บทสัมภาษณ์พิเศษ : วิเคราะห์การเมืองพม่าในบริบทโลก จากมุมมองชัชรินทร์ ชัยวัฒน์

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การเมืองโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้ปัจจุบันประเทศพม่าซึ่งเคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ฤาษีแห่งเอเชีย” ไม่สามารถปิดประเทศตัวเองจากโลกภายนอกได้อีกต่อไป   ผู้นำทหารพม่าต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติที่ต้องการให้พม่าเป็นประชาธิปไตยด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจนทำให้เศรษฐกิจในพม่าตกต่ำ เกิดการหลั่งไหลของแรงงานอพยพสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการคุกคามของระบบทุนนิยมข้ามชาติจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพม่า  อนาคตของพม่าจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของการเมืองโลกด้วยเช่นกัน


แนวโน้มการเมืองพม่าในบริบทโลกจะเป็นอย่างไร  สาละวินโพสต์ฉบับนี้มีโอกาสได้ค้นหาคำตอบจากมุมมองของ ชัชรินทร์ ชัยวัฒน์  นักหนังสือพิมพ์ที่มีงานเขียนเชิงวิเคราะห์การเมืองที่มีความลึกซึ้งระดับแนวหน้าของเมืองไทยมากที่สุดคนหนึ่ง ในช่วงปี 2520  ด้วยวัยเพียง 20 ปี เขาเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการวารสารอาทิตย์รายสัปดาห์  วารสารวิเคราะห์เศรษฐกิจการเมืองที่จัดว่าทรงอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คนในสังคมมากที่สุดในยุคนั้น   รวมทั้งเป็นสื่อไทยรุ่นบุกเบิกที่ติดตามข่าวประเทศเพื่อนบ้านและสถานการณ์โลกอย่างจริงจัง    ปัจจุบัน เขายังคงทำงานเขียนเชิงวิเคราะห์ที่ให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และเป็นแบบอย่างของนักหนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพของสังคมไทย



เริ่มสนใจติดตามประเด็นพม่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ประมาณ30 กว่าปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ผมอายุประมาณ  17 ปี  บังเอิญผมได้ติดตามผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์ไปทำข่าวชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อพยพแถบชายแดนไทย-พม่า หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจวิถีของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ จนกระทั่งเริ่มมีโอกาสติดตามแบบอย่างระบบมากขึ้น  พยายามศึกษาว่าปัญหาของชนกลุ่มน้อยคืออะไร  เป้าหมายการต่อสู้คืออะไร  นอกจากนั้นช่วงอายุประมาณ 20ปี  ผมเริ่มก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการนิตยสารอาทิตย์รายสัปดาห์ ช่วงนั้นจะมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยติดต่อมาที่เราหลายกลุ่มเพื่อต้องการเผยแพร่ข้อมูลของเขา เช่น   ขุนส่า อดีตผู้นำกองทัพเมิงไตของกลุ่มไทยใหญ่ส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตนเองมาหาเพื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะขอมาสวามิภักด์กับไทย  หรือ นายพลโบเมี้ยะของกองกำลังเคเอ็นยูของกะเหรี่ยง และอีกหลายกลุ่มก็ได้เขียนจดหมายบอกเล่าข่าวการต่อสู้มาให้เราช่วยเผยแพร่    เพราะยุคนั้นสื่อของไทยไม่ค่อยสนใจนำเสนอปัญหาของพม่ามากนัก สื่อที่ให้ความสนใจชนกลุ่มน้อยบริเวณตะเข็บชายแดนไทยมักจะเป็นสำนักข่าวต่างประเทศมากกว่า  แต่บังเอิญสื่อของเราให้ความสนใจประเด็นประเภทนี้ทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

เคยมีประสบการณ์ลงพื้นที่ไปในเขตชายแดนฝั่งประเทศพม่าบ้างไหม  
เคย ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่กอทูเล(ตรงข้ามบริเวณ บ.แม่สามแลบ อ.แม่สะเรียง)ของกลุ่มกะเหรี่ยง เคยได้พบกับนายพลโบเมียะ(ผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู) ไปนอนคุยกัน  และไปเยี่ยมกลุ่มสตรีและเด็กๆ ที่นั่น

ช่วยวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบว่าปัญหาของพม่าเหมือนหรือต่างจากปัญหาประเทศอื่นในภูมิภาคนี้อย่างไร 
อันที่จริงปัญหาชนกลุ่มน้อยในภูมิภาคนี้มีเยอะ อย่างในเวียดนาม มีการตั้งขบวนการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น  หรือในลาวก็มีกลุ่มชาวม้งของนายพลวัง ปาว  แต่ในพม่าดูค่อนข้างจะมีลักษณะแตกต่างออกไป ประการแรก ในช่วงยุคสงครามเย็น พม่าเป็นประเทศที่ไม่ร่วมมือกับใครหรือไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใด ไม่โน้มเอียงไปทางจีน โซเวียต หรืออเมริกันมากนัก ชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าจึงไม่ได้ถูกดึงมามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระดับภูมิภาคหรือระดับโลก  ยกตัวอย่างเช่น  ในเวียดนามยุคสงครามเย็น ประเทศที่ต้องการต่อต้านคอมมิวนิสต์โซเวียต หรือคอมมิวนิสต์จีนจะพยายามสนับสนุนชนกลุ่มน้อยในเวียดนามให้ลุกขึ้นมาต่อสู้  หรือในลาวก็มีการสนับสนุนกลุ่มชาวม้งอย่างเป็นระบบ แต่สำหรับพม่าคือการไม่โน้มเอียงไปทางไหนอย่างชัดเจน ทำให้บทบาทของชนกลุ่มน้อยค่อนข้างจะเงียบ ๆ ในสายตาโลกภายนอกมาโดยตลอด ประเทศที่เข้าไปมีบทบาทกับชนกลุ่มน้อยในยุคอดีตที่ผ่านมาดูจะเป็นรัฐบาลไทยมากกว่า   โดยใช้นโยบายท้องถิ่นที่ให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เป็นรัฐกันชน หรือ  Buffer state   คือไม่สนับสนุนอย่างเต็มที่ เป็นเพียงการรักษาระยะห่างระหว่างรัฐไทยกับรัฐพม่าเอาไว้  โดยยึดหยุ่นกับชนกลุ่มน้อย เช่น เมื่อมีการสู้รบก็อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชนกลุ่มน้อยข้ามมายังฝั่งไทยได้นิดหนึ่ง หลังจากสงบก็ให้กลับไปที่เดิม เป็นนโยบายที่เรื้อรังและคาราคาซังมาโดยตลอด ในสมัยที่ไทยรบกับคอมมิวนิสต์  เราก็ใช้กองกำลังชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ไปช่วยรบกับคอมมิวนิสต์เหมือนกัน  แต่เราไม่ได้สนับสนุนการสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่า นโยบายที่ไทยใช้จะต่างจากนโยบายของสงครามเย็นที่จะสนับสนุนกันเต็มที่และเปิดเผย แต่เป็นการหนุนแบบ “เลี้ยงไข้” จึงทำให้สภาพของกองกำลังชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ไม่ตายแต่ก็ไม่โต   ความแตกต่างของปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่ากับประเทศอื่นอีกประการหนึ่ง คือ ชนกลุ่มน้อยในพม่ามีความหลากหลายและมีความเป็นรัฐสูงกว่าในลาวและเวียดนาม เช่น ไทยใหญ่เคยมีอาณาจักรปกครองตนเองมาในอดีต  กษัตริย์พม่าบางองค์ก็มีเชื้อสายไทยใหญ่หรือกะเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากอังกฤษในยุคที่ต่อสู้กับพม่า  ปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่าจึงมีความรุนแรง ซับซ้อน และยืดเยื้อยาวนานกว่าอีกหลายๆประเทศในภูมิภาคนี้

มองอำนาจในกลุ่มผู้นำทหารพม่านับตั้งแต่ได้เอกราชจากอังกฤษในช่วงเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง   
เมื่อเปรียบเทียบในระดับภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่ามีลักษณะเฉพาะต่างไปจาก เวียดนาม ลาว และกัมพูชา คือ หลังจากพม่าได้รับเอกราช  นโยบายที่ผู้นำพม่าเริ่มใช้ทันที คือ การปิดประเทศ หรือการไม่ยอมถ่วงน้ำหนักทางการเมืองไปทางด้านหนึ่งด้านใดเลย  อย่าลืมว่าพม่าเคยเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้มาก่อน  เรียกว่าเหนือกว่าเวียดนาม ลาว หรือไทยเสียอีก   เมื่อเขาเป็นผู้ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดและพยายามปิดประเทศ ยิ่งทำให้พม่ามีความเป็นเอกภาพสูงมาก   หากมองผู้นำทางทหารตั้งแต่รุ่นแรกคือรุ่นนายพลอองซานเป็นต้นมาจะเห็นด้วยกับการโดดเดี่ยวประเทศเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของตนเอาไว้  ทำให้พม่าตกอยู่ในสภาพเดิมมาโดยตลอด นอกจากนี้การครองอำนาจที่ยาวนานของนายพลเนวินยิ่งทำให้เมล็ดพันธุ์ของความคิดพึ่งตนเองของพม่าค่อนข้างเข้มข้นกว่าที่อื่น ซึ่งส่งผลต่อแนวคิดของบรรดาทหารรุ่นต่อ ๆ มาเช่นกัน

แนวคิดชาตินิยมและกลัวประเทศใดประเทศหนึ่งจะเข้ามามีบทบาทมากเกินไปในประเทศทำให้พม่ายังเป็นตัวของตัวเองมาจนทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่าความรู้สึกฝังใจต่อการคุกคามของประเทศตะวันตกของผู้นำทหารพม่านั้นสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่เอกราช ทำให้เขามีความรู้สึกว่าการเป็นเผด็จการของเขานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะทำเพื่อปกป้องประเทศจากภัยคุกคามภายนอก ด้วยเหตุนี้ ผู้นำทหารพม่าจึงโจมตีนางซูจีว่ารับใช้ประเทศตะวันตกมาโดยตลอด  นายพลตานฉ่วย(ผู้นำรัฐบาลทหารคนปัจจุบัน) ซึ่งเป็นทหารรุ่นหลังจากเนวินไม่มากนักก็คิดว่าสิ่งที่กำลังทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกำลังป้องประเทศพม่าจากการคุกคามของมหาอำนาจหรือจักรวรรดินิยมที่จะเข้ามาทำลายประเทศ และนี่คือความรักชาติในแบบของเขา  หรือว่าเรียกว่า “อุดมการณ์ลัทธิทหาร” ก็ได้

มองการต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง 
ผมคิดว่าไม่ลงและไม่ขึ้น ยังคงทรงตัวเหมือนเดิม การขึ้นหรือการลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือ มันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ประเภทที่ว่า รัฐใดรัฐหนึ่ง หรือชนชาติใดชนชาติหนึ่งสามารถเข้าไปยึดอำนาจปลดปล่อยตนเองออกจากพม่าได้ทันที  ถ้าไม่มีสถานการณ์ภายนอกเข้ามาเอื้ออำนวยก็จะอยู่ในสภาพนี้ต่อไป  สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ ทุกวันนี้ การเมืองพม่ากลายเป็นการเมืองโลกไม่ใช่แค่การเมืองภายในอีกต่อไปแล้ว หรืออาจพูดได้ว่าในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา สถานการณ์ของกองกำลังชนกลุ่มน้อยอาจเหมือนเดิม คือ ไม่โตขึ้นและมีแนวโน้มทรุดลง

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ การเมืองโลก เพราะพม่าไม่อาจปิดประเทศได้เหมือนเดิม ความพยายามถ่วงน้ำหนักของความเป็นอิสระ หรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของผู้นำพม่าได้สูญเสียไปไม่น้อย  ทุกวันนี้ ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ เช่น จีน อินเดีย หรืออเมริกาได้ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพไม่น้อยในการเมืองพม่า ผมคิดว่า กองกำลังชนกลุ่มน้อยจะสามารถเติบโตได้พรวดพราดทันทีหากสถานการณ์เข้าถึงจุดหนึ่ง เช่น สมมุติว่าอเมริกาและอินเดียเริ่มมองว่าจะยอมให้จีนใช้ประโยชน์จากพม่ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เมื่อถึงจังหวะนั้นการปลดปล่อยเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยในพม่าก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่คงไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการสู้รบโดยกองกำลังชนกลุ่มน้อยเอง

บางคนมองว่า กองทัพชนกลุ่มน้อยอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งรายได้หลักร่อยหรอลงมาก
ในมุมมองของผม ทรัพยากรที่ลดลงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกองกำลังชนกลุ่มน้อยอย่างเดียว  แต่ก็ส่งผลเสียต่อรัฐบาลพม่าเหมือนกัน เพราะในอดีต การสู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับชนกลุ่มน้อยขะเกิดขึ้นในป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่น เวลายิงปืนใหญ่ก็จะไปโดนเอาต้นไม้ หากมีโอกาสที่จะรุกเข้ามาก็รุก ถ้าเจออีกฝ่ายกำลังมากกว่าก็ถอยกลับออกไป แต่นับจากพม่าเปิดประเทศ เริ่มมีการให้สัมปทานป่าไม้หรือเหมืองแร่  ต้นไม้ที่ลดจำนวนลงทำให้เข้าถึงชนกลุ่มน้อยง่ายขึ้นก็จริง แต่รัฐบาลพม่าก็ต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวมากเหมือนกัน เพราะต้องต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับกลุ่มต่าง ๆ และผลประโยชน์เหล่านี้ก็ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ทหารพม่าอยู่ไม่น้อย ปัจจุบันนี้ความแตกแยกของผลประโยชน์ต้องเรียกว่ารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของพลเอกขิ่น ยุ้นต์  ซึ่งความขัดแย้งของผลประโยชน์ได้ลุกลามไปในระดับข้ามชาติ และความขัดแย้งนี้จะไม่จบแค่นี้   พูดง่าย ๆ ก็คือ ปัจจุบัน  “กองทัพทุนนิยม” กำลังโจมตีเผด็จการทหารแทนกองกำลังชนกลุ่มน้อย

ถ้าเช่นนั้น กองกำลังชนกลุ่มน้อยก็มีโอกาสถูก “กองทัพทุนนิยม” โจมตีเหมือนกัน  
กองกำลังชนกลุ่มน้อยจะปลอดภัยจากทุนนิยมมากกว่ารัฐบาลพม่า เพราะว่ายังเป็นเขตที่สู้รบกัน ใครที่จะไปตั้งโรงแรมตากอากาศที่ไทยใหญ่ในรัฐฉาน คงยากอยู่นะ แม้ว่าจะมีความพยายามอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น การตั้งบ่อนคาสิโนในเขตว้า แต่นั้นเป็นทุนนิยมแบบจีน  ยังไม่ใช่ทั้งระบอบทุนนิยม
ในมุมมองของผมคิดว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับกองกำลังชนกลุ่มน้อยในการต่อสู้ยุคนี้คือการเมืองนำการทหาร เพราะการทุ่มเทให้กับการสู้รบและรักษาฐานที่มั่นเหมือนกับในอดีตไม่เพียงพอแล้ว  แต่บทบาทเชิงการเมืองตรงนี้ยังค่อนข้างอ่อน

ช่วยขยายความเรื่องการเมืองนำการทหารว่าเป็นอย่างไร
หมายความว่าชนกลุ่มน้อยควรวางเป้าหมายทางการเมืองร่วมกันสักอย่างหนึ่งว่า ประเทศพม่าในอนาคตควรจะมีรูปร่างหน้าตายังไง   เช่น จะเป็นทุนนิยมหรือไม่ทุนนิยม จะไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดต่อไป หรือจะโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งอะไรอย่างนี้ควรจะมีข้อตกลงกันบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนต่อแนวทางของนางอองซาน ซู จีว่าอย่างไร ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ต่างฝ่ายต่างยังระแวงซึ่งกันและกัน  สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในเชิงการเมือง  ซึ่งการไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ชัดเจน  เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในพม่ายอย่างกะทันหัน ผู้คนทั้งหมดในประเทศพม่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือต้องยอมต่ออิทธิพลของมหาอำนาจที่เข้ามามากเกินไป  ท้ายที่สุดแล้ว หากรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าล้มไป ความยุ่งยากวุ่นวายก็ยังจะเกิดขึ้นเช่นเดิม เพราะขาดความเป็นเอกภาพทางการเมือง

หมายความว่าชนกลุ่มน้อยควรเลิกรบด้วยปืนมาเป็นรบด้วยความคิดในห้องประชุมหรือเปล่า
ผมคิดว่า การรบด้วยปืนยังมีความจำเป็นอยู่ เพราะอย่างน้อยช่วยป้องกันฐานที่มั่นเอาไว้ได้ แต่ผมหมายว่า การรบเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราจะทำให้เกิดความเคยชินกับการต่อสู้รูปแบบเดียว เหมือนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีตอยู่ในเขตฐานที่มั่นจนเคยชิน พอโลกเปลี่ยนจึงปรับตัวไม่ทัน  ทุกวันนี้ ผมยังไม่ค่อยเห็นว่า ผู้นำกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่าจะออกมาพูดถึงการเมืองโลก แต่จะพูดถึงเรื่องพื้นที่สู้รบเป็นหลัก ในขณะที่ถ้าเราไปดูเม็กซิโก หรือพวก สะปาติสตา พวกนี้ไม่มีรัฐอะไรอยู่เลย  แต่เขาพูดถึงการเมืองระดับโลก รัสเซีย อเมริกา พูดถึงโลกาภิวัตถ์อย่างนี้ แต่ชนกลุ่มน้อยในพม่ายังขาดคนที่มองถึงสิ่งเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการกดดันบริเวณชายแดน หรือการสู้รบในพื้นที่ แต่เรื่องการเมืองโลกไม่ค่อยเห็นว่าเขาคิดยังไง รู้สึกยังไงกับโลกาภิวัตถ์ กับพวกประเทศมหาอำนาจ ทั้งๆที่จุดนี้แหละคือจุดของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะพม่า แต่โลกทั้งโลกตกอยู่ใต้การเมืองเดียวกัน

มองการเคลื่อนไหวของนางอองซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีในช่วงสิบกว่าปีผ่านมาอย่างไร 
น่าเสียดายที่ภาพของซูจีเป็นเหมือนไพ่ใบหนึ่งที่โดนกลบเอาไว้จนกว่ามหาอำนาจจะทำอะไรถึงจะพลิกไพ่ใบนี้ขึ้นมา  ผมมองว่าหลังจากซูจีโดนจำกัดบทบาท เช่น ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามอะไรต่างๆเหล่านี้ ความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ดูเหมือนหยุดนิ่ง เหมือนทุกคนพุ่งเป้าไปที่ซูจี แล้วถ้าเกิดรัฐบาลพม่ายังไม่ปล่อยซูจีก็จะเรียกร้องให้ปล่อย แต่ว่าขบวนการอื่นๆที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยน่าจะมีทางอื่นอีกนอกจากเรียกร้องให้ปล่อยซูจีอย่างเดียว  ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาลทหารจะเป็นฝ่ายกระทำมากกว่า

มองความสัมพันธ์ของประเทศพม่ากับประเทศอื่น ๆ ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง 
ในส่วนความสัมพันธ์ของไทยต่อพม่า มีความเปลี่ยนแปลงมากในยุคของบิ๊กจิ๋ว(พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) เปลี่ยนจากนโยบายรัฐกันชนเป็นการจูงพม่าเข้าสู่เวทีโลก เรียกว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลเลย  อย่างเช่น มาเลเซียซึ่งเดิมเคยแสดงท่าทีไม่สนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าในเรื่องการปราบปรามชาวมุสลิมทางตอนเหนือของประเทศพม่า แต่สุดท้ายก็หันมาจูงมือพม่าออกมาสู่โลก อินเดียยิ่งเห็นได้ชัดจากเคยต่อต้านพม่าอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้หันกลับมาทำการค้ากับพม่าอย่างเต็มที่ จีนซึ่งไม่เคยมีอะไรเลยกับพม่าแล้วยังเคยมีปัญหาขัดแย้งบริเวณพรมแดนเรื่องว้า สุดท้ายก็มาจับมือกับพม่า สรุปแล้ว ทุกประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้กำลังมองพม่าจากแนวคิดเดียวกัน คือ ทุนนิยม หรือมุ่งหาประโยชน์จากพม่านั่นเอง

การนำทุนนิยมเข้าไปในพม่าขณะที่พม่ายังไม่เป็นประชาธิปไตยเป็นแค่การมองผลประโยชน์ระยะสั้นหรือเปล่า
ข้อเท็จจริงของโลกทุกวันนี้ คือ ไม่มีใครสนใจเรื่องของความดี ความชั่ว หลักการ  ความถูกต้องเป็นธรรม ทุกคนหันไปสู่ทุนนิยมกันหมด ผู้นำโลกอย่างอเมริกาก็ผลักดันให้เป็นไปด้วย ถ้ายังเป็นโลกยุคเก่าที่อเมริกาทะเลาะกับโซเวียตกับจีนคงจะไม่เป็นไปอย่างนี้  เมื่อทุกคนหันไปสู่ทุนนิยมกันหมด ผู้ที่พยายามออกมาพูดว่าอย่าไปแสวงหาประโยชน์จากพม่าเลยจึงดูเป็นเหมือนเป็นเด็กไร้สาระในสายตาของทุนนิยม
ผมคิดว่า  นักการเมืองทั้งโลกชั่วเหมือนกันหมด   แม้กระทั่งจีนที่เคยมีอุดมการณ์ในเชิงที่เรียกว่า  “ภารดรภาพ” สูงในยุคคอมมิวนิสต์ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นทุนนิยม นี่ เป็นชะตากรรมที่ต้องเป็นไปอย่างนั้น  เหมือนทุกประเทศพยายามปิดตาข้างหนึ่ง คือ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในพม่า แต่ปิดตาข้างนั้นไว้เพื่อไม่ต้องรับรู้  ต่างมีข้ออ้างในการหาผลประโยชน์จากพม่าทั้งสิ้น

การที่จีนหนุนพม่าก็อ้างว่าเป็นการต่อสู้กับอเมริกา  แต่จริง ๆ แล้ว จีนต้องการใช้ท่อส่งแก๊สและน้ำมันจากอ่าวของพม่า และต้องการทางออกสู่ทะเลอย่างนี้  ส่วนอินเดียเข้าไปหาประโยชน์จากพม่าก็อ้างว่าเพื่อถ่วงดุลจีน ซึ่งข้ออ้างเหล่านี้ห่วยแตกทั้งสิ้น

นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ประชาคมโลกไม่สามารถทำให้พม่าเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยได้สักทีหรือเปล่า   
ใช่ แต่นี่เป็นความจริงของโลกนี้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะพม่าประเทศเดียว ในแอฟริกา เซอเบีย ยูโกซาลาเวียเก่าก็เจอสภาพแบบนี้  สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วไปในโลก

คุณเห็นด้วยกับความคิดที่ว่า ถ้าพม่ามีบ่อน้ำมันคงจะได้ประชาธิปไตยไปนานแล้วหรือไม่  
ไม่เห็นด้วย เพราะตอนนี้พม่าก็มีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่กำลังขุดกันอยู่   ผมมองว่า พม่ามีสิ่งที่มีค่าในสายตามหาอำนาจมากกว่าบ่อน้ำมันเสียอีก คือ เป็นจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญภูมิภาคนี้ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้พม่ามีโครงการท่อส่งน้ำมันและก๊าซจากรัฐอาระกันไปทางมณฑลยูนนานของจีน เส้นทางนี้พวกอเมริกันใช้คำเรียกว่า “สายไข่มุกอันล้ำค่า” เพราะจะทำให้จีนสามารถรับน้ำมันและก๊าซจากแอฟริกาและละตินอเมริกาได้สบาย  ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งจนทำให้จีนโดนปิดเส้นทางที่ช่องแคบมะละกา  น้ำมันร้อยละ 80 ของจีนต้องผ่านทางเส้นทางสายนี้  ขณะนี้จีนได้เปิดเส้นทางจากปากีสถานไล่มาจนถึงพม่า สิ่งนี้แหละที่ทำให้อเมริการู้สึกว่าพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งกว่าบ่อน้ำมันอีก เพราะฉะนั้นนับจากนี้ไปพม่ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วมาก

ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องจับตาดูประเทศมหาอำนาจที่พยายามเข้ามาในพม่าให้มากขึ้นใช่ไหม
ใช่ ในระยะหลังผมเริ่มสนใจติดตามข่าวของประเทศมหาอำนาจแทน เพราะว่าสถานการณ์ชนกลุ่มน้อยยิ่งติดตามข่าวแล้วเศร้า  เหตุการณ์ทารุณกรรมเกิดขึ้นซ้ำ  ๆ และทุก ๆ ปี จะมีองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนพยายามออกมาเปิดเผยข้อมูลให้โลกภายนอกรับรู้  เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลาหลายสิบปีที่เราติดตามข่าว  ในระยะหลัง ผมจึงเริ่มหันมาสนใจกับประเทศมหาอำนาจที่มีความสัมพันธ์กับพม่ามากขึ้น  เช่น จีน อินเดีย กำลังจะทำอะไรในพม่าบ้าง ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับจีนในการประมูลแหล่งก๊าซที่พม่าจะบานปลายมากไปกว่านี้ไหม อะไรทำนองนี้เป็นต้น

ถ้ามองดูแล้วเหมือนผู้นำรัฐบาลทหารรู้ว่าพม่ามีความสำคัญอย่างไรและพยายามดึงมหาอำนาจหลายประเทศเข้ามาแบ่งผลประโยชน์โดยไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศใดเลยใช่ไหม 
ผมมองว่า ผู้นำทางทหารพม่าฉลาดและมองเกมส์การเมืองระดับโลกออก ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยยังอยู่ระดับท้องถิ่น เพราะเราจะเห็นว่าในระยะหลัง ผู้นำทหารพม่าจะเดินทางไปยัง อินเดีย จีน   เขาเล่นการเมืองโลกมาโดยตลอด

สิ่งที่น่าสนใจขณะนี้ คือ การต่อรองผลประโยชน์เพื่อชาติจริงๆ เริ่มน้อยลง และกลายเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวสูงขึ้น ตรงนี้คือจุดอ่อนที่จะทำให้อำนาจเผด็จการที่เคยเข็มแข็งเริ่มปริออกจนจะนำไปสู่การแตกแยก ตัวอย่างที่แตกมาแล้ว คือ สมัยขิ่น ยุ้นต์  และในอนาคตหม่องเอกับตานฉ่วยอาจเกิดแตกแยกได้เช่นกัน

ทุกวันนี้ประเทศมหาอำนาจที่เข้ามามีบทบาทในการเมืองพม่ามีประเทศไหนบ้าง
มี 3 ประเทศใหญ่ๆคือ อเมริกา อินเดีย และจีน  อินเดียไม่ค่อยอยากจะเป็นลูกไล่ของอเมริกา   จีนเป็นศัตรูกับอเมริกาชัดเจน  ผู้นำพม่าพยายามสร้างสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียให้ได้  ในมุมมองของอเมริกา จุดสนใจไม่ใช่พม่า เขาสนใจอะไรก็ตามที่จะขัดขวางจีน  แต่อเมริกามีภารกิจที่จะต้องไปยุ่งกับใครต่อใครทั้งโลก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะมามองพม่าจริงๆจึงช้าไปหน่อย แต่ก็ไม่แน่ว่าเร็วๆนี้ อาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะมีข่าวเหมือนกันว่า อเมริกาต้องการทำให้พม่าหลุดจากมือของจีนมากขึ้นทุกที ถ้าไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ อเมริกาคงไม่ไปฟื้นการซ้อมรบกับอินเดีย ทั้ง ๆ ที่คว่ำบาตรกันมาตั้ง ๔๐ ปีแล้ว

มองแนวโน้มสถานการณ์ในพม่านี้อย่างไร 
ผมมองว่า ปัจจัยหลักอยู่ที่มหาอำนาจ เพราะ แม้ว่าความแตกแยกของรัฐบาลทหารจะมีอยู่ แต่มันเป็นแบบโค่นคนเก่า คนใหม่ขึ้นมา แล้วทิศทางของคนใหม่นี้จะเป็นไปตามมหาอำนาน อย่างกรณีขิ่น ยุ้นต์จะสังเกตได้ว่า กว่าจะเล่นงาน ขิ่นยุ้นต์ได้ต้องเจรจากับจีนไม่น้อยอย่างนี้  เราต้องติดตามว่าผู้นำรุ่นใหม่ๆ ที่จะขึ้นมาจะวิ่งไปหามหาอำนาจประเทศไหน  ถ้าคนที่ขึ้นมาเป็นจีนจ๋า อินเดียก็ไม่พอใจอะไร ความแตกแยกภายในก็จะมากขึ้น ส่วนสถานการณ์ชนกลุ่มน้อยก็ขึ้นอยู่กับมหาอำนาจเหมือนกัน เพราะเป็นไปได้น้อยมากที่รัฐบาลทหารอ่อนแอล้มลงด้วยตนเอง แล้วชนกลุ่มน้อยสามารถประกาศรัฐอิสระขึ้นมาได้ ผมคิดว่า จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วย

มีประเทศไหนบ้างที่มีความจริงใจในการผลัดกันพม่าให้เป็นประชาธิปไตย   
ผมคิดว่า ความจริงใจไม่มีจริงในการเมืองโลก  ทุกประเทศคิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักก่อน

ทุกวันนี้ประชาชนเดินทางออกจากประเทศพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นเดิมส่งผลกระทบสังคมพม่าในอนาคตอย่างไร  
ผมคิดว่าสิ่งที่ยังทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงดำรงชีวิตในพม่าท่ามกลางปัญหามากมายก็คือ ความยึดมั่นในศาสนาและวิธีคิดแบบอย่างพอเพียง   การยึดมั่นในศาสนาทำให้ประชาชนรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปตามบาปบุญคุณโทษและยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น   วัฒนธรรมเหล่านี้ คือ สิ่งที่ทำให้ผู้คนยังใช้ชีวิตอยู่ในพม่าในสภาพปัญหาต่าง ๆ ได้ แต่สิ่งที่จะทำลายสังคมได้เร็วที่สุด คือทุนนิยม ถ้าเปิดทุนนิยมมากๆ  สังคมพม่ามีสิทธิพังได้เลย  ด้วยเหตุนี้ ผู้นำทางทหารจึงยังไม่ยอมเปิดประเทศเต็มที่ คือ เปิดบ้าง แต่ไม่หมด ถ้าเมื่อไหร่เขาเปิดเต็มที่ นับวันรอได้เลยว่าสังคมพม่าจะเปลี่ยนไปและเผด็จการทหารจะโดนโค่นล้มเร็วขึ้นอย่างแน่นอน

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การหลั่งไหลของประชาชนนับล้านคนออกมาเป็นแรงงานล้านๆในบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเขตชนบทไม่น้อย เพราะหากเรามองลองจินตนาการในบ้านเราที่คนงานไปทำงานตะวันออกกลางส่งเงินมาให้ครอบครัวมาซื้อรถกระบะ ซื้อเครื่องเสียง อะไรทำนองนี้ ความสงบสุขในสังคมแบบดั้งเดิมก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกโดยรวมจะส่งผลต่อพม่าอย่างไรบ้าง 
แนวโน้มที่จะทำให้พม่าเปลี่ยน คือ ทุนนิยม   โดยในระดับภูมิภาค ทุนนิยมของไทยจะส่งผลไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว เวียดนาม และพม่า แต่ไทยมีขีดความสามารถทำแค่ระดับหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นจะเป็นอิทธิพลจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ   สรุปคือการเมืองพม่าทุกวันนี้ไม่ใช่การเมืองข้างในพม่าอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นการเมืองพม่าในบริบทโลก.