'คุกอินเส่ง' เป็นชื่อคุกที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองในพม่าหลายพันคนเคยย่างเท้าเข้าไป บางคนมีโอกาสได้กลับออกมาเห็นโลกภายนอกอีก แต่บางคนไม่มีโอกาส เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่กักขังนักโทษการเมืองที่ใหญ่และโหดที่สุดในพม่า โดยเฉพาะนักโทษในแดนขังเดี่ยว ซึ่งไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน หลายคนต้องจบชีวิตลงที่นี่ ส่วนคนที่รอดออกมาได้ก็ไม่สามารถลืมเลือนฝันร้ายในดินแดนที่เป็นเหมือนนรกแห่งนี้ไปตลอดชีวิต
มน (นามสมมติ) หญิงสาววัย 28 ปี อดีตผู้นำอันดับสามของกลุ่มเยาวชนพรรคสันติบาตเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดี ซึ่งมีนางอองซาน ซูจีเป็นผู้นำ ในวัยเพียง 19 ปี มนต้องกลายเป็นนักโทษการเมืองหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในแดนขังเดี่ยวของคุกอันเลื่องชื่อแห่งนี้ ตลอดระยะเวลา 11 เดือน เธอต้องเผชิญกับประสบการณ์อันโหดร้ายและเกือบเอาชีวิตไม่รอดกลับมาเห็นโลกภายนอกอีกครั้ง บทสัมภาษณ์ที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือนของอดีตนักโทษการเมืองหญิงคนน
คุณเข้ามาร่วมกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างไร
ฉันเป็นลูกคนที่ 4 ของพี่น้องทั้งหมด 6 คน และเป็นลูกคนแรกที่สอบผ่านเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดะโกงที่ย่างกุ้ง ฉันชอบเรียนหนังสือและใฝ่ฝันอยากเป็นครู แต่ไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองเลย จนกระทั่ง พ.ศ. 2539 ขณะที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก จู่ๆ รัฐบาลทหารก็สั่งปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ฉันโกรธมาก ที่ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มีแต่คำถามว่า "ทำไม" อยู่ในหัว ตอนนั้นฉันและเพื่อนๆ เริ่มจับกลุ่มคุยกันว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อนในชั้นคนหนึ่งเป็นลูกของส.ส. พรรคเอ็นแอลดี (จากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2533 แต่ถูกผู้นำทหารยึดอำนาจ) เป็นคนเล่าสถานการณ์การเมืองให้ฟัง หลังจากนั้นเพื่อนก็ชวนไปที่ทำการพรรคเอ็นแอลดีประจำกรุงย่างกุ้ง ตอนนั้นฉันคิดถึงบรรยากาศในห้องเรียนมากๆ ที่ทำการพรรคฯ มีห้องสมุด มีหนังสือ ให้ความรู้ต่างๆ มากมาย อองซาน ซูจีจะให้เยาวชนเลือกหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านและจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น วันไหนถ้าเธอมีเวลาว่างก็จะมานั่งแลกเปลี่ยนด้วยทุกครั้ง ตอนแรกฉันมาร่วมกิจกรรมในฐานะเยาวชนทั่วไป แต่หลังจากหนึ่งปีผ่านไปก็ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนของพรรคสันติบาติเพื่อประชาธิปไตย (Nationality League for Democracy Youth) อย่างเต็มตัวเมื่อพ.ศ. 2540
อะไรคือเหตุผลที่ตัดสินใจเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนพรรคเอ็ลแอลดีอย่างเต็มตัว
ฉันรู้สึกรักและเคารพอองซาน ซูจีมาก เวลานั้นเธอถูก กักบริเวณอยู่ในบ้านพัก เพื่อนๆ หลายคนก็ถูกจับเข้าคุก ฉันอยาก เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว อย่างเต็มตัว เพราะที่นี่เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยชีวิต ฉันรู้สึก ผูกพันกับที่นี่มาก ถ้าวันไหนไม่ได้ไปจะกระวนกระวายแทบนั่งไม่ติด ตอนนั้นฉันกับเพื่อนๆ ก็ไม่ได้มีเงินมากนัก เราก็เลยแบ่งเงินค่าขนมมาเป็นค่ารถไป-กลับที่ทำการพรรค เงินส่วนที่เหลือก็จะเอามารวมกันซื้อกับข้าวมากินด้วยกัน ตอนนั้นรู้สึกสนุกและมีความสุขมาก
ตอนนั้นกลัวจะถูกจับเข้าคุกเหมือนเพื่อนๆ ไหม
ฉันกลัวมาตั้งแต่ก่อนเข้าเป็นสมาชิกแล้ว แต่อองซาน ซูจี เคยบอกกับพวกเราว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะรู้สึกกลัว เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราต้องกลัว หากสถานการณ์การเมืองยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสู้เพื่อให้ความกลัวหมดไป และต้องเปลี่ยนความหวาดกลัว ให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของเราต่อไป
ครอบครัวมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
พ่อของฉันเป็นข้าราชการในกระทรวงเกษตร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เราอยู่ในเขตบ้านพักราชการซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง ถึงพ่อแม่จะเคยลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้กับพรรคเอ็นแอลดีเมื่อปี พ.ศ. 2533 แต่ท่านก็ไม่อยากให้ลูกๆ เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันก็เลยไม่กล้าบอกความจริงกับพ่อแม่ เพราะกลัวว่าท่านจะเป็นห่วงและห้ามไม่ให้ฉันออกจากบ้าน แต่ตอนหลัง พ่อเริ่มสังเกตว่าฉันสนใจฟังข่าววิทยุมากเป็นพิเศษ และมหาวิทยาลัยยังคงปิดแบบไม่มีกำหนด พ่อกลัวว่าฉันจะไปเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็เลยฝากให้ฉันทำงานเป็นแคชเชียร์ในบริษัทของเพื่อน แต่บังเอิญว่าบริษัทนั้นอยู่ใกล้กับที่ทำการพรรคเอ็นแอลดี ฉันก็เลยแอบแวะเข้าไปที่นี่ทุกวันหลังเลิกงาน โดยบอกพ่อแม่ว่าไปสมัครเรียนคอมพิวเตอร์ ซึ่งท่านก็ไม่ได้สงสัยอะไร ก่อนหน้าที่ฉันจะถูกจับ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเคยมาถามหาฉันที่บ้านครั้งหนึ่ง แต่แม่บอกว่าฉันไปเรียนคอมพิวเตอร์ พวกนั้นก็เลยกลับไป ฉันไม่อยากให้แม่เป็นห่วงก็เลยบอกแม่ไปว่า ที่หน่วยข่าวกรองมาตามฉันที่บ้านคงเป็นเพราะเพื่อนสนิทของฉันเป็นลูกของ ส.ส. พรรคเอ็นแอลดี
คุณถูกจับได้อย่างไร
หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคฯได้ประมาณ 3 ปี ฉันก็เริ่มได้รับมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งสำคัญมากขึ้น ก่อนที่จะถูกจับประมาณเดือนหนึ่ง คือวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2543 อองซาน ซูจีแต่งตั้งให้ฉันเป็นผู้นำเยาวชนในเมืองตะโกงเมียวติ๊ดที่ฉันอยู่ และเป็นผู้นำอันดับสามของกลุ่มเยาวชนเอ็นแอลดี ตอนนั้น รู้สึกภูมิใจมากและคิดว่าต้องทำงานให้หนักขึ้น แต่ก็กลัวจะถูกหน่วยข่าวกรองติดตาม หลังจากนั้นในวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิมนุษยชนพม่า ทางพรรคได้จัดงานโดยมีการประกวดบทกวีที่เกี่ยวข้องสิทธิมนุษยชน ฉันส่งบทกวีเข้าประกวดและได้รับรางวัลชื่อว่า “Without rhythm” (ปราศจากท่วงทำนอง) เป็นความรู้สึกคิดถึงห้องเรียนที่ถูกสั่งปิด ฉันถ่ายรูปตอนที่อองซาน ซูจีมอบรางวัลและเก็บภาพนั้นไว้ในห้องนอนที่บ้าน ซึ่งมันได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ฉันติดคุกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
เหตุการณ์ในวันที่ถูกจับเป็นอย่างไร
ฉันถูกจับวันที่ 12 เมษายน เช้าวันนั้นฉันไปทำความสะอาด ที่ทำการพรรคเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ และเล่นสาดน้ำเเหมือนกับ เทศกาลสงกรานต์ของไทย ฉันกลับถึงบ้านประมาณสามทุ่ม พี่ชายมารับที่ท่ารถ ตอนนั้นเห็นรถยนต์คันใหญ่ดูดีมากคันหนึ่ง จอดอยู่ก็พูดเล่นๆ กับพี่ชายว่าอยากจะนั่งรถคันนี้ไปเที่ยวรอบเมือง พี่ชายก็บอกว่า อยากจะเล่นสาดน้ำใส่รถคันนี้ เราหัวเราะหยอกล้อ กันมาตลอดทาง พอกลับถึงบ้านก็รีบขึ้นไปบนห้องเพื่อเช็ดผมและ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พอเปิดประตูออกมาก็เห็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองยืนอยู่ ฉันยืนตัวสั่นก้มหน้าเพราะรู้ตัวว่าคงถูกจับแน่ๆ พวกเขาเข้ามาค้นข้าวของในห้องกระจุยกระจายท่าทางหยาบคายมาก ในที่สุดก็เจอหลักฐานต่างๆ ทั้งภาพถ่ายคู่กับอองซาน ซูจี และสัญลักษณ์ต่างๆ ของพรรคฯ ตอนนั้นพ่อและน้องสาวไม่อยู่บ้าน มีแต่แม่และพี่ชายอยู่ เจ้าหน้าที่มากันทั้งหมด 8 คน พอได้หลักฐานเขาก็ลากฉันลงมาจากห้องและบอกกับแม่ว่า จะพาตัวลูกสาวไปสอบสวน โดยไม่ได้บอกว่าที่ไหน แม่มองฉันท่าทางเป็นห่วงมาก แต่ไม่ได้ร้องไห้ แม่พูดว่า “ดูแลตัวเองนะลูก อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ ขอให้ท่านคุ้มครองลูกนะ” พอเดินพ้นประตูบ้านก็เห็นรถคันใหญ่ที่ฉันกับ พี่ชายเพิ่งจะพูดเล่นกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ฉันถูกปิดตาและมัดมือก่อนจะถูกโยนขึ้นไปในรถคันนั้นอย่างรุนแรงจนพี่ชายของฉันทนไม่ได้ วิ่งเข้าไปด่าว่าทำไมทำกับฉันแบบนี้
คุณได้พูดอะไรกับเจ้าหน้าที่บ้างไหม
ตอนที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมาถึง ฉันถามว่ามีใบอนุญาตค้นบ้านหรือเปล่า ขอดูหน่อย เขาก็ตอบกลับมาว่า ใครสอนให้พูด แบบนี้ อองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเธอใช่ไหม แล้วก็หัวเราะเสียงดัง
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไร
ฉันถูกพามาสอบสวนที่หน่วยข่าวกรองหมายเลข 26 ที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด พอเอาผ้าปิดตาออกก็เห็นเพื่อนสมาชิกพรรคคนอื่นๆ เกือบยี่สิบคนนั่งอยู่ในนั้น ทุกคนจะถูกสอบสวนแยกกันทีละคน เจ้าหน้าที่จะถามถึงพฤติกรรมของเพื่อนคนอื่นๆที่ถูกจับเขาถามว่าทำอะไรบ้างในพรรค ฉันไม่ได้ตอบอะไรเลย แต่เขาก็รู้ข้อมูลของฉันจากเพื่อนคนอื่นหมดแล้ว ตอนที่กำลังสอบสวนอยู่ เจ้าหน้าที่พาเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้องแล้วถามว่ารู้จักคนนี้ไหม ฉันตอบว่ารู้จัก แต่เพื่อนคนนั้นกลับตะโกนโวยวายว่าไม่รู้จักฉัน ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ เลยตอบไปว่า เรารู้จักกันแค่เป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เพื่อนคนนั้นก็ยังตะโกนกลับมาอีกว่าไม่รู้จักฉัน ฉันก็เลยตอบกลับไปอีกว่า ไม่รู้จักฉันไม่เป็นไร แต่ฉันรู้จักเธอ ตอนหลังได้ข่าวว่า เพื่อนคนนี้ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกสอบสวนเพราะเขาเป็นคนให้ข้อมูลทั้งหมดเรื่องกิจกรรมในพรรค จากนั้นมาเขาก็ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเมืองอีกเลย เราเจอกันอีกครั้ง หลังจากออกจากคุกและฉันยังทักทายเขาเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะทีเดียวที่ไม่อยากติดคุก
ฉันถูกสอบสวนที่หน่วยข่าวกรองถึงประมาณตี 3 ตี 4 แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเลย หลังจากนั้นพวกเขาตะโกนเรียกชื่อฉันและเพื่อนบางคนออกมา บางคนถูกปล่อยตัวกลับบ้าน แต่ฉันถูกปิดตา และพาไปขึ้นรถโดยไม่มีใครบอกเลยว่าจะพาไปไหน ฉันเองก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะตอนนั้นพูดอะไรไม่ออกเลย หลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมงก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงประตูเหล็กเปิดออก เจ้าหน้าที่สั่งให้ก้มหัวลงและผลักให้เข้าไปด้านใน ก็รู้ว่าถูกจับเข้าคุก เรียบร้อยแล้ว เพราะประตูห้องขังจะเตี้ยกว่าประตูปกติ พอดึงผ้า ปิดตาออกก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องขังกับนักโทษอีกหลายคน ซักพัก เจ้าหน้าที่ก็เรียกฉันไปถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะถูกส่งไปยังแดนขังเดี่ยวที่โหดที่สุดในคุกอินเส่งจนถึงวันสุดท้ายที่ถูกปล่อยตัว
คุณถูกจับข้อหาอะไรและกำหนดโทษนานเท่าไหร่
ฉันไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าถูกจับข้อหาอะไรและต้องติดคุกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครบอกอะไรเลย
สภาพแดนขังเดี่ยวเป็นอย่างไร
ที่นี่เป็นแดนขังเดี่ยวนักโทษการเมืองหญิงที่หลายคนกลัวกันมาก เพราะเมื่อก่อนเคยใช้เป็นห้องขังนักโทษประหาร ในแดนขังเดี่ยวจะแบ่งออกเป็น 11 ห้องขังย่อยที่จุคนได้ 2-3 คน ฉันถูกขังคนเดียวเหมือนกับห้องขังอื่นๆ แต่ละห้องจะมีประตู 3 บาน คือ ประตูเหล็กทึบ ประตูลูกกรง และประตูไม้ ในห้องจะมีกระโถนวงรีแต่ไม่มีฝาปิดวางไว้ให้ นอกประตูลูกกรงมีขวดน้ำวางอยู่หนึ่งขวด
คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสภาพห้องขังในตอนนั้น
พอเห็นว่ามีน้ำเพียงแค่ขวดเดียวสำหรับใช้ดื่ม ล้างหน้า และล้างก้น ฉันทนไม่ได้ก็เลยโวยวายเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาถามว่าคุณนับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า ถ้าคุณนับถือพุทธ คุณน่าจะรู้ว่าเราไม่ใช้น้ำล้างหน้ากับล้างก้นจากขวดเดียวกัน ฉันอยากได้น้ำอีกขวดหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นหัวเราะแล้วบอกว่า ที่นี่คือคุกไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรทั้งนั้น พอได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ปัดขวดน้ำ กระเด็นออกไปนอกห้องขัง หัวหน้าผู้คุมเข้ามาถามว่ามีปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่คนนั้นรายงานให้ฟัง ตอนแรกผู้คุมคนนั้นยืนหัวเราะแต่สุดท้ายจึงยอมเอาขวดน้ำมาให้ฉันอีกขวดหนึ่ง ฉันเห็นห้องขังอื่นมีน้ำแค่คนละขวด บางคนแก่มาก ติดคุกมานานแล้วก็ยังได้แค่ขวดเดียว ฉันจึงขอร้องให้เจ้าหน้าที่เอาน้ำมาให้คนอื่นด้วย ในที่สุด ทุกคนจึงได้น้ำเพิ่มอีกคนละหนึ่งขวด
สภาพร่างกายและจิตใจของคุณเป็นอย่างไรบ้างในช่วงแรก
3 วันแรกฉันไม่ได้กินข้าว ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน กินแต่น้ำทั้งวัน เขาเรียกฉันไปสอบสวนอยู่หลายครั้ง ทั้งกลางวันและกลางคืน เวลาสอบสวนจะต้องสวมหมวกผ้าสีฟ้ามีปีกยื่นออกมาด้านหน้าเพื่อบังสายตาไม่ให้มองเห็นคนสอบสวน จะมองเห็นแค่ปลายเท้าตัวเองเท่านั้น ฉันต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงขาลอยจากพื้น มีเบาะเล็กๆ และไม่มีพนักพิง ถ้านั่งนานๆ จะปวดเอวมาก สภาพจิตใจของฉันแย่มากเพราะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกตัดสินลงโทษด้วยข้อหาอะไรบ้างและต้องติดคุกนานเท่าไหร่ ตอนนั้นมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
อาหารภายในคุกเป็นอย่างไร
เจ้าหน้าที่เอาอาหารมาให้ครั้งแรกในวันที่ 4 พอเห็นอาหาร ที่เจ้าหน้าที่เอามาให้เท่านั้น ฉันก็ร้องไห้โฮแบบที่ไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต เพราะสิ่งที่เห็นคือข้าวคุณภาพต่ำมากราดน้ำแกงถั่วและเศษปลาเหม็นๆ เจ้าหน้าที่เข้ามาถามว่าเป็นอะไร ฉันตะโกนใส่หน้าไปว่า พวกคุณคิดว่าพวกเราเป็นสัตว์หรือยังไง รู้ไหมว่า อาหารแบบนี้หมายังไม่กินเลย หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฉันก็ถูกเรียกตัวไปที่ห้องเจ้าหน้าที่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าตาของเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ชายท่าทางสุภาพ เขาพูดว่า “น้องสาวร้องไห้ทำไม ไม่อยากกินอาหารแบบนี้เหรอ” จากนั้นก็มีคนยกถาดอาหารหน้าตาน่ากินหลายอย่างเข้ามาในห้อง พอฉันมองเห็นปุ๊บก็แทบจะเอามือไปคว้าใส่ปากเลย เพราะไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว พอเจ้าหน้าที่คนนี้เห็นว่าฉันอยากกินก็เลยบอกว่า “นั่นเป็นอาหารของเธอ กินซะสิ” ฉันเกือบจะเดินไปตักอาหารเข้าปากแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ยินประโยคต่อมาว่า “ถ้าเธอยอมเซ็นชื่อและตอบคำถามของเรา เธอจะได้กินของอร่อยทั้งหมด เราจะไม่บอกใคร ว่าเธอเป็นคนบอกข้อมูลเราหรอกนะ” พอฟังจบฉันก็หยุดชะงัก ความรู้สึกอยากอาหารหายไปหมด ได้แต่บอกกับตัวเองว่า “ฉันจะ กินของพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้ากินเข้าไปก็ต้องตอบคำถามพวกเขา”
ฉันหันกลับไปบอกเขาว่า “ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ช่วยส่ง ฉันกลับไปที่ห้องขังที ถ้าคนอื่นได้กินอย่างนี้เหมือนกัน ฉันถึงจะกิน ฉันไม่ใช่ผู้ต้องขังพิเศษถึงจะได้กินคนเดียว และฉันก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรคุณได้” พอพูดจบ ชายหนุ่มท่าทางสุภาพเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งทันที เขาตะโกนด่าฉันลั่นห้องก่อนจะส่งฉัน กลับไปห้องขัง ในที่สุด ฉันก็ฝืนใจกินอาหารชั้นเลวพวกนั้นจนได้
สิ่งที่เป็นปัญหาของคุณมากที่สุดคืออะไร
เรื่องเสื้อผ้าและการอาบน้ำ หลังจากใส่เสื้อผ้าชุดเดียวที่ติดตัวมาจากบ้านสองอาทิตย์ ฉันก็ได้รับเครื่องแบบนักโทษสีขาว สองชุด เวลามีประจำเดือนจะลำบากมาก เพราะไม่มีผ้าอนามัยใส่ และเสื้อผ้าเป็นสีขาวมีแค่สองชุด เราได้รับอนุญาตให้ใช้น้ำแค่ 6 ขัน สำหรับอาบน้ำและซักผ้า เราต้องราดน้ำลงบนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ แล้วค่อยเปลี่ยนชุดใหม่ ไม่มีสบู่ แชมพู พอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ต้องตากผ้า โดยวางแผ่ไว้บนพื้นดิน ทุกๆวันเราจะได้ออกจากห้องขัง 2 ช่วง ช่วง 9 โมงเช้าเพื่ออาบน้ำ และช่วงบ่ายเพื่อทำความสะอาดห้องขัง แต่ละช่วงมีเวลาแค่ 5 นาที บางครั้งตอนหน้าฝน เสื้อผ้าที่ตากไว้ เกือบจะแห้งอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาออกจากห้องขังก็จะเปียกฝนเพราะไม่มีใครมาเก็บให้ต้องทนใส่ชุดเดิมต่อไปจนกว่าชุดใหม่จะแห้ง
เคยถูกทำร้ายร่างกายบ้างไหม
เคยครั้งหนึ่ง ตอนที่ติดคุกได้ 4 วัน ฉันไม่ได้กินข้าวเลยและเหนื่อยล้ามากที่ต้องถูกสอบสวนด้วยคำถามเดิมๆ พอได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่า “ซูจีเป็นเมียต่างชาติ เธออยากจะเป็นเมีย ต่างชาติเหมือนกันหรือไง พวกเธอไม่มีความสำคัญกับประเทศของเรา” ฉันโกรธมากเลยตะโกนตอบกลับไปว่า “ใช่ พวกเราไม่ใช่คนสำคัญ แต่ทำไมพวกคุณถึงกลัวเรานักล่ะ ที่จับพวกเรามาเพราะกลัวพวกเรา ใช่ไหม” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ใช้หลังมือที่สวมแหวนตบเข้าที่แก้มซ้ายขวาและคางฉันอย่างแรง ทำให้กินข้าวไม่ได้ไปหลายวัน
สภาพจิตใจตอนที่อยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง
บางครั้งฉันก็แอบร้องไห้ที่มุมห้องเพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ได้ยิน เพราะถ้าได้ยินเสียงใครร้องไห้ เขาจะคิดว่าคนนั้น เริ่มทนอยู่ในคุกไม่ได้แล้ว อาจจะยอมให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ บางวัน ฉันคิดถึงพ่อแม่มากๆ ฉันก็ร้องไห้หรือตะโกนออกมาดัง ๆ เหมือนคนบ้า ฉันมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันโดยไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในนั้นอีกนานเท่าไหร่ กลัววันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง เพราะไม่รู้ว่าจะถูกย้ายไปที่ไหนอีกหรือเปล่า และก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ บางคนถูกจับไม่นานก็ถูกปล่อยตัวไปเพราะยอมเซ็นชื่อว่าจะไม่ร่วมกิจกรรม ทางการเมืองอีก แต่ฉันไม่ยอมเซ็น
พ่อแม่ทราบข่าวของคุณบ้างหรือไม่
ตลอดเวลา 3 เดือนแรก พ่อแม่ไม่รู้เลยว่าฉันอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเดือนที่ 4 หน่วยข่าวกรองในเมืองของฉันไปบอกพ่อกับแม่ที่บ้านว่าฉันอยู่ที่คุกอินเส่งโดยไม่มีกำหนด ให้พ่อแม่ฝากของไปเยี่ยมผ่านหน่วยข่าวกรองประจำเมืองได้ แต่ไม่ให้ไปเองพ่อแม่เล่าให้ฟังตอนหลังว่า ท่านเตรียมข้าวของไปเยี่ยมฉันหลายครั้ง บางทีพวกเจ้าหน้าที่ก็จะแกล้งไม่ยอมออกมารับของ และปล่อยให้นั่งรอตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอฉันได้ยินฉันรู้สึกสงสารท่านมาก เพราะท่านอายุมากแล้ว และของที่ท่านฝากให้ก็ไปถึงฉันแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น
คุณสามารถสื่อสารกับนักโทษในแดนเดียวกันได้หรือไม่
พวกเรามีโอกาสได้เจอกันตอนอาบน้ำ ครั้งละประมาณ 3 คน แต่ห้ามคุยกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงคุยกันก็จะตะโกนด่า เราก็เลยสื่อสารกันโดยใช้ภาษามือ เช่น ยกนิ้วโป้งหนึ่งครั้งแปลว่าสบายดี หรือยกนิ้วโป้งพร้อมกับกดข้อมือลงแนบอกแปลว่าเข้มแข็งไว้นะถ้าคืนไหนได้ยินเสียงใครร้องไห้อยู่ในห้องขัง ตอนเช้าเราจะยกมือให้กำลังใจกัน พอพ่อแม่เริ่มฝากของกินมาให้ เราก็มีวิธีสื่อสารกันมากขึ้น ฉันใช้กิ๊ฟติดผมที่เป็นเหล็กเขียนข้อความหรือบทกลอน ลงบนพลาสติกห่อขนมที่พ่อแม่เอามาฝาก แล้วแอบส่งให้กัน หรือไม่ ก็ซ่อนไว้ในรูเล็กๆ รอบห้องขัง บางทีก็ขีดเขียนบนฝาผนัง เราจะ ไม่ได้อยู่ห้องขังเดิมตลอด แต่จะวนเวียนไปอยู่ห้องอื่นบ้างใน 11 ห้อง เวลาไปห้องขังใหม่เราก็จะได้อ่านข้อความที่คนเก่าเขียนไว้ให้
สามารถตะโกนคุยกันได้ไหม
หลังจากติดคุกประมาณหกถึงเจ็ดเดือน เราเริ่มสนิทกับผู้คุมบางคน และต่อรองให้พวกเราคุยกันและเดินไปหากันได้บ้างวันละ 10 นาที ที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่เหล่านี้เขาก็เห็นใจพวกเรา แต่เขา ก็ต้องทำตามหน้าที่เพื่อความอยู่รอด พวกเขายากจนมาก ฉันแบ่งอาหาร ที่แม่ฝากมาให้อยู่บ่อยๆ จนเราเริ่มสนิทกันและต่อรองได้มากขึ้น
องค์การกาชาดสากล (ICRC) เคยเข้าไปเยี่ยมบ้างไหม
พวกเราได้พบสองครั้ง ในช่วงที่องค์การกาชาดสากลมาเยี่ยม เจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนกระโถนในห้องขังเป็นพลาสติกที่มีฝาปิดอย่างดี เปลี่ยนขวดใส่น้ำ เปลี่ยนอาหารให้ใหม่ แต่หลังจากนั้นประมาณ สองวัน ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม ฉันแอบเก็บอาหารจริงๆ ห่อพลาสติกซ่อนไว้ที่เอว แล้วเอาให้คนที่มาเยี่ยมดูและเล่าความจริงให้ฟังว่าเป็นอย่างไร พวกเจ้าหน้าที่โกรธฉันมากทีเดียว
มีปัญหาด้านสุขภาพอะไรบ้าง
ปัญหาหลัก คือ โรคผิวหนัง และโรคกระเพาะ เพราะอาบน้ำ ซักผ้า ไม่สะอาด และกินอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ หลังจากกินข้าวแล้วก็ไม่ได้เดินไปไหนมาไหน ทำให้มีกรดในกระเพาะ เยอะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันถูกส่งเข้าโรงพยาบาลในคุกอินเส่งเพราะปวดท้องมากจนลุกเดินเองไม่ได้ พอไปถึงหมอก็ฉีดยาให้ ฉันกลัวจะติดเชื้อเอชไอวีและตายในคุกเหมือนกับนักโทษอีกหลายคนที่ติดชื้อเอชไอวีหลังจากมารักษาที่นี่ เพราะในโรงพยาบาลมีทั้งนักโทษคดียาเสพติดและหญิงขายบริการรวมอยู่ด้วย เวลาหมอเอาเข็มฉีดยามาฉีดให้ ฉันไม่รู้ว่าเป็นเข็มใหม่หรือเปล่า
เคยรู้สึกท้อแท้บ้างไหม
ฉันเคยรู้สึกสับสนครั้งหนึ่ง พอติดคุกได้ 5 เดือน มหาวิทยาลัย ก็เปิดสอนอีกครั้งหลังจากปิดไป 4 ปี เจ้าหน้าที่มาถามฉันว่า ตอนนี้ มหาวิทยาลัยเปิดแล้ว ถ้าอยากกลับไปเรียนก็ต้องเซ็นชื่อว่าจะไม่ เข้าร่วมกิจกรรมการเมืองอีก จริงๆ ฉันรู้สึกคิดถึงห้องเรียนมาก เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นความฝันของฉัน และถ้ามหาวิทยาลัย ไม่ปิดก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสับสน คือความรู้สึกของพ่อแมที่ตั้งความหวังไว้กับฉัน เพราะเป็นลูกคนแรกที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และท่านก็อายุเกือบ 70 ปีแล้ว แต่ฉันก็โกหกตัวเองไม่ได้ว่า ถ้าสถานการณ์การเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง ฉันจะไม่มีวันอยู่เฉยๆได้แน่ๆ ถ้ากลับออกไปข้างนอกโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันอยู่ในคุกต่อไปดีกว่า แม้ว่าชีวิตในคุกจะเลวร้ายแค่ไหน แต่พอฉันนึกถึงเพื่อนนักโทษคนอื่นๆ บางครั้งฉันได้ยินเสียงเพื่อนอีกห้องล้มลงแล้วร้องไห้ บางทีก็เสียงตะโกนเหมือนคนเสียสติ ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องไม่ยอมแพ้ และอยากต่อสู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ถ้าฉันยอมเซ็นชื่อและได้กลับไปเรียนโดยที่ สถานการณ์การเมืองยังเหมือนเดิม ถ้าจู่ๆ มหาวิทยาลัยถูกปิดอีก ฉันก็ไม่มีที่เรียนอยู่ดี เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดตลอดไป ฉันก็เลยปฏิเสธที่จะเซ็นชื่อและกลับไปเรียนหนังสือ
คุณได้รับการปล่อยตัวได้อย่างไร
ฉันถูกปล่อยตัวเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 โดยที่ไม่รู้ตัวล่วงหน้าเลย ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าถูกจับข้อหาอะไร ต้องติดคุกนานเท่าไหร่ จู่ๆ ก็ถูกจับ จู่ๆ ก็ถูกปล่อยตัว เช้าวันนั้นผู้คุมนำแป้งผัดหน้าตะนาคาและสบู่ที่พ่อแม่ฝากมาให้ฉันใช้ หลังจากนั้นก็สั่งให้ฉันและนักโทษในแดนเดียวกันเก็บของและไปที่ห้องเจ้าหน้าที่ พอเข้าไปในห้องก็ได้พบกับนักโทษชายจากแดนขังเดี่ยวหลายคน จากนั้นพวกเราก็ถูกถ่ายรูป เจ้าหน้าที่บอกว่า วันนี้พวกเราจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ โดยไม่มีการบอกเหตุผลว่าเพราะอะไร แต่กำชับว่าถ้าออกไปแล้วห้ามเล่าเรื่องในคุกให้คนอื่นฟัง ก่อนจะกลับ เจ้าหน้าที่เอาที่นอนและมุ้งที่พ่อแม่ฝากให้ฉันมาคืนให้ พร้อมกับมีกลิ่นเหล้าและบุหรี่ติดอยู่ พ่อแม่คงเสียใจมากถ้ารู้ว่าฉันไม่มีโอกาสได้ใช้ของเหล่านี้แต่พวกเจ้าหน้าที่เอาไปใช้แทน หลังจากนั้นฉันถูกพากลับไปที่หน่วยข่าวกรอง 26 เพื่อรับฟังการอบรมจากเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ก่อนจะถูกพาไปส่งที่บ้าน
ทางบ้านได้ทราบก่อนหรือไม่ว่าคุณจะได้รับการปล่อยตัววันนั้น
ไม่ทราบค่ะ ตอนที่ฉันกลับถึงบ้าน แม่ยังเตรียมอาหารฝากไปเยี่ยมฉันอยู่เลย ฉันเดินโซซัดโซเซเข้าไปในบ้าน เพราะขายังเดินไม่ถนัด ตายังพร่ามัวไม่ชินกับแสงอาทิตย์ และจมูกก็ยังไม่ชินกับอากาศภายนอก ตอนนั้นมีแต่แม่และน้องสาวอยู่ พอแม่เห็นฉันก็ตะโกนเรียกชื่อ แม่ร้องไห้และวิ่งเข้ามากอด สภาพฉันตอนนั้นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เนื้อตัวมีแผลโรคผิวหนังเต็มไปหมด
ความรู้สึกหลังจากได้รับอิสรภาพเป็นอย่างไร
ตอนแรกคิดว่าคงจะกินอะไรได้อร่อย แต่ปรากฎว่ากินไม่ค่อย ได้เลย เพราะกระเพาะของฉันไม่ได้รับอาหารที่มีประโยชน์มานาน ตอนกลางคืนก็นอนหลับบนเตียงนุ่มๆไม่ได้ เพราะชินกับการนอนบนพื้นปูนมาเกือบปี เวลานอนมองเพดานทีไรก็จะเห็นแต่ภาพเพดาน ห้องขัง ฉันนอนร้องไห้และสะดุ้งตื่นทั้งคืนเพราะคิดว่ายังอยู่ในคุกช่วง 6 เดือนแรกหลังออกจากคุก ฉันนอนอยู่แต่ในห้อง ไม่อยากออกไปไหนเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากเจอใคร ฉันกินได้น้อยกว่าเดิม และผวาเสียงคน จนถึงวันนี้ ผ่านไปหกปีแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ฉันคิดถึงคนอื่นที่ติดคุกนาน ๆ อย่างมินโกนาย อดีตผู้นำนักศึกษาถูกขังเดี่ยวนานถึง 17 ปี (ถูกจับตัวอีกครั้งเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา) หรือ ขุนทุนอู ผู้นำของพรรคสันติบาตชนชาติรัฐฉานถูกตัดสินจำคุกนานถึง 100 ปี ฉันคิดว่าสภาพจิตใจของเขาคงจะแย่กว่าฉันหลายเท่า เพราะนี่ขนาดฉันติดคุกแค่ 11 เดือน ยังรู้สึกแย่ขนาดนี้เลย
ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
เพื่อนบ้านคิดว่าฉันเป็นคนขี้คุก ไม่ยอมให้ลูกของเขาที่เคยเป็นเพื่อนสนิทมาคุยกับฉันอีก ญาติ ๆ ก็พากันรังเกียจ ไม่อยาก ให้ฉันไปที่บ้านเพราะกลัวจะถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองไปด้วย แต่ครอบครัวก็เข้าใจและยอมรับฉัน คืนแรกพ่อกับแม่คุยกันว่า ท่านเป็นห่วงฉัน ไม่อยากให้ข้องเกี่ยวกับการเมืองอีก แต่พอวันรุ่งขึ้น ฉันก็ขออนุญาตท่านไปรายงานตัวที่ทำการพรรคเพื่อให้ทางพรรครู้ว่าฉันถูกปล่อยตัวแล้ว ก่อนออกจากบ้านพ่อแม่ได้แต่มองหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไร ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ฉันก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นเหมือนเดิม
คุณใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
หลังจากนั้นฉันกลับไปยื่นเรื่องขอกลับไปเรียนต่อ แต่ปีแรกที่ไปยื่นเรื่อง ทางมหาวิทยาลัยบังคับให้เซ็นชื่อว่าจะไม่ร่วมกิจกรรมการเมืองอีก ฉันไม่เซ็นต์ก็เลยไม่ได้เรียนและอยู่ว่างๆ ปีหนึ่ง พอปีต่อไปก็ไปยื่นเรื่องขอกลับเข้าเรียนอีก คราวนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับให้เซ็นชื่อจึงกลับไปเรียนจนจบทางด้านเคมีในปี พ.ศ. 2546 แต่ฉันสนใจงานนักข่าวมากกว่าก็เลยสมัครเข้าทำงานที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในย่างกุ้ง จากนั้นได้รับเลือกให้เข้ารับการอบรมด้านการข่าวจากองค์กรพัฒนาเอกชนสองแห่ง
ทำไมถึงอยากเป็นนักข่าว
ฉันอยากเป็นนักข่าวเพราะอยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้นและอยากถ่ายทอดสิ่งที่รู้ให้คนอื่น แต่ทุกวันนี้ประเทศของฉันเต็มไปด้วยการเซ็นเซอร์ทำให้เราทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ ตอนนี้ฉันเป็นนักข่าวรายการวิทยุภาคภาษาพม่าที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพกับองค์กรสื่อต่างประเทศในประเทศไทย นี่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำเพื่อประชาชนของฉันได้ในเวลานี้
คิดจะกลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดอีกไหม
บางครั้ง ฉันรู้สึกเห็นแก่ตัวที่ออกมาอยู่ข้างนอกประเทศ แต่ฉันคิดว่า ถ้ายังอยู่ในพม่าตอนนี้อาจจะถูกจับอีกครั้งและอาจจะไม่มีชีวิตรอดได้ออกมาข้างนอกอีก เพราะเจ้าหน้าที่ยังไปที่บ้านอยู่บ่อยๆ และถามพ่อแม่ว่าฉันไปไหน ถ้าวันพรุ่งนี้พม่ามีประชาธิปไตย ฉันจะกลับบ้านทันที ฉันอยากทำงานเพื่อประชาชน อยากอยู่กับพ่อแม่ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องอยู่บนแผ่นดินอื่นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน.