุกประเทศ คือ หลักสืบสายโลหิต คือ ถ้าแม่เป็นไทย ลูกก็เป็นไทย ถ้าพ่อเป็นไทย ลูกก็เป็นไทย ส่วนหลักดินแดน ในยุคอดีตไม่ค่อยมีเงื่อนไขมากนัก คือ ใครเกิดในไทยก็ได้สัญชาติไทย แต่พอมาในยุคหลังๆ เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น การให้สัญชาติโดย หลักดินแดนเริ่มมีเงื่อนไข คือ ถ้าเกิดในไทยและพ่อแม่มีสิทธิ อาศัยถาวรก็มีสัญชาติไทย”

ปัญหาคนไร้สัญชาติในประเทศไทยมีสองลักษณะ คือ หนึ่ง ความไร้สัญชาติด้านข้อเท็จจริง และสอง ความไร้สัญชาติทั้งด้าน ข้อกฎหมาย

ความไร้สัญชาติโดยข้อเท็จจริงเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือกรณีที่เกิดขึ้นจากบุคคลไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ประวัติของตนเอง จึงไม่อาจพิสูจน์ความเกาะเกี่ยวกับรัฐใดเลยในโลก ทำให้ไม่สามารถกําหนดสัญชาติได้เลย คนเหล่านี้จึงตกเป็นคนไร้ สัญชาติ ตัวอย่าง เช่นเด็กชายขวัญ วรรัตน์ ซึ่งเกิดในประเทศไทย โดยไม่ทราบว่าใครเป็นบิดามารดาเพราะถูกทอดทิ้ง ลักษณะที่สอง เกิดขึ้นจากบุคคลนั้นเชื่อว่าและอ้างว่าตนมีข้อเท็จจริงที่ทําให้ได้ สัญชาติไทย แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไทยเองปฏิเสธที่จะเชื่อในข้อเท็จจริง ที่บุคคลกล่าวอ้าง ตัวอย่างเช่น กรณีของชาวบ้านแม่อาย 1243 คน ที่ถูกนายอําเภอแม่อายใน พ.ศ.2545 ถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร ประเภทคนสัญชาติไทย โดยไม่มีการเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนบุคคลของแต่ละคน และเป็นเหตุให้ชาวบ้านทั้งหมดไม่อาจใช้ สิทธิในสัญชาติไทยและไม่มีสิทธิในสัญชาติของประเทศใดเลยในโลก

ความไร้สัญชาติโดยข้อกฎหมายเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือความไร้สัญชาติที่เกิดแก่บุคคลที่เกิดในประเทศไทย จากบุพการีที่เกิดนอกประเทศไทย ตัวอย่างเช่นกรณีของ นายบุญธรรม ศรีบุญทองซึ่งเกิดในประเทศไทยจากบิดามารดาซึ่ง มีเชื้อชาติไทยใหญ่ แต่เป็นคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศพม่า และลักษณะที่สองคือความไร้สัญชาติที่เกิดแก่บุคคลที่เกิดนอก ประเทศไทยจากบุพการีที่เกิดนอกประเทศไทย ตัวอย่างเช่นกรณี ของนางสาวมาลัย ปลอดโปร่ง พ่อแม่เป็นคนไทยแต่เกิดนอก ประเทศไทย เธอจึงไม่ได้สัญชาติไทย เป็นต้น

ปัญหาสำคัญของคนไร้สัญชาติก็คือการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะการไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าเรียนในสถานศึกษา หรือไม่ยอมรับที่จะออกวุฒิการศึกษาให้ หรือการไม่ยอมประกาศ อนุญาตให้คนไร้สัญชาติที่จบในระบบการศึกษาไทยทํางานได้ ตามวุฒิการศึกษา เมื่อไม่มีโอกาสเรียนหนังสือหรือได้เรียน แต่ไม่ได้ ทำงานตามความรู้ที่ร่ำเรียนมา โลกของคนไร้สัญชาติจึงเต็มไปด้วย ความแห้งแล้ง ไร้ซึ่งความฝันถึงวันข้างหน้า

อาเล็ก เด็กหนุ่มชาวโรฮิงยา เป็นหนึ่งในหลายชีวิตที่อยู่ใน โลกมืดรอคอยวันที่แสงสว่างจะมาถึง ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักศึกษาสายกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้พบกับ อาเล็กเมื่อครั้งมาขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความเรื่อง การขอสัญชาติไทย ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งซึ่งดรุณีได้ บอกเล่าเรื่องราวของอาเล็กไว้บนเว็บไซต์ www.archanwell.org

“สาเหตุที่อาเล็กไร้ทั้งรัฐและสัญชาตินั้น แม้จะเป็นเรื่อง ที่ยากจะทำใจให้ยอมรับ แต่อาเล็กก็เล่าให้ฉันฟังด้วยท่าทีที่ สงบนิ่ง เขาเล่าว่าพ่อกับแม่เขาเป็นชาวโรฮิงยา (Rohingya) ซึ่งเป็น ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในรัฐพม่า พ่อและแม่หลบหนีการกวาดล้าง ของรัฐบาลพม่าโดยเลือกข้ามพรมแดนมายังรัฐไทยในปีพ.ศ. 2520 ก่อนเขาเกิดพ่อเขาเสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรียที่ด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จุดแรกในรัฐไทยที่เขาและ ครอบครัวอาศัยอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาแม่เขาก็เดินทางเข้ามายัง กรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของเพื่อนโรฮิงยาที่อพยพเข้าเมืองไทย มาด้วยกัน

“อาเล็กเกิดที่ชุมชนแออัดแถวพระโขนง ในปี 2525 ด้วยฝีมือหมอตำแย (ถ้าจะเรียกคนทำคลอดว่าแบบนั้น) อาเล็กไม่มี ใบเกิด เพราะแม่ของอาเล็กรู้สถานะตัวเองดีว่าเป็นคนหลบหนี เข้าเมือง ใบเกิดหรือสูติบัตรของลูกชายคนหนีเข้าเมืองจึงดู ไม่จำเป็นและอันตรายเกินไปที่จะได้มา

“อาเล็กเริ่มทำงานขายกระดาษทิชชูตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเล็กๆ เริ่มจากแถวสุขุมวิท สีลม ไปจนถึงสายใต้เก่าจนสายใต้ย้ายไปที่ใหม่ แม่อาเล็กเสียชีวิตตอนอาเล็กอายุได้ประมาณ 10 ปี อาเล็กเติบโต โดย-ลำพังและด้วยการเอื้อเฟื้อของเพื่อนบ้าน อายุประมาณ 15-16ปี อาเล็กย้ายไปอยู่กับเพื่อนแถวปากเกร็ด เพื่อนร่วมชาติพันธุ์โรฮิงยา สอนอาเล็กทำโรตี อาเล็กจึงมีกิจการเป็นของตัวเองในเวลา ไม่นานนักเขาเร่ขายโรตีอยู่แถวปากเกร็ด จังหวัดนนท์จนย้ายไปอยู่ แถววงเวียนใหญ่ ฉันรู้จักอาเล็กเมื่อครั้งที่อาเล็กมาร้องขอความ ช่วยเหลือจาก สภาทนายความว่าอยากได้สัญชาติไทย ข้อความตอนหนึ่งที่เขาเขียนในแบบฟอร์มคำร้องนั้นมีใจความทำนองว่า เขาทำผิดอะไร ในเมื่อเขาเกิดในเมืองไทยทำไมเขาจึงไม่มีสัญชาติไทย เหมือนเด็กคนอื่นๆ

“อาเล็กเคยเจอถูกตำรวจจับและส่งตัวออกนอกรัฐไทยเพื่อส่ง ไปยังฝั่งเมียวดี 2-3 ครั้ง และทุกครั้งเขาก็พยายามหาทางกลับมา ฝั่งไทย ครั้งแรกเขาเดินเท้าไกลมากและต่อรถหลายต่อกว่าจะถึง กรุงเทพฯ ฉันถามเขาด้วยคำถามโง่ๆ แต่เป็นคำถาม ‘ท่าบังคับ’ ว่าทำไมถึงพยายามกลับเข้ามาในรัฐไทย เขาตอบด้วยน้ำเสียง ที่โกรธ เจือน้อยใจว่า “แล้วจะให้ผมไปอยู่ไหน ผมเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ ภาษาพม่าผมก็พูดไม่เป็น ไปอยู่ที่โน่นจะให้อยู่ยังไง อยู่กับใคร บ้านผม ครอบครัวผมอยู่ที่นี่ ผมเป็นคนที่นี่นะ แม้ว่ากฎหมาย จะไม่ยอมรับผมก็ตามเถอะ”

“ประมาณ 2 ปีก่อน อาเล็กไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว อาเล็กบอกว่าแม้สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด คือการเป็นคนไทย เพื่อที่เขาจะได้เดินเร่ขายโรตีอร่อยๆ ของเขาได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวที่จะถูกจับหรือต้องเสียสตางค์ มีเงินเก็บเพื่อเรียน หนังสืออย่างที่อยากเรียน เรียนให้สูงเท่าที่กำลังเขาจะสามารถ ส่งเสียตัวเอง ฯลฯ แต่การที่ได้ ‘บัตรมาใบหนึ่ง’ ชีวิตของเขาก็น่าจะ เริ่มมั่นคงขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ดี แม้จะมีบัตรอนุญาตทำงาน อาเล็ก ก็ยังคงถูกตำรวจจับ บางครั้งอาเล็กให้สตางค์จากการขายโรตี ไปเรื่องก็จบ บางครั้งก็ไม่ ฉันและเพื่อนร่วมคณะทำงานฯ เคยไปโรงพักอยู่ครั้งหนึ่ง ใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าแรงงานต่างด้าวที่มีบัตรอนุญาตทำงานก็ สามารถขายโรตีได้

“แต่ทว่า การต่อทะเบียนแรงงานในรอบถัดมา รัฐไทย ยกเลิกการประกอบอาชีพอิสระของแรงงานต่างด้าว ทำให้อาเล็ก ต้องเดือดร้อนอีกครั้ง เขาไม่สามารถขายโรตีได้อย่างปกติสุข อีกต่อไป เขาโดนจับและถูกปล่อยตัวโดยแลกกับสตางค์จาก น้ำพักน้ำแรงที่ถูกกฎหมายของเขาเขาหายเงียบไปนานจน โทรศัพท์หาฉันล่าสุดก็คือไปอยู่กับคนรู้จักที่ต่างจังหวัด และยังขาย โรตีเหมือนเดิม
“อยู่ๆ อาเล็กก็ติดต่อมาหาฉันอีกครั้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา เล่าให้ฟังว่าเขาได้เรียนหนังสือสมใจแล้ว เป็นการเรียนในระบบ การศึกษานอกโรงเรียน เขายังขายโรตี ยังอยากเป็นคนไทย และถามคำถามยากๆ ให้ฉันหาคำตอบให้เหมือนเดิมว่า เมื่อไหร่ เขาจะได้เป็นคนไทย...”


ธุรกิจค้าสัญชาติ

เมื่อสัญชาติมีความหมายถึงเสรีภาพในการเดินทางไป ไหนมาไหนบนโลกใบนี้ โดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกจับกุม หมายถึง โอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ “สัญชาติ” จึงเปรียบ ได้กับสินค้าที่มีความต้องการในท้องตลาดสูงที่สุดในกลุ่มลูกค้า ที่ยังไม่มีสัญชาติ หากมีคนบอกว่า “สินค้า” ชนิดนี้กำลังจะออก จำหน่ายในท้องตลาด ใครต้องการจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้า คุณคิดว่า จะมีลูกค้าคนไหนที่ไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ “สินค้า” ตัวนี้บ้าง

ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังชายแดนประเทศไทย-พม่าและรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการขอสัญชาติของชาวบ้าน หลายครั้ง เรื่องที่ได้ยินดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล่าเดิม ๆ ที่เหมือนกัน ทุกปีคือ เจ้าหน้าที่ประจำอำเภอมักประกาศให้ชาวบ้านมาขึ้น ทะเบียนเพื่อขอสัญชาติ โดยอ้างว่ารัฐบาลกำลังจะมีนโยบาย ให้สัญชาติกับชาวบ้าน จึงขอให้ชาวบ้านมายื่นคำร้องและจ่ายเงิน “ค่าธรรมเนียม”การขอสัญชาติล่วงหน้า ซึ่งจำนวนเงินในแต่ละปี เรียกเก็บไม่เท่ากัน แต่ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ชาวบ้านก็ไม่เคยได้ สัญชาติดังที่รอคอยสักที จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนเก่าเวียนไปอยู่ ที่อำเภออื่น เจ้าหน้าที่ใหม่เวียนมา การประกาศขาย “สินค้า” ตัวเดิมก็เริ่มต้นอีก ชาวบ้านซึ่งหวังว่าเจ้าหน้าที่ใหม่จะดีกว่าเก่า ก็พากันไปจ่ายเงินซื้อ “สินค้า” ล่วงหน้า และสุดท้ายก็พบคำตอบ เช่นเดิม เป็นเช่นนี้เรื่อยไปโดยไม่รู้ว่าพวกตนจะต้องนำเงินที่ได้ จากการขายแรงงานราคาถูกมาเลี้ยงดู “พ่อค้า” กลุ่มนี้ไปอีกนานเท่าใด

เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานเกี่ยวกับทะเบียนประวัติชาวบ้าน ในหน่วยงานของรัฐเป็นเวลาหลายปีให้ข้อมูลว่า

“ความลำบากใจของหน่วยงานเราก็คือ บางอำเภอนำ ทะเบียนประวัติชาวบ้านไปขาย แต่บอกว่าหาย ทำให้ชาวบ้านต้อง มาขอค้นเอกสารกับเรา ซึ่งหากเราค้นทะเบียนประวัติให้และ บังเอิญชื่อนี้ถูกนำไปขายเรียบร้อยแล้ว ก็จะเกิดชื่อซ้ำซ้อนกันขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะต้องมีการฟ้องร้องเพื่อพิสูจน์ว่าใครคือเจ้าของ ทะเบียนประวัติตัวจริง”

ปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องกับ ขบวนการซื้อขายสัญชาติ นับเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลควรเร่งแก้ไข เนื่องจากหากการคอรัปชั่นยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการใด ๆ ควบคุม คนกลุ่มที่จะได้ประโยชน์คือเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งต้องการ รวยทางลัดและกลุ่มคนที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย ส่วนชาวบ้าน ที่ต้องการบัตรประชาชนเพื่อสร้างอนาคตให้ตนเองและลูกหลาน ร่วมพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นก็จะตกเป็นเหยื่อต่อไป

คณะนักวิจัยเพื่อการพัฒนาโครงการวิจัยผลกระทบของ ความไร้รัฐและความไร้สัญชาติของเด็ก เยาวชน และครอบครัว ในสังคมไทย ได้ระบุถึงปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเอาไว้ใน รายงาน ข้อเสนอแนะในการจัดการปัญหาคนไร้รัฐและคนไร้ สัญชาติในประเทศไทย ว่า

“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือการแปลงนโยบายเกี่ยวกับ การขจัดความไร้สัญชาติให้มีผลในทางปฏิบัติในแต่ละนโยบาย กระบวนการทํางานเพื่อให้สัญชาติไทยหรือสถานะคนต่างด้าว ที่ชอบด้วยกฎหมายมักจะมีลักษณะยุ่งยากและซับซ้อน จึงเป็นไปได้ ช้ามาก และบางนโยบายไม่มีการนําไปปฏิบัติเลยในหลายสถานการณ์ ปรากฏการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”


ทางออกที่มั่นคง

ศาสตราจารย์ ดร. เสน่ห์ จามริก ราษฎรอาวุโสของ สังคมไทยเคยกล่าวไว้ว่า“ความมั่นคงของชาติที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากที่สุด คือการลดความหวาดระแวงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน”

เนื่องจากปัญหาคนไร้สัญชาติเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ แนวคิดเรื่องมั่นคงของชาติ ซึ่งคนส่วนหนึ่งมองว่าคนไร้สัญชาติ เป็นกลุ่มคนที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เพราะเป็นคนที่อพยพ มาจากแผ่นดินอื่น ไม่มีความรักแผ่นดินไทยอย่างแท้จริง การให้สัญชาติกับคนกลุ่มนี้จึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

แต่ทว่า หากมองในมุมกลับกัน เมื่อไม่มีแผ่นดินไหนให้ สัญชาติกับคนเหล่านี้ ความรู้สึกเป็นเจ้าของแผ่นดินและจงรักภักดี ต่อแผ่นดินผืนนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยเฉพาะคนไร้สัญชาติที่เกิด และเติบโตในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับสิทธิอาศัย หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า “คนไร้รัฐ” คนเหล่านี้นอกจากจะไม่มีสัญชาติไทยแล้ว ยังไม่ได้รับสิทธิอาศัยจากรัฐไทย มีสถานะเป็น “คนเถื่อน” ของสังคม เมื่อคนเหล่านี้มีความผูกพันทางภาษาและวัฒนธรรม ไทยมาทั้งชีวิต แต่กฎหมายไทยกลับไม่ยินยอมให้สัญชาติ โดยพยายามส่งกลับไปยังประเทศต้นทางซึ่งก็ไม่ได้ยอมให้สัญชาติ กับพวกเขาเช่นกัน คนไร้รัฐเหล่านี้จึงพยายามดิ้นรนที่จะอยู่ เมืองไทยต่อไปในฐานะคนผิดกฎหมาย

และถ้าหากสังคมไทยไม่เปิดโอกาสทางการศึกษาและการ ประกอบอาชีพตามความรู้ความสามารถที่พวกเขามี แต่จำกัด ไว้เพียงงานกรรมกรไม่กี่ประเภท คำถามที่ตามมาก็คือหากคน กลุ่มนี้ต้องการทำงานที่มีรายได้มากกว่านี้ พวกเขาจะทำงาน อะไรได้บ้าง งานที่ได้เงินมากโดยไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา และไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน หากเรายังคงจำกัดสิทธิทาง การศึกษาและการประกอบอาชีพในกลุ่มคนไร้สัญชาติต่อไป เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนเหล่านี้จะมีโอกาสก่อความรุนแรงและ อาชญกรรมให้กับสังคมไทยมากขึ้น ความไม่มั่นคงของชาติซึ่ง หลายคนหวาดกลัวก็คงจะเกิดขึ้นจริง ๆ

ในทางตรงกันข้าม หากรัฐไทยมองว่าการให้สัญชาติคือ การสร้างความมั่นคงของชาติ โดยมีขั้นตอนการให้สัญชาติเป็นขั้น ๆ ไป โดยแต่ละขั้นดำเนินไปด้วยความยุติธรรมและนำไปสู่การสร้าง ความมั่นคงของชาติที่แท้จริง
ดร. พันธุ์ทิพย์หรืออาจารย์แหวว กล่าวถึงแนวทาง การแก้ปัญหาเรื่องคนไร้สัญชาติในประเทศไทยว่า

“แนวทางในการแก้ปัญหามีสามขั้น คือ ขั้นที่หนึ่ง ต้องให้สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ มีสภาพบุคคลตาม กฎหมาย สามารถแจ้งเกิด เข้าถึงบริการสาธารณสุข การศึกษา ขั้นที่สอง ลดอคติของคนในสังคมต่อคนที่ไม่มีสัญชาติ อย่าไป เกลียดชังกัน ขั้นสุดท้าย เมื่อถึงเวลาอันควรก็ให้สถานะบุคคล ที่ต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจไม่ได้ให้สัญชาติเลยทีเดียวแต่ต้อง เป็นขั้น ๆ ไป เช่น คนที่เข้ามาอยู่เมืองไทยกี่ปีจึงจะได้บัตรสีนี้ และขยับไปเรื่อย ๆ จนได้สัญชาติไทย เพราะคนจะได้รับสัญชาติใด นั้นควรมีความกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับสังคมนั้นก่อน

“สำหรับขั้นตอนในการปฏิบัตินั้น ขั้นแรกเสนอว่า รัฐบาลควรริเริ่มนโยบายและเร่งที่จะทําการ “จดทะเบียนคนไร้รัฐ ในประเทศไทย” เพื่อที่จะได้ทราบจํานวนที่แน่นอนระดับหนึ่ง ของบุคคลที่ประสบปัญหาไร้สัญชาติในประเทศไทย และเมื่อทราบ ปัญหาก็จะสามารถกําหนดแนวคิดและแนวทางในการแก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสมโดยในระหว่างกระบวนการตรวจสอบความเป็นคนไร้ สัญชาติของบุคคลที่ร้องขอขึ้นทะเบียน รัฐบาลควรจะออกเอกสาร รับรองสถานะบุคคลให้แก่คนไร้สัญชาตินี้ เนื่องจากเอกสารดังกล่าว เป็นสิ่งที่จําเป็นสําหรับการเข้าสู่สิทธิในการเข้าถึง “ปัจจัย 4 แห่ง ชีวิต กล่าวคือ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค”

“อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ การอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติ ได้ทํางานในงานสายที่ตนจบการศึกษามาเพราะประเทศไทยเอง จะเสียผลประโยชน์ที่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่ผลิตในระบบ การศึกษาไทยในการพัฒนาประเทศไทยการปฏิเสธที่จะยอมรับสิทธิ ใน การทํางานของคนไร้สัญชาติที่จบการศึกษาในระบบการศึกษา ไทยน่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจของ ประเทศไทย”

ปัจจุบัน งานขจัดปัญหาความไร้สัญชาติเป็นงานที่รัฐบาลและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มหันมาสนใจแก้ปัญหานี้มากยิ่งขึ้น ดังเช่น การให้สัญชาติไทยกับชาวไทยภูเขาจังหวัดน่านเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์แหววกล่าวชื่นชมการทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และบรรยากาศการให้สัญชาติซึ่งชาวบ้านรอมานานทั้งชีวิต สำเร็จภายในหนึ่งชั่วโมงว่า

“ผู้ว่าฯจังหวัดน่านเป็นคนแสวงหาความรู้และทำจริง ท่านคิด วิธีการแก้ปัญหาสัญชาติภายในหนึ่งชั่วโมงโดยระดมเอาคนใน ชุมชน ข้าราชการหน่วยต่าง ๆ มารวมกัน แล้วไปตามชาวเขา ที่พ่อแม่เกิดในไทยชัดเจนมายื่นคำร้อง พอถึงเก้าโมงก็ตั้งโต๊ะกรอก คำร้อง แนบเอกสารปุ๊บแล้วอนุมัติเลย เค้าให้ชุมชนทำการบ้าน เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของคนในชุมชน พอมีการยืนยันว่า คนนี้เกิดในเมืองไทยจริงก็แสดงว่ามีสัญชาติไทยตั้งแต่เกิด พอสัญชาติได้รับการพิสูจน์ เค้าก็เอาชื่อไปใส่ในทะเบียนราษฎร์ แจกบัตรประจำตัวประชาชนกันเดี๋ยวนั้นเลย หากผู้ว่าจังหวัดน่าน ทำอย่างนี้ทุกอาทิตย์ ต่อไปก็จะไม่มีคนไร้สัญชาติโดยข้อเท็จจริง (คนที่เกิดในไทย แต่ไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ) อยู่ในจังหวัดน่าน อีกเลย

“ส่วนวิธีการแก้ปัญหาคนไร้รัฐโดยข้อกฎหมาย (คนที่อพยพ มาจากประเทศอื่น) อาจไม่ให้สัญชาติโดยทันทีแต่ให้สิทธิอาศัยก่อน ซึ่งสิทธิอาศัยของคนกลุ่มนี้ต้องมีการจำแนกประเภทบุคคลตาม เหตุผลของการเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และให้ระยะเวลาอาศัย ตามเหตุผลดังกล่าว เช่น คนที่หนีภัยการสู้รบเข้ามา เราต้องให้ สิทธิอาศัยจนกว่าการสู้รบจะจบลง เพราะคนเหล่านี้ไม่สามารถ กลับประเทศต้นทางได้ แต่ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องการให้สิทธิ อาศัย เนื่องจากไม่ได้จำแนกประเภทของบุคคล ทำให้คนบางกลุ่ม ต้องมีการประท้วงขอต่อสิทธิอาศัยกันทุกปี การให้สัญชาติไทยกับ คนกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องใช้ระยะเวลา ไม่ใช่เข้ามาเพียงปีสองปี ก็ให้สัญชาติได้เลย เช่น ในอดีตเรามีการให้บัตรสีต่างๆ ตาม ระยะเวลาที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้เป็น บัตรสีเดียวกัน การให้บัตรเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อรับรอง ความเป็นมนุษย์ เป็นเอกสารที่รัฐบาลออกให้เพื่อรับรองตัวบุคคล โดยผู้ถือบัตรนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้มีสิทธิได้สัญชาติไทย แต่เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้รับการับรองความเป็นมนุษย์ ได้รับสิทธิ ขั้นพื้นฐาน และไม่ตกเป็นเหยื่อของการคอรัปชั่น และเมื่อถึงเวลา อันเหมาะสมจึงให้สัญชาติกับคนกลุ่มนี้”

แม้ว่าปัญหาเรื่องคนไร้สัญชาติและคนไร้รัฐดูจะเป็นเรื่องยาก แต่หากมีใครสักคนเริ่มต้นคิดและลงมือแก้ไข ปัญหานี้ก็คงจะ ค่อย ๆ ลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด เมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของคน ไร้สัญชาติ ซึ่ง“เลือกเกิด” ไม่ได้ก็จะสามารถ “เลือกเป็น” อะไรดังที่ใจใฝ่ฝันเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง