สัมภาษณ์ : "ดูหนังพระนเรศวรอย่างรู้เท่าทัน" จากมุมมองผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์พม่า ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์

อาจกล่าวได้ว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กำกับโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือท่านมุ้ยได้รับการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางถึงความยิ่งใหญ่อลังการของฉากต่างๆ นักแสดง และเรื่องราวอันกล้าหาญของสมเด็จพระนเรศวร คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดกระแสชาตินิยมในหมู่ผู้ชมชาวไทยมากยิ่งขึ้น และขณะเดียวกันกระแสความไม่พอใจชนชาติพม่าก็เพิ่มมากขึ้นตามมาเช่นเดียวกัน

คนไทยควรชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ตกอยู่ภายใต้กระแสรักชาติแบบผิดทาง ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา และอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อธิบายไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้

กระแสหนังเรื่องนี้จะพูดถึงการรักชาติไทยให้มากขึ้น แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วในช่วงของพระนเรศวร ตอนนั้นเรายังไม่มีชาติไทยด้วยซ้ำไป  อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร
อันดับแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็หนีไม่พ้นกระแสชาตินิยมอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า ก่อนที่ท่านมุ้ยจะทำภาพยนตร์เรื่องนี้ พอคนได้ยินชื่อสมเด็จพระนเรศวรก็จะนำไปผูกติดกับกระแสชาตินิยมโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น พอภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา คนก็นำความเชื่อที่มีอยู่เดิมไปผูกกับกระแสชาตินิยมโดยอัตโนมัติ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ถึงกับเน้นเรื่องชาตินิยมมากนัก ยกตัวอย่างเช่น ท่านมุ้ยพยายามแสดงให้เห็นว่าในสมัยนั้นไม่ได้มีประเทศไทย แต่ว่ามีศูนย์อำนาจอยู่หลายศูนย์ ซึ่งแต่ละศูนย์อำนาจก็ค่อนข้างจะมีอำนาจภายในตนเองเช่น พิษณุโลก อยุธยา หงสาวดี หรือตองอู และสัมพันธ์กันโดยยึดโยงกับอำนาจบารมีของกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแต่ละยุค ซึ่งในภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นว่า ในยุคแรกคือพระเจ้าบุเรงนอง ในยุคหลังคือสมเด็จพระนเรศวร เพราะฉะนั้น ภาพของบรรยากาศของอะไรต่าง ๆ ถ้าเราดูอย่างระมัดระวังเราก็จะมีความรู้สึกว่าสมัยนั้นยังไม่มีประเทศไทย สิ่งเหล่านี้จะแทรกอยู่ในเรื่อง แต่เนื่องจากจุดเน้นอยู่ที่พระนเรศวร และมีฉากเกี่ยวกับการประกาศเอกราชหรือทำสงครามกับพม่า ตรงนี้จึงชักนำให้เกิดกระแสชาตินิยมขึ้นมาได้

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับกระแสชาตินิยมของบ้านเราก่อนว่า เป้าหมายหรือจุดประสงค์หลักไม่ได้ต้องการสร้างความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับเพื่อนบ้าน แต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองประโยชน์ภายในสังคมของเราเอง คือต้องการสร้างความเป็นเอกภาพขึ้นในพื้นที่หรือพรมแดนที่เรียกว่าเป็นประเทศไทย แต่ในกระบวนการทำให้เกิดความเป็นเอกภาพมีการดึงเพื่อนบ้านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยการหยิบยกประเด็นเพื่อนบ้านเข้ามารุกรานขึ้นมาใช้เพื่อให้เราเกิดความร่วมมือสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะฉะนั้น จุดประสงค์หลักของการสร้างชาตินิยมไม่ได้ต้องการไปรบกับเพื่อนบ้าน แต่ต้องการสร้างความเอกภาพภาพภายในสังคมให้สอดคล้องกับรูปแบบใหม่ของรัฐชาติที่เพิ่งเกิดขึ้นตามแบบตะวันตก ซึ่งเมื่อก่อนนี้เราไม่ได้มีรัฐชาติแบบนี้ ถ้าเราเข้าใจพื้นฐานของตรงนี้ พอเราดูภาพยนตร์เรื่องนี้คนก็จะบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาฉายได้จังหวะเวลาพอดี เพราะเรากำลังมีปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ ถ้ากระแสชาตินิยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น ผมคิดว่ามันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราใช้มันเกินเลยไปกว่านั้น คือบนเงื่อนไขของการสร้างความเป็นเอกภาพ เราได้สร้างความเป็นปรปักษ์ควบคู่กันไปด้วย แล้วถ้าเราเป็นเอกภาพมากขึ้น แต่รู้สึกเรามองว่าคนที่แตกต่างจากเรา ไม่ว่าจะเชื้อชาติหรือศาสนา เป็นศัตรูต้องกำจัดออกไปก็จะสร้างปัญหาแตกแยกตามมามากขึ้น ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้สะท้อนให้เห็นว่าในกระบวนการของการสร้างบูรณาการของสังคมไทยประกอบด้วยการหล่อหลอมของคนหลากหลายกลุ่มเข้าด้วยกัน ให้มีความศรัทธาและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีการยอมรับในความแตกต่างด้วย ผมคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามทำให้คนยอมรับในเรื่องความหลากหลายของผู้คนในสังคม จะเห็นได้ว่ากองทัพของพระนเรศวรไม่ได้มีแต่คนไทยเท่านั้น แต่มีทั้งญี่ปุ่น จาม เขมร มอญ โปตุเกส เป็นต้น ผมคิดว่านี่เป็นข้อเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้

แต่ว่าในมุมของคนดูซึ่งเป็นผู้รับสารอาจไม่สามารถรับสารต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตหนังสอดแทรกไว้ทั้งหมด หรืออาจเลือกรับสารที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิม โดยเฉพาะอคติที่มีต่อคนพม่า อาจารย์คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมีส่วนก่อให้เกิดดาบสองคมอย่างไรได้บ้าง
ผมคิดว่าสารที่ส่งออกมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ พยายามบอกว่าคนพม่านั้นไม่ได้มีสีเดียว จะเห็นได้ว่าในภาคหนึ่ง คนที่เป็นพระเอก ไม่ใช่พระนเรศวร แต่เป็นบุเรงนอง เพราะเป็นคนที่มีรักความเป็นธรรมเป็นคนที่พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่าที่จะทำได้ ขณะที่พระมหาธรรมราชากลับเป็นผู้ร้ายขายชาติ ส่วนพระมหินทราธิราชก็ไม่ฉลาดรอบคอบทำให้เราสูญเสียบ้านเมือง คนดูจะรู้สึกได้เลยว่าว่าบุเรงนองเป็นพระเอก ผมมีข้อมูลที่ค่อนข้างหน้าสนใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาของคนพม่าต่อหนังเรื่องนี้ ตอนแรกทันทีที่รู้ว่ามีหนังเรื่องนี้คนพม่าค่อนข้างจะต่อต้าน แต่พอเขาได้ไปดูภาคหนึ่งแล้ว เขากลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะเรายกย่องบุเรงนองซึ่งเป็นฮีโร่ของเขา เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้พยายามแสดงให้เห็นว่าคนพม่ามีทั้งดีและชั่ว คนไทยก็เหมือนกัน ไม่มีฝ่ายหนึ่งขาว ฝ่ายหนึ่งดำโดยเด็ดขาด พม่าไม่ได้ถูกสร้างให้เห็นว่าเป็นภาพที่เป็นผู้ร้ายแต่ฝ่ายเดียว

พอมาถึงภาคสอง เราจะเริ่มเห็นภาพของพม่าที่แตกแยกกัน เราเห็นภาพของพระเจ้านันทะบุเรง ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นกษัตริย์พม่า อาจจะไม่ดีเท่าพ่อแต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะซื่อ เราเห็นภาพจากสุระกำมา ซึ่งเป็นนายทหารแต่ก็ไม่ชอบกับวิธีการที่ลอบสังหารคน ทางฝ่ายไทย เราเห็นมหาอุปราชาและพรรคพวกบุคคลที่แวดล้อมซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นผู้ร้ายเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันก็มีพระนเรศวรซึ่งเป็นพระเอก เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ให้รายละเอียดของตัวละครที่มีความแตกต่างกันทั้งดีและไม่ดี รวมทั้งเราได้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับคนพม่าที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นในจุดนี้ผมคิดว่า คนดูสามารถแยกแยะได้ เพราะตอนภาคหนึ่งตัวเอกจะพุ่งไปที่บุเรงนอง จนคนดูบอกว่ารักพระเจ้าบุเรงนอง หรืออยากไปเที่ยวเมืองพม่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะสามารถรับสารตรงนั้นเข้ามาได้

หนังเรื่องนี้ต่างจากเรื่องบางระจันอย่างไร
กรณีหนังเรื่องบางระจัน ไม่มีการสร้างคาแรคเตอร์ของพม่าที่ทำให้เห็นว่าคนพม่าเป็นมนุษย์ ทำให้พม่าเป็นผู้ดุร้าย เป็นคนที่เข้ามาปล้น ตัดเศียรพระพุทธรูป คนพม่าทุกคนในเรื่องมีแต่ผู้ร้ายหรือสีดำเพียงสีเดียว ไม่มีสีขาว หรือสีเทา ขณะที่หนังเรื่องนี้ ไม่ได้ให้ภาพ ูพม่าที่เหมาเป็นองค์รวม ว่าเป็นตัวแทนความชั่วร้ายแต่เพียงอย่างเดียว

หมายความว่าความเสี่ยงที่จะเกิดดาบสองคมจากการดูหนังเรื่องนี้ถือว่าน้อยใช่หรือไม่
คือไม่ใช่ไม่มีเลย แต่ถือว่าเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นถือว่าค่อนข้างจะเบากว่าเยอะหากเราย้อนมองอดีตที่ผ่านมา เราจะพบว่า เมื่อเราอยากจะสร้างความรู้สึกหรือสำนึกที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรามักจะสร้างความเป็นศัตรูขึ้นมาควบคู่โดยเสมอเลย ทั้ง ๆ ที่เจตจำนงเราไม่ได้ไปเน้นความเป็นศัตรูกับผู้นั้น แต่อยากที่จะเน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวมากกว่า และเมื่อเราต้องเลือกศัตรูขึ้นมาใช้ พม่าดูจะเป็นผู้โชคร้ายทุกครั้ง ทำให้เป็นเรื่องที่หลบเลี่ยงลำบากที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนพม่า เพียงแต่ว่าเราจะนำเสนอภาพตรงนั้นละเอียดอย่างยังไง

เป็นไปได้ไหมที่เราจะสร้างความรักชาติของเราโดยไม่สร้างความเกลียดชังคนอื่น
ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราควรจะทำ คือเราควรจะมองภาพความสัมพันธ์ทีกว้างกว่าเรื่องของการสร้างความสมานสามัคคีภายในชาติ เพราะการสร้างแบบนี้มันจะต้องมีศัตรูร่วมด้วยทุกครั้ง แต่เราจะเห็นว่าในโลกของความเป็นจริงปัจจุบันนี้การอยู่รอดได้นี้มันต้องเป็นความร่วมมือกันของกลุ่มประเทศ และสังคมที่กว้างกว่าการเป็นชาติใดชาติหนึ่ง จะเห็นว่าการคุกคามของมหาอำนาจเพิ่มมากขึ้น ถ้ากลุ่มประเทศเล็ก ๆ รวมตัวกันก็จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสำหรับโลกในปัจจุบันนี้มันไม่เป็นเงื่อนไขที่เราจะต้องมาสร้างแต่เรื่องความรักชาติ หรือไม่รักชาติเท่านั้นผมคิดว่าเราจำเป็นที่ต้องลุกขึ้นมาสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับภูมิภาคมากกว่า เพราะฉะนั้นบางทีเราอาจจะต้องสร้างสิ่งที่เป็นทางเลือกใหม่ เช่น ประวัติศาสตร์ทางเลือกหรือสิ่งบันเทิงทางเลือก อะไรก็แล้วแต่ แต่ที่ได้นำเสนอภาพให้เห็นซึ่งการบูรณาการอันหลักหลายของคนในภูมิภาคนี้ที่มุ่งที่จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกันและอยู่ด้วยกันโดยสันติ เราอาจจะบอกว่าความเป็นศัตรูระหว่างเรากับความเป็นเพื่อนบ้านจริง ๆ มันเป็นศัตรูระหว่างผู้ปกครองหรือรัฐบาลแต่สมมุติว่าประชาชนสองฝั่งโขงก็เป็นญาติพี่น้องกัน หรือเรากับคนพม่า คนพม่าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นศัตรูกับเขา สิ่งเหล่านี้เรามักจะมองข้ามมันแล้วเราก็มักจะมองภาพที่เป็นความขัดแย้งระดับรัฐนี้มาอธิบายว่าเป็นความขัดแย้งของคนทุกระดับชั้นในสังคมเป็นตัวแทนของคนนั้นซึ่งความจริงมันไม่ใช่เพราะฉะนั้นถ้าถามผมผมคิดว่าเราควรที่จะมีประวัติศาสตร์ทางเลือก ภาพยนตร์ทางเลือก

ในฐานะที่อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ คนไทยจะเรียนประวัติศาสตร์เล่มเดียวกันซ้ำ ๆ ตลอด ถ้าจะต้องเรียนประวัติศาสตร์ทางเลือกอย่างที่บอกมันควรเป็นการที่หยิบยกประวัติศาสตร์ในเรื่องไหนขึ้นมาสอนคนรุ่นใหม่คะ
ผมคิดว่าประวัติศาสตร์สังคม และวัฒนธรรมน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดี เพราะผมคิดว่าถ้าเราดูบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของไทยแล้ว ในสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นความเป็นไทยปัจจุบันนี่ได้เติบโตหรือพัฒนาขึ้นมาบนฐานรากแห่งความหลากหลาย ฐานรากในการเคารพซึ่งกันและกัน การยอมรับในการมีอยู่ของความแตกต่าง แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ร่วมกันได้ คิดว่าการดูไปถึงบริบทของความสำคัญที่คนนั้นมีลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นคติความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ไม่ว่าจะเป็นการเกื้อหนุนหรือสนับสนุนแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ของคนในระดับล่าง

การที่เราเรียนประวัติศาสตร์ในมุมของเรื่องการสู้รบแล้วสร้างเพื่อนบ้านเป็นศัตรูนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไรบ้าง
ผมคิดว่ามันได้เข้ามามีส่วนในการสร้างทัศนคติ ทางลบต่อเพื่อนบ้านทำให้เมื่อเรามองเพื่อนบ้านแล้วเราไม่ได้มองภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาเท่าใดนัก แต่เราจะต้องมามองภาพของเพื่อนบ้านด้วยภาพที่ไม่เอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์อันดีในหลาย ๆ ระดับ เช่นว่าไม่ได้มองแล้วเห็นว่าเกิดความเข้าใจว่าเรามองแล้วเกิดความเข้าใจว่าศัตรูกันในอดีตประการหนึ่ง มองแล้วเห็นว่าเป็นแหล่งทางทรัพยากรที่เราจะเข้าไปกอบโกยได้ มองแล้วรู้สึกว่ามีความต่ำกว่าทางวัฒนธรรม ความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าด้านต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพอทุกสิ่งที่เรามองเป็นการมองข้ามการเป็นมนุษย์ เป็นภาพความเข้าใจของอดีตที่เป็นศัตรูบ้าง สิ่งที่เราจะไปเอาอะไรจากเขา หรือจะเอาอะไรไปให้เขามากกว่าจะมองบนฐานแห่งความเสมอภาคแห่งความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นมันควรจะต้องมีตัวกลางที่เอื้อต่อการปรับทัศนคติในการมอง

หน่วยงานที่ผลิตตำราขอลงภาครัฐเช่นกระทรวงศึกษาธิการ ควรจะมองเรื่องนี้อย่างไร
ผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมองในเรื่องนี้มาก ๆ ถึงแม้ผมอาจไม่ได้หวังพึ่งเท่าไหร่นักเพราะถ้าเราคิดว่าเราจะเริ่มต้นที่การแก้ประวัติศาสตร์เราคงไปไม่ถึงไหน เพราะเราก็จะเจอปัญหาต่าง ๆ มากมายเนื่องจากประวัติศาสตร์ที่เราเรียนหรือเชื่อกันอยู่นี้เป็นฐานรากของสถาบันหลาย ๆ สถาบันที่หยัดยืนอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงไม่เป็นเงื่อนไขง่ายนักในการที่จะเข้าไปปรับแก้ไข แต่ที่ผมพูดถึงประวัติศาสตร์ทางเลือกนี้ คือ เรายังมีเรื่องอื่น ๆ อีกที่เราพูดถึง สัมผัส มองเห็น และดึงความสนใจได้

มันไม่ใช่เสริมเข้าไปจากสิ่งที่มีอยู่ แต่หมายความว่ามันเป็นทางเลือกใหม่ที่คุณไม่จำเป็นต้องเรียนประวัติศาสตร์ และเข้าใจประวัติศาสตร์ในทิศทางนั้นเพียงอย่างเดียว คุณสามารถที่จะมองประวัติศาสตร์หรือเข้าใจประวัติศาสตร์ในด้านอื่นหรือมุมอื่นได้ด้วยเพราะฉะนั้นสถานะมันจะเป็นสถานะที่เท่ากัน

ถ้าอย่างนั้นการนำประวัติศาสตร์ทางเลือกควรที่จะถูกผลักดันเข้าไปสู่การศึกษากระแสหลักด้วยไหม
ควร ถ้าทำได้ แต่ปัจจุบันนี้ค่อนข้างจะมีเวทีน้อย แต่ไม่ใช่ถึงกับไม่มีเลย แต่ผมคิดว่าก่อนอื่นควรจะหาเวทีให้กับประชาชน ถ้ามันสามารถเข้าไปในเวทีที่มีการประสานเป็นระบบได้ยิ่งดี

ขอย้อนกลับเรื่องหนังพระนเรศวรว่าในมุมของตำราประวัติศาสตร์พม่า และประวัติศาสตร์ไทยที่อาจารย์ได้ค้นคว้ามามีมุมไหนเหมือนกัน และต่างกันบ้าง
คือผมคิดว่ามุมที่มองเหมือนกันนี้ต่างก็ค่อนข้างที่จะยอมรับพระปรีชาสามารถในสมเด็จพระนเรศวร พม่าไม่ได้ปฏิเสธตรงนี้ แต่อาจจะมีกระบวนการอธิบายบทบาทที่ต่างกันไป เรามองพระนเรศวร เป็นวีรกษัตริย์ที่มีสิทธาภินิหาร ่มีความสามารถอะไรสารพัด และภายหลังถูกบอกว่าเป็นผู้กอบกู้เอกราช แต่พม่ามองว่าเป็นกบฏกับพม่า ที่ก่อการประสบความสำเร็จ แล้วเขากลับมามองว่ากษัตริย์ของเขาอ่อนด้อยเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรจะทำตามอย่างเช่นกรณีพระเจ้านันทบุเรงเป็นต้น เพราะฉะนั้นบางเรื่องมองในลักษณะร่วมหรือลักษณะที่เหมือนกัน แต่พอจะให้ความหมายของพฤติกรรมนั้นแล้วจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องเล่าที่เป็นความสำเร็จที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่นเราอาจให้ความสำคัญกับชัยชนะในการชนช้าง แต่ของพม่าอาจไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้เลยเพราะฉะนั้นมันก็มีเรื่องบางเรื่องที่พูดต่างก้นไปเลย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือยอมรับในพระปรีชาสามารถในสมเด็จพระนเรศวร

คนไทยควรศรัทธาพระนเรศวรในแง่มุมใดบ้าง
ผมคิดว่าคนไทยไม่ค่อยได้มองสมเด็จพระนเรศวรในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่าไหร่ เรามองสมเด็จพระนเรศวรว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงกว่าเรามาก เกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนจะไขว่คว้า ทำนองนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิบัติต่อท่านเพียงบทบาทอย่างเดียวคือถวายการบูชา แต่ว่าถ้าเรามองสมเด็จพระนเรศวรฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชน เจ็บปวดได้ โกรธได้ รักได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว หรือในภาพยนตร์ แสดงให้เห็นเรื่องการรักความเป็นธรรม ความมีน้ำพระทัยที่กว้างขวาง เป็นผู้ซื่อสัตย์ และรักแผ่นดิน ผมคิดว่าเราไม่ค่อยมองมุมนี้กันสักเท่าไหร่เพราะเราไปเน้นในสิทธาภินิหารเกินไป

ในประวัติศาสตร์ไทยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระนเรศวรกับชนกลุ่มน้อย อย่างเช่นไทยใหญ่ ในประวัติศาสตร์พม่าได้พูดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่
แทบจะไม่มีเลย เพราะเราต้องเข้าใจก่อนว่า พงศาวดารเขียนจากจุดยืนของราชสำนักแต่ละราชสำนักเพราะฉะนั้นเรื่องพระนเรศวรจะพงศาดารพม่าจะเขียนแต่เรื่องที่พระนเรศวรมาสัมผัสราชสำนัก เพราะฉะนั้นกิจกรรมที่พระนเรศวรทรงไปทำในที่อื่น ๆ นี้จะไม่พูดถึง ในทางกลับกันเมื่อเราเขียนพงศาวดารของเรา เราก็มักจะมุ่งไปที่ราชสำนักของเราเพราะฉะนั้นสมเด็จพระนเรศวรท่านทรงไปประกอบกิจกรรมกับมอญหรือไทยใหญ่ เราก็จะต้องบันทึกไว้ เพราะการประวัติศาสตร์จะต้องดูว่า ใครเป็นคนเขียน แล้วเขียนจากมุมไหน

อาจารย์คิดว่าพระนเรศวรในภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรนี้แตกต่างจากที่เคยรับรู้มาอย่างไร
มันมีหลายมิติเหมือนกันครับ เพราะว่าพอเราพูดถึงภาพยนตร์ และการทำภาพยนตร์ปั๊บนี้บางครั้งเราก็มักจะมีบรรทัดฐานของเราอยู่ว่าพระนเรศวรน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะเดียวกันคนทำภาพยนตร์เขาก็อยู่ในโลกการผลิตที่มีเงื่อนไขของตนเอง เช่น สมมุติว่าท่านมุ้ยทำภาพยนตร์ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งเงื่อนไขของท่านมุ้ยนี้เป็นเงื่อนไขที่สัมพันธ์กับพัฒนาการของภาพยนตร์ และการเสพภาพยนตร์ซึ่งเราต้องยอมรับว่าโลกฮอลลีวูดนี้เป็นตัวนำและมีอิทธิพลอยู่ในแวดวงของบ้านเรา เพราะฉะนั้นท่านมุ้ยทำภาพยนต์ปั๊บ ท่านมุ้ยก็อาจจะยากที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นฮอลลีวูดหรือมาตรฐานการทำภาพยนตร์สากล นั่นหมายความว่าพอทำปับอาจจะต้องมีภาพของภาพยนตร์อย่างเช่น Lord of the Ring , Troy, Alexander อะไรทำนองนี้เป็นเกณฑ์อยู่ ถ้าท่านมุ้ยทำภาพยนตร์แล้วให้ดูคุณภาพด้อยกว่ามาตรฐาน คนดูก็จะคิดว่า ทำไมหนังมันห่วยขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลงทุน เพราะเมื่อคนคิดถึงภาพยนตร์ ก็จะมีมาตรฐานบางประการของสิ่งที่ตัวเองเสพอยู่เอาไว้ในใจเสมอ เพราะฉะนั้นเราจึงจะเห็นว่า ภาพยนตร์พระนเรศวรได้สร้างตัวตนใหม่ให้กับพระนเรศวร ซึ่งเป็นตัวตนที่เราอาจไม่เคยได้นึกถึง ไม่เคยมีในระบบความรับรู้ของเรามาก่อน เช่น พระนเรศวรที่ค่อนข้างจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นอินเตอร์หรือสากล อย่างเช่น เครื่องแต่งกายต่าง ๆ ม้าที่ทรง มันดูไม่เหมือนกับพระนเรศวรที่เราเคยเห็นในจิตรกรรมฝาผนัง มณีจันทร์ หรือ ทหารเอกบางคนจะ ไว้ผมยาวดูคล้ายฝรั่ง กองทัพที่แวดล้อมด้วยคนหลากเชื้อชาติ จะเป็นบรรยากาศของสนามรบของหนังฝรั่งที่เราเห็น พระนเรศวรและสภาพแวดล้อมจะค่อนข้างจะดูอินเตอร์พอสมควรในความรู้สึกของผม นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เป็นลักษณะความเป็นไทยอย่างที่เราคุ้นอีกต่อไปแล้ว

ประการที่สอง พระนเรศวรที่ท่านมุ้ยสร้าง ในภาพยนตรเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะพระนเรศวรที่เรารู้สึกนึกคิดจะต้องอยู่บนอนุสาวรีย์บนที่สูง และเราต้องมองขึ้นไป เป็นพระนเรศวรที่อาจจะเต็มเปี่ยมไปด้วยกฤษดาภินิหารอะไรทำนองนี้ พระนเรศวรในเรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์ เจ็บปวดโกรธรักได้เพราะว่า ถ้าสร้างภาพยนตร์แล้วทำให้บุคลิกตัวละครไม่ให้เป็นมนุษย์ มันก็คงจะสื่อในเชิงของความรู้สึก ความรับรู้ความเข้าใจของสามัญชนทั่วไปลำบาก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นพระนเรศวรตั้งแต่ชีวิตที่เป็นเด็ก ไล่มาจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ มีโอกาสที่ไปนอนหนุนตักสาวได้ หรืออาจจะมีพฤติกรรมอะไรบางอย่างบางประการที่เป็นมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเป็นการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับพระนเรศวรใหม่ และพร้อมกันไป ผมคิดว่า มันสร้างภาพการรับรู้เกี่ยวกับตัวเราเองชัดเจนขึ้นด้วย ให้เห็นถึงภาพการขัดแย้ง การขาดเสถียรภาพ บ้านเมืองผู้คนต่าง ๆ ให้เห็นภาพของพม่า ที่อาจจะกว้างไกลและผิดแผกจากที่เราคุ้นเคย เราเห็นภาพพม่าที่ไม่ได้เป็นโจรกระจอก เราเห็นภาพพม่าที่เป็นมากกว่าคนที่นุ่งโสร่งมาไล่ฟันเรา เราเห็นราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ เห็นบ้านเมืองที่ยิ่งใหญ่ เห็นพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ เห็นการเผาศพที่ยิ่งใหญ่ เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ เห็นว่า พม่าที่เรามักจะดูถูกดูหมิ่นหรือที่มารบชนะเราได้ ท่านมุ้ยทำให้เห็นว่าพม่าในยุคนั้นนี่ยิ่งใหญ่ประมาณไหน ขนาดไหน ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสมมุติว่าสิ่งที่เราคิดว่าเรารับรู้เกี่ยวกับพม่า เราไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับพม่าแบบนี้ เรารับรู้เกี่ยวกับพม่าต่างไป อันนี้ผมคิดว่าเรารับรู้เกี่ยวกับพม่าใหม่ เป็นภาพชุดใหม่เหมือนกัน

การที่เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ความเป็นภาพยนตร์ก็มักจะทำให้ตัวละครมีสีสัน มีบุคลิกบางอย่าง มีความเสี่ยงต่อการจะไปบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่
อย่างนี้ต้องตั้งคำถามว่า แล้วที่ว่าประวัติศาสตร์เป็นประวัติศาสตร์ เรารู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นจริง เรารู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ได้ถูกบิดเบือนมาในรูปลักษณ์อื่น จากคนที่เขียนถึงในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่อาจจะมีภาพการรับรู้เกี่ยวกับพระนเรศวรที่แตกต่างกันออกไป แล้วมีเจตจำนงในการที่จะสื่อตัวตนของพระนเรศวรอันจะมาสัมพันธ์กับยุคสมัยของตัวเองบนเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย เช่น ก่อนเสียกรุงอย่างหนึ่ง หลังเสียกรุงอย่างหนึ่งอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นภาพของสมเด็จพระนเรศวรไม่เคยมีภาพเดียวแล้วก็ไม่เคยมีภาพที่ตายตัว ถ้าเราจะบอกว่าภาพนี้เป็นภาพที่บิดเบือนไปจากประวัติศาสตร์ เราจะต้องบอกได้ว่าแล้วภาพจริง ๆ ของพระนเรศวรนี่คือภาพไหนหละ สิ่งที่เราบอกได้ประการเดียวคือ กระบวนการผลิตซ้ำเกี่ยวกับพระนเรศวรมีมาโดยต่อเนื่อง นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระนเรศวรถูกผลิตซ้ำ แต่ถูกผลิตซ้ำภายใต้เงื่อนไข ภาวะแวดล้อม เจตจำนงที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน ๆ เราจึงได้ภาพพระนเรศวรชุดใหม่อีกชุดหนึ่งมา

เพราะฉะนั้นเราจะถามหาพระนเรศวรที่แท้จริง
คงไม่มีใครยืนยันได้เป็นเรื่องยากมากครับ

จากที่ฟังมาดูเหมือนทีมงานที่สร้างก็จะพยายามให้เห็นพม่าในหลาย ๆ มุม แต่ว่าก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูแล้วรู้สึกเกลียดพม่า อาจารย์อยากจะฝากอะไรถึงคนที่ยังมองในมุมนี้อยู่บ้าง
ผมคิดว่า อันดับแรกที่เราดูภาพยนตร์เราควรจะต้องคิดว่านี่คือภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นสีสันที่ภาพยนตร์สร้างขึ้นมันเป็นมายา ไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นตัวแทนของความเป็นจริง สอง ภาพยนตร์บอกตั้งแต่เบื้องต้นว่าเป็น "ตำนาน" สมเด็จพระนเรศวร ไม่ได้เป็น "ประวัติศาสตร์"พระนเรศวร เพราะฉะนั้นภาพยนตร์ก็ยอมรับในตัวเองแล้วว่านี่เป็นตำนานของพระนเรศวรในมิติมุมมองของผู้สร้าง อาจจะหมายถึงหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เราก็ต้องรับรู้และทำความเข้าใจเอาไว้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่า เราจะต้องกลับเข้ามาตั้งคำถามใหม่อีกทีหนึ่งว่า ภาพการรับรู้และความเข้าใจเดิม ๆ ที่เรามีอยู่กับพม่า คุณเกลียดพม่าอยู่แล้ว แล้วคุณมาดูพระนเรศวร คุณอาจจะรู้สึกไปกระตุกต่อมความเกลียดพม่าให้มันทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ถึงเวลาแล้วหรือยังในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองและคนรอบข้างเราให้ต่างไปจากเดิมบ้าง เพราะว่าถ้าเรายังคงอธิบายด้วยชุดความเข้าใจเดิมไปเรื่อย ๆ มันก็คงจะไม่ได้เป็นทางออกที่ดีของเรากับปัจจุบันและอนาคตที่เราต้องการมิตรประเทศมากกว่าฝ่ายตรงข้าม.