สัมภาษณ์ : สุรพงษ์ ชัยนาม

"ถ้าเปรียบเทียบแล้ว พม่าอยู่รั้วติดกับบ้านเรา แล้วไฟไหม้บ้านพม่า แต่เราบอกว่าไม่ใช่ปัญหาของเรา อย่าไปยุ่ง ปล่อยให้มันไหม้ไปเลย แล้วคุณคิดหรือว่า ไฟไหม้บ้านของเขามอดแล้วจะไม่มาไหม้บ้านเรา คุณก็ต้องจัดการไปช่วยดับไฟนี้ ไม่ใช่ช่วยเขา แต่จริง ๆ แล้วช่วยตัวเองนี่แหละ"



อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดานักการทูตที่มีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านมายาวนานและมีผลงานโดดเด่นจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ท่านทูตสุรพงษ์ ชัยนาม นับเป็นหนึ่งในนักการทูตระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่มีความคิดเห็นอันเฉียบคม และมุมมองการทำงานแบบนักการทูตมืออาชีพที่คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นสำคัญ  ตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ท่านทูตได้ติดตามสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่าอย่างใกล้ชิด ประสบการณ์ทำงานของท่านจึงนับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับสังคมไทยในการจัดวางความสัมพันธ์เพื่อเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับประเทศพม่าต่อไป 

อยากให้ย้อนเล่าประสบการณ์ทำงานเรื่องพม่า
ผมเข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนที่เกี่ยวกับพม่าและเพื่อนบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา หรือเกือบ 27-28 ปีมาแล้ว ตอนนั้นตรงกับยุคสงครามเวียดนามและสงครามกัมพูชา หลังจากสงครามเวียดนามจบสหรัฐพ่ายแพ้ ฐานทัพต่างๆ ในไทยก็โดนปิด เพราะถ้าเรายังมีอยู่ก็เท่ากับส่งเสริมความขัดแย้งในภูมิภาค เมื่อสงครามจบไปแล้ว แต่เราต้องอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านกันต่อไป เราก็ต้องเตรียมตัวเราให้พร้อมเป็นเพื่อนบ้านกับประเทศที่เราเคยมองว่าเป็นศัตรู และมีระบบการปกครองที่แตกต่างจากเรามากแบบขาวกับดำคือคอมมิวนิสต์  สำหรับปัญหาพม่า ในช่วงเวลานั้นเรามองว่าพม่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของไทย แม้ว่านายพลเนวินจะทำการรัฐประหารปี ค.ศ.1962(พ.ศ.2505) สถาปนาระบอบการปกครองสังคมนิยมแบบพม่าขึ้นมา แต่เนื่องจากเวียดนามและกัมพูชามีปัญหามากกว่า เราจึงไม่อยากเปิดศึกสองด้าน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พม่ารุกรานอธิปไตยของเราในช่วงฤดูแล้งของทุกปี เวลาทหารพม่าปราบชนกลุ่มน้อย กระสุนปืนครกจะกระเด็นเข้ามาฝั่งเรา มีคนเสียชีวิตไม่รู้เท่าไหร่ เราส่งหนังสือประท้วงเรียกร้องค่าเสียหายหนาเป็นตันๆ แต่พม่าบอกว่าไม่รับรู้ เราก็อดทนอดกลั้นเอาไว้

จนกระทั่งเสร็จสิ้นสงครามเวียดนามและกัมพูชาแล้ว เราก็เริ่มหันมาให้ความสนใจพม่ามากขึ้น ตอนนั้นเรามองว่าอยากให้พม่าเป็นกันชนให้ เพราะพม่าสังกัดอยู่ในประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งหากพิจารณาดูแล้ว การปกครองของพม่าเองได้รับอิทธิพลจากค่ายคอมมิวนิสต์พอสมควร เช่น หน่วยข่าวกรองของพม่าได้รับการฝึกอบรมอย่างดีจากประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ไม่บัลกาเรียก็เชคโกสโลวาเกีย หรือเยอรมันตะวันออก และพม่าก็ได้รับอิทธิพลจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพรรคคอมมิวนิสต์พม่ามาก แต่ด้วยความที่พม่ามีความเป็นชาตินิยมสูงมาก เราก็คิดว่าสิ่งนี้จะช่วยเป็นเกราะกำบังให้อิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่จะแทรกซึมในพม่ายากขึ้น ผมคิดว่าพม่าเป็นชาตินิยมที่ฉลาดพอที่จะไม่เป็นศัตรูกับจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคนี้และมีพรมแดนติดกับพม่า
 เหตุผลที่พม่าสมัครเป็นสมาชิกอาเซียนหลังจากโดดเดี่ยวตัวเองมานาน 
หลังสิ้นสุดสงครามเย็น สหภาพโซเวียตล่มสลาย พม่าต้องปรับตัวเพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมีแต่ชื่อเท่านั้น เพราะแตกกันหมดแล้ว ในยุคหลังสงครามเย็น หรือเราเรียกว่าโลกาภิวัตน์ อำนาจการเมืองที่เป็นใหญ่ คือ ระบอบเสรีประชาธิปไตย อำนาจนำทางเศรษฐกิจ คือ ทุนนิยมเสรี พม่าก็ปรับและเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พม่าขอเป็นสมาชิกอาเซียน เพราะเมื่อก่อนยังได้รับความช่วยเหลือจากโลกสังคมนิยม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เราเคยเชิญพม่าเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ เขาก็ไม่ให้ความสำคัญ ทั้งเวียดนาม ลาว กัมพูชา เคยมองว่าอาเซียนเป็นสุนัขรับใช้ของโลกตะวันตก แต่พอโลกคอมมิวนิสต์ของตัวเองล่มสลายแล้วก็ยอมมาเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติที่ทุกอย่างมีบริบทของมันไม่มีอะไรตายตัว เพราะผลประโยชน์มันไม่ตายตัว

ข้อดีของอาเซียน
ข้อดีของการเอาประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นสมาชิกอาเซียนก็เพื่อให้เป็นเครือข่ายกันและล็อคให้อยู่ในระบบ เวลาทำข้อตกลงกับประเทศอื่น เช่น ยุโรป อมริกา ญี่ปุ่น เราก็ทำข้อตกลงในนามอาเซียน ใช้ความเป็นสมาชิกอาเซียนมาผูกมัดเด็กเกเรให้มาอยู่รวมกันในนี้ อย่างน้อยก็เพื่อหาทางให้ภูมิภาคนี้มีความสงบมากขึ้น

แต่สมมติฐานที่คิดไว้บางอย่างก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงเหมือนกัน เช่น วิธีคิดที่ว่าถ้าเอาคนที่เกเรมาอยู่กลุ่มผู้ดีจะเป็นผู้ดีด้วย หรือเหตุผลที่เอาพม่าเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียนเพื่อลดอิทธิพลของจีน เราก็เห็นแล้วว่าไม่จริง เพราะตอนพม่าเข้ามาเป็นสมาชิกปี ค.ศ. 1997 อิทธิพลของจีนน้อยกว่านี้อีก เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่หลอกกันเองมากกว่า

ข้อเสียของอาเซียน 
กฎบัตรอาเซียนไม่มีการลงโทษประเทศสมาชิกที่ออกนอกรีตนอกรอย นี่จึงเป็นจุดที่พม่าใช้ความเป็นสมาชิกอาเซียนตอบสนองผลประโยชน์ของตนเองอย่างเดียว เพราะรู้ว่าอาเซียนไม่มีบทลงโทษอะไรและก็ไม่มีสิทธิจะไล่เค้าออกด้วย คุณเข้ามาแล้วต้องจมอยู่กับเค้าตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นตราบใดที่กฎบัตรอาเซียนไม่มีการแก้ไขให้มีบทลงโทษถ้าทำให้องค์กรได้รับความเสื่อมเสีย อาเซียนก็ไม่สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพม่าได้ เพราะจริงๆ แล้วต้องมีหลักเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกหรือบทลงโทษสมาชิก อย่างสหภาพยุโรปหรืออียูยังมีหลักเกณฑ์ในการเข้ามาเป็นสมาชิกหลายข้อ หนึ่งในนั้น คือ คุณต้องเป็นประชาธิปไตย และเศรษฐกิจของคุณต้องเป็นทุนนิยม ก่อนหน้านี้ กรีก สเปน โปรตุเกส ไม่สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกได้ทั้งๆ ที่ขอสมัครมาสิบ กว่าปี เพราะประเทศเหล่านี้ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ (ทั้งทหารหรือพลเรือน) หลังจากเป็นประชาธิปไตย พอสมัครปั๊บเค้ารับเลยแต่อาเซียนไม่มีเลย เราก็แค่เอาปัจจัยด้านภูมิศาสตร์คืออยู่ในภูมิภาคเดียวกันมาเป็นเกณฑ์เท่านั้น แต่ระบอบการปกครองจะเป็นยังไงไม่สนใจ

ด้วยเหตุนี้ อาเซียนจะไม่มีทางรวมตัวทางเศรษฐกิจได้เด็ดขาด ตราบใดที่การเมืองการปกครองยังแตกต่างกันมาก เพราะเมื่อระบอบการปกครองต่างกัน วัฒนธรรมการเมือง และปรัชญาการเมืองก็แตกต่างกันมาก ทำให้การมองปัญหาและการแก้ปัญหาแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางไปไหนได้เลย นอกจากแค่ความร่วมมือกันเฉยๆ แต่ถึงยังไง มันก็ดีกว่าไม่มี เพราะถ้าไม่มีคงวุ่นวายกว่านี้อีก

พม่าสร้างปัญหาให้กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ อย่างไร
จะเห็นว่า พอพม่าเข้ามาแล้วมีปัญหามาก เพราะเราไม่มีหลักเกณฑ์เรื่องการเมืองการปกครอง ถ้าเรามีหลักเกณฑ์ว่าประเทศสมาชิกต้องปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย หรือไม่ถึงขนาดเหมือนกันเป๊ะ แต่เนื้อกลมกลืนกันได้ก็พอแล้ว เพราะถ้าดูกันจริงๆ แล้ว สิงคโปร์ก็เป็นเผด็จการ รัฐสภา พรรคการเมืองพรรคเดียว ฝ่ายค้านไม่มีความหมาย มาเลเซียก็เหมือนกัน แต่อย่างน้อยสุดประเทศเหล่านี้ยังมีหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ในพม่าไม่มี ผู้นำทหารพม่าสามารถลากคนเข้าคุกได้ตามใจชอบ ไม่มีการแยกอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ผู้คุมอำนาจทุกอย่างคือสภาทหารหรือเอสพีดีซี ดังนั้นมันไม่มีทางที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้

แต่ถ้าเรามีหลักเกณฑ์การเป็นสมาชิก พม่าก็จะไม่มีทางเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียนได้ แล้วตอนนั้นเขาก็จะต้องพยายามเปลี่ยนแปลงให้มันดูเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อาจเริ่มต้นจากเสี้ยวใบ ครึ่งใบ ค่อนใบ จน เต็มใบ ค่อยๆ วิวัฒนาการเหมือนกับไทย แต่ของพม่า หลังจากอูนุถูกโค่นไปแล้ว ประชาธิปไตยมันตายไปเลย สี่สิบกว่าปีแล้ว การที่อาเซียนไม่มีหลักเกณฑ์ในการเข้ามาเป็นสมาชิก กระบวนการประชาธิปไตยก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในพม่า

ประเทศพม่าจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างไร
จริงๆ แล้ว การกดดันพม่าควรทำตั้งแต่หลังยุคสงครามเย็น ค.ศ. 1989 เพราะตอนนั้นผู้นำพม่ายังไม่มีไพ่หลายสำรับให้เล่น แต่ตอนนี้ มีทั้งไพ่สำรับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อาเซียน และสหประชาชาติ คุณจะหวังให้อาเซียนบีบพม่า ไม่มีทาง เพราะประเทศเหล่านี้ต่างกำลังแย่งหาทรัพยากรให้ตัวเอง พวกผู้นำพม่ารู้ดีว่าควรเล่นไพ่สำรับไหน ถ้าเล่นสำรับนี้แพ้ก็เปลี่ยนสำรับใหม่ เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ

ความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในพม่า 
ในทางการเมือง เราต้องมองสถานการณ์จากโลกที่มันเป็นจริงไม่ใช่จากที่เราอยากให้มันเป็นจริง เพราะเราจะประสบความผิดหวัง การมองจากความเป็นจริงคือเราอย่าไปหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในพม่าในเร็ววันข้างหน้านี้ เพราะมันไม่มีปัจจัยอะไรที่จะเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงหรือกดดันได้ อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ทั้งเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และไพ่หลายสำรับ เพราะฉะนั้นเราจะหวังอะไรได้ ตอนนี้ดีที่สุดคืออย่าให้มันเลวร้ายไปกว่านี้เพราะมันก็เลวร้ายสุดๆ อยู่แล้ว สอง ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในขณะนี้จะทำให้พม่าไม่อยู่ในจอเรดาร์ความสนใจของประชาคมโลก อย่างเหตุการณ์ปราบปรามพระสงฆ์เมื่อเดือนกันยายน 2550 และไซโคลนนาร์กิสพฤษภาคม 2551 ตอนนั้นไฟแดง พม่ากระพริบขึ้นที่จอเรดาร์ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจของสหรัฐและโลกกำลังแย่ ถามว่าจีน สหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น อียู อาเซียน ต้องการทำให้เรือระส่ำระส่ายไหม คำตอบคือ ไม่ ทุกคนจึงไม่พูด แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า ปัญหาของพม่าต้องไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แต่ถ้าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อไหร่ สหรัฐ ญี่ปุ่น อียู ก็จะหันมาสนใจพม่ามากขึ้น หรือ ทั่วโลกจะหันมาสนใจทันที ถ้าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ หรือก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เช่น ถ้าเกิดพายุนาร์กิส และรัฐบาลพม่า
กีดกันความช่วยเหลือทำให้คนตายเยอะอีก ประเด็นพม่าก็จะเข้าสู่เวทีโลกแน่ๆ แต่ผมคิดว่า ผู้นำพม่าฉลาดพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น

ประเทศไทยจะต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้ปัญหาพม่าเลวร้ายไปกว่านี้
ในแง่ของไทย อย่าไปหวังอาเซียนในการแก้ปัญหาเรื่องพม่าเพราะประเทศอื่นได้รับผลกระทบไม่มากเท่าเรา เขาก็อาจแค่แสดงความเห็นใจ สงสาร แต่เขาก็จะไม่ทำอะไรเลย แต่ไทยได้รับผลกระทบโดยตรง สิ่งที่เราต้องทำ คือ หนึ่ง บีบให้พม่าเล่นแต่ไพ่สหประชาชาติ ไม่ให้ไปเล่นไพ่สำรับจีน เราต้องโน้มน้าวและขอความร่วมมือจากจีนเพื่อให้จีนชี้ให้พม่าเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ที่พม่าจะได้รับในการยินยอมให้ปัญหาพม่าอยู่ในกรอบสหประชาชาติ ถ้าพม่าไม่ดีไม่ต้องไปให้ท้าย สอง ในส่วนของเราเอง อย่าให้ผู้นำพม่าเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยเชื่อมกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของพม่า หมายความว่า อย่ายอมหลับหู หลับตาผลักดันชนกลุ่มน้อยให้กลับไปพม่าเร็วๆ หรือส่งแรงงานพม่ากลับไปพิสูจน์สัญชาติที่พม่าเพื่อแลกกับก๊าซ การลงทุน และการค้า

สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นแล้วสมัยรัฐบาลทักษิณได้ตกลงกับผู้นำพม่าว่า เราจะส่งคนกลับไปพิสูจน์สัญชาติที่พม่า ถ้าใช่คนพม่าก็จะออกบัตรแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ลาว เขมร เขาส่งคนมาพิสูจน์สัญชาติที่เมืองไทย แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ดำเนินการเป็นรูปธรรม จนถึงสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ ผมได้เข้าประชุมเรื่องนี้ด้วย ตอนนั้นกระทรวงแรงงานก็เห็นด้วยแล้วจะทำตามที่คุณทักษิณตกลงไว้ แต่ผมได้คัดค้านไว้ โดยยกตัวอย่างว่า ถ้าเราส่งคนกลับหนึ่งพันคน แล้วเขาส่งกลับมาแค่หนึ่งร้อยคน อีกเก้าร้อยคนเขายิงทิ้งหมดใครจะรับผิดชอบ แล้วประเทศไทยก็จะถูกประณามว่าส่งคนไปตาย สุดท้ายจึงไม่มีการส่งแรงงานพม่าผิดกฎหมายกลับไปนี่เป็นผลงานรัฐบาลสุรยุทธ์ที่น่าชื่มชมแต่ไม่มีใครพูดถึง

ตอนนี้กรณีชาวโรฮิงยาก็เหมือนกัน เขาบอกให้ส่งกลับไปแล้วจะพิสูจน์ สัญชาติ ถ้าเป็นคนของพม่าจะรับแล้วที่เหลือจะส่งกลับมา แต่ถ้าเขาไม่ส่ง กลับมาแล้วบอกว่าคนพวกนี้ป่วยเป็นไข้ตายหรือหนีไปแล้วใครจะรับผิดชอบตอนรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ได้ตระหนักดีถึงปัญหาการลักลอบและการค้ามนุษย์และสำหรับกรณีปัญหาชาวโรฮิงยาลักลอบเข้าเมือง รัฐบาลสุรยุทธ์ได้สั่งการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดประชุมระดับภูมิภาคเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ปรากฏว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปล่อยปละละเลยจึงไม่มีการประชุมระดับภูมิภาคเกิดขึ้น

การแก้ปัญหาโรฮิงยาจะเริ่มจากตรงไหน
ควรจัดประชุมเฉพาะกลุ่มประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียบังกลาเทศ และพม่าเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่ชัดเจนและมีผลรูปธรรมเป็นขั้นตอนภายในเดือนสองเดือน แล้วเชิญสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานหรือ IOM มาให้ความเห็นด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่าควรเป็นอย่างไร
ไม่มีประเทศไหนที่มีนโยบายต่างประเทศเพื่อทำการรบสงครามมันก็เป็นไปเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ความเข้าใจระหว่างประชาชนกับประชาชน รัฐบาลกับรัฐบาล ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในภูมิภาค แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของ หนึ่ง ผลประโยชน์ร่วมกัน สอง การเคารพซึ่งกัน มีความร่วมมือ ไม่สร้างปัญหาให้แก่กันและกัน ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศบอกต้องการส่งเสริมความร่วมมือ แต่ความเป็นจริงคุณได้ประโยชน์อย่างเดียว หรือคุณสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายรับปัญหา มันไม่ใช่

เราต้องการความสัมพันธ์ไทย-พม่า ทั้งระดับรัฐบาลและประชาชนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ต้องถึงขนาดซี้จูบปากกัน แค่มีความสัมพันธ์ปกติที่ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กัน ส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือ บนผลประโยชน์ร่วมกัน เราจะทำอันนี้ได้ เราต้องดูว่า พม่าเป็นระบอบการปกครองแบบไหน เค้าสร้างปัญหาอะไรกับเรา ต้องแยกให้ได้ว่า เรื่องการค้าการลงทุนก็เป็นเรื่องการค้า อย่ามาโยงว่าผมจะได้สิ่งเหล่านี้ ผมก็ต้องเป็นกระบอกเสียงให้คุณ คุณเข่นฆ่าประชาชนคุณ คุณสร้างความเดือดร้อนให้ผม โรคเอดส์ แรงงานผิดกฎหมาย ยาเสพติด อะไรอีกเยอะแยะมากมายแล้วคุณบังคับให้ผม ถ้าอยากได้ก๊าซจากคุณ ผมต้องยินดีหลับหูหลับตาบอกว่าผมไม่เดือดร้อนจากการกระทำของคุณ

เราเคยทำสำเร็จแล้วในยุครัฐบาลชวน 2 เราก็มีนโยบายที่ถูกต้องกับพม่า สองปีสุดท้ายของยุคชวน 2 เป็นความสัมพันธ์ที่ปกติมาก พม่าไม่สร้างปัญหาให้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาสร้างปัญหาแล้วเขาจะได้รับการตอบโต้อย่างไร (อ่านรายละเอียดในบทความพิเศษหน้า 5) เราต้องไม่ยอมให้พม่าเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแลกกับความมั่นคงของรัฐบาลพม่า เรื่องธุรกิจก็ธุรกิจ ผมซื้อก๊าซจากคุณ ผมก็จ่ายเงินให้ ไม่ได้เอามาฟรีๆ การค้าการลงทุนต้องแยกกัน แต่ในอดีตถูกเอามาเชื่อมตลอด ยกเว้นยุคชวน 2 คุณจะเห็นว่ายุคนั้นรัฐบาลพม่าเป็นเด็กดี ไม่สร้างปัญหาให้เรา แต่พอถึงยุครัฐบาลคุณทักษิณ ผู้นำพม่าก็ได้กลับมาหายใจอีกครั้ง

ผลกระทบของยุครัฐบาลทักษิณต่อความสัมพันธ์ไทย-พม่า
ยุคของรัฐบาลไทยรักไทย ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศไม่เป็นมืออาชีพ คิดเอาใจนักการเมืองอย่างเดียว ความคิดความอ่านของคนทำงาน ไม่ได้คิดว่าผลประโยชน์ของชาติอยู่ตรงไหน คิดแต่ว่าผลประโยชน์ของไทยรักไทยอยู่ตรงไหน แล้วก็ทำให้ระบบมันเน่าไปหมดถ้าฝ่ายการเมืองสั่งมา ก็ชงให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมาก นี่คือมรดก เจ็ดปีของรัฐบาลไทยรักไทยที่ทำลายระบบราชการ ทำลายความเป็นมืออาชีพของนักการทูต ใครรับใช้เค้าก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วมาก เช่นเลื่อนจากซี 7 ไปซี 8 ภายในปีเดียวทั้งๆ ที่ปกติ ต้องใช้เวลาหลายปี แล้วก็ส่งไปประจำประเทศดีๆ ในยุโรป พอถึงรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ก็ได้สั่งการว่า ความตกลงใดๆ ที่ฝ่ายไทยได้ทำกับฝ่ายพม่าไปแล้วนั้นก็ให้ดำเนินการต่อไป แต่จะไม่มีการก่อความผูกพันใหม่ๆ อะไรทั้งสิ้น

เราควรมองการแก้ปัญหาพม่าอย่างไร
เราต้องมองหารากเหง้าของปัญหาเกิดจากบ้านของเค้า ใครอยากจะ หนีทิ้งบ้านทิ้งเมือง ถ้ารัฐบาลมีความเอื้ออาทรต่อคนของตนเอง ถึงจะยากจน ยังไงคนก็จะอยู่ ถ้าไม่ถูกรังแกบีบคั้น กดขี่ข่มเหง ไม่มีใครอยากทิ้งบ้านทิ้งเมืองหรอก แต่ฝ่ายไทยชอบมองว่าอย่าไปยุ่งกับเขา จริงๆ เราก็ไม่ต้องการยุ่ง แต่ถ้ารากเหง้าปัญหาของเค้าเกิดจากระบบการปกครองที่ไม่เอื้ออาทรต่อคนของตัวเอง และใครได้รับผลกระทบ ก็ประเทศไทย อาเซียน อีก 9 ประเทศใครมีชายแดนติดกับพม่ายาวเหมือนเราบ้าง ก็ไม่มี 
เราควรพูดกับผู้นำพม่าว่า "ผมไม่อยากมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในของคุณ แต่ผมจำเป็นต้องมายุ่งเพราะคุณสร้างปัญหาแล้วผมได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาเลวร้ายในบ้านของคุณ" ถ้าเปรียบเทียบแล้ว พม่าอยู่รั้วติดกับบ้านเรา แล้วไฟไหม้บ้านพม่า แต่เราบอกว่าไม่ใช่ปัญหาของเรา อย่าไปยุ่ง ปล่อยให้มันไหม้ไปเลย แล้วคุณคิดหรือว่าไฟไหม้บ้านของเขามอดแล้วจะไม่ลามมาไหม้บ้านเรา ก็ต้องไหม้  การที่เราคิดอย่างนี้มีปัญหา คือ หนึ่ง คิดชั่วร้าย ไม่ได้คิดเรื่องสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม แล้วก็มาอ้างว่าตนเองเป็นประเทศพุทธ นี่เป็นเรื่องพุทธศาสนา สอง สามัญสำนึก ถ้าไฟไหม้ข้างบ้าน คุณก็ต้องจัดการไปช่วยดับไฟนี้ ไม่ใช่ช่วยเขา แต่จริงๆ แล้วช่วยตัวเองนี่แหละ ถ้าคนที่ไม่ได้ใช้สติปัญญาหรือสามัญสำนึกคิดก็จะคิดว่า เออ..จริง ไม่ใช่เรื่องของเรามันจะกดขี่คนของเขาก็กดขี่ไป ไม่ได้มากดขี่คนไทยก็แล้ว เวลาพม่าปิดชายแดน พวกนี้ก็สร้างตัวเลขขึ้นมาว่าเสียผลประโยชน์วันละเท่านี้ แต่ไม่เคย บอกเลยว่าจริงๆ แล้วตัวเลขการค้าเหล่านี้รัฐไม่เคยได้ภาษีอะไรเลยคิดแต่จะเอาผลประโยชน์ของตนเอง แล้วก็มาอ้างว่าอย่าไปแทรกแซงกิจการภายในของเขา.