อาจกล่าวได้ว่า พระไพศาล วิสาโล เป็นพระนักกิจกรรมหัวก้าวหน ้าที่เชื่อมโยงพุทธศาสนากับสังคมมาโดยตลอด ท่านมีความสนใจปัญหาสังคมโดยไม่ ยึดติดในกรอบเส้นพรมแดนรัฐ ชาติ มองปัญหาต่างๆ อย่างเชื่อมโยงกันบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ดังเช่นการจัดทอดผ้าป่าเพื่อการ ศึกษาเด็กยากไร้ในพม่าเมื่อ เดือนกรกฎาคมที่ ผ่านมา โดยสามารถรวบรวมเงินบริจาคได้มากถึง 2.5 ล้านบาท และนำไปช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้ ในพม่าได้มากมาย
อยากให้ท่านช่วยเล่าประสบการณ์ ที่เคยเดินทางไปประเทศพม่า
อาตมา เคยไป 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 ไปย่างกุ้งเพื่อเยี่ยมเยียนและ ให้กำลังใจพระพม่าหลังเหตุ การณ์ปราบปรามพระ สงฆ์ ส่วนครั้งที่สอง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พาคนไทยไปทำบุญที่พม่าและเยี่ยมชมกิจการโรงเรียนวัดในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ เพื่อช่วยกันรณรงค์บอกบุญผ้าป่า เพื่อการศึกษาของเด็กยากไร้ใน พม่า
ท่านได้รับประสบการณ์จากการเดิน ทางไปพม่าครั้งแรกอย่างไรบ้าง
เหตุการณ์ นองเลือดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่าน มายังเป็นภาพฝังใจของคน ย่างกุ้ง เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นพระสงฆ์ ถูกทหารสาดกระสุนใส่จน มรณภาพไปหลาย รูปพร้อมกับประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก กลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก สำหรับคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เหตุการณ์ดังกล่าวชวนให้นึกถึงเหตุการณ์นองเลือดเมื่อปี 2531 ซึ่งโหดร้ายยิ่งกว่า เพราะมีคนตายนับพันๆ คน
ช่วงที่อาตมาเดินทาง ไปเป็นช่วงหลังเกิดเหตุประมาณสามเดือน สิ่งที่สังเกตได้ในกรุงย่างกุ้ง คือ ตามท้องถนนมีพระปรากฏให้เห็นน้อยลง จากการสอบถามได้ความว่า หลังเกิดเหตุมีการจับกุมพระสงฆ์ เป็นจำนวนมาก ทำให้พระจำนวนนับหมื่นที่ร่วมประท้วง หนีออกจากวัดกลับไปยังภูมิลำเนาของท่าน แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับไปยังวัดเดิม
จาก คำบอกเล่าของชาวพม่าบางคน มีพระถึงร้อยละ 90 ที่ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน แม้แต่พระผู้ใหญ่หลายรูปก็ไม่ช อบรัฐบาลด้วยเช่นกัน ในช่วงที่มีการประท้วงใหญ่ พระที่สนับสนุนรัฐบาลหรือคัดค้าน การประท้วงอยู่ในสถานการณ์ ที่ลำบากมาก เพราะถูกประชาชนต่อต้าน สถานการณ์ในช่วงนั้นกล่าวได้ว่าประชาชนทั่วย่างกุ้งสนับสนุนการประท้วงของ พระสงฆ์อย่างล้นหลาม จนยากที่ใครจะแสดงตัวคัดค้านได้ ยิ่งในหมู่พระด้วยแล้ว แม้แต่พระที่พยายามเตือนให้ขบวนพระอยู่ในความรอบคอบระมัดระวังก็อาจเดือด ร้อนได้
ครั้งนั้นคณะของอาตมายังได้ไป เยือนวัดที่จัดตั้งโรงเรียน สำหรับเด็กยากจนและเด็กกำพร้า เราไป 2 วัด วัดแรกอยู่ทิศเหนือของย่างกุ้ง รองเจ้าอาวาสเล่าว่าเคยมีพระเณร 200 รูป แต่หลังจากเหตุการณ์เดือนกันยายนเหลือพระแค่ 15 และเณร 35 รูป อีก 150 รูปหนีไปที่อื่นเพราะกลัวถูกจับ กุมเนื่องจากได้ร่วมเดินขบวน ด้วย พระที่เหลือไม่ได้ไปร่วมขบวนเพราะ ต้องสอนหนังสือเด็กในช่วง นั้น ท่านไม่ได้ข่าวคราวจากพระเหล่า นั้น จนบัดนี้
วัดนี้เปิดโรงเรียนสอน เด็กยากจนราว 500 คน ในจำนวนนี้ 82 คนพักที่วัดด้วย ส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้า ปัจจุบันมีครู 12 คน ทุกวันนี้ทางวัดจ่ายค่าอาหารให้แก่เด็กเฉลี่ย 500 จั๊ต(16 บาท) ต่อคนต่อมื้อ และจ่ายค่าเงินเดือนครู 15,000 จั๊ต(500 บาท) ต่อเดือน เงินสนับสนุนได้มาจากญาติโยม บางครั้งก็ได้เงินบริจาคจากชาว ต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ สำหรับบิณฑบาตนั้นได้ไม่พอ ฉันเช้า ตอนเพลได้อาศัยจากญาติโยมที่มาถวายบ้าง แต่ส่วนใหญ่ทางวัดต้องจัดทำเอง
วัด ที่สองอยู่ด้านทิศตะวันออกของย่างกุ้ง มีพระ 11 รูป เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กยากจนกว่า 500 คน (หลายคนบวชเณร) สภาพห้องเรียนแออัดยัดเยียดมาก ไม่มีฝากั้นระหว่างห้องเหมือนวัด แรก นักเรียนหลายชั้นต้องเรียนอยู่ ในห้องโถงเดียวกัน ซึ่งไม่ใหญ่เท่าใดนัก สภาพนักเรียนยากจนมาก หลายคนเป็นโรคผิวหนังมีบริษัทแห่ง หนึ่งส่งเจ้าหน้าที่มาทา ยากันโรคผิวหนัง ให้แก่เด็กอาทิตย์ละครั้ง เด็กเหล่านี้หลายคนเป็นเด็กกำพร้าหลายเชื้อชาติ
ประสบการณ์ การเดินทางไปพม่าครั้งที่สองแตกต่างจากครั้งแรกอย่างไร
การ ไปครั้งที่สองนั้น อย่างที่พูดไว้แล้วว่า นอกเหนือจากการพาคนไทยไปเที่ยวและทำบุญตามสถานที่สำคัญอย่างนักท่องเที่ยว ทั่วไปแล้ว ยังพาเขาไปสัมผัสโรงเรียนวัดใน พม่าเพื่อจะได้ช่วยไปรณรงค์ หาทุนสมทบผ้าป่า ที่เรากำลังจัดขึ้น ทีแรกหลายคนสงสัยว่าทำไมต้องไปช่วยเด็กพม่าในเมื่อเด็กไทยก็มีปัญหามากมาย แต่เมื่อไปเห็นโรงเรียนวัดโดยเฉพาะ ที่ย่างกุ้งแล้วก็หายสงสัย เพราะเด็กพม่าแม้แต่ในเมืองหลวง ยังลำบากกว่าเด็กไทยหลายเท่า นักเรียนในชนบทไทยเวลานี้มีโทรศัพท์ มือถือและคอมพิวเตอร์ ใช้ในโรงเรียน แต่เด็กพม่าไม่มีแม้แต่หนังสือเรียน เครื่องเขียนก็ขาดแคลน
ส่วนสภาพ ทั่วไปนั้นผู้คนยังมีความระแวด ระวังอยู่ จะพูดเรื่องการเมืองกับคนไทยก็ ยังไม่ค่อยอยากพูด เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผู้คนดูจะไม่ค่อยมีความหวังกับอนาคต ยิ่งหลังจากพายุนาร์กิส นักท่องเที่ยวหายไปเยอะ เด็กๆ และผู้ใหญ่ที่อยู่ได้ด้วยการขายของ และบริการนักท่องเที่ยวก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ พวกเราเป็นคณะทัวร์เพียงคณะเดียว ที่ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยว สำคัญๆ ของพม่าในช่วงนั้น โดยเฉพาะที่พุกาม มีแต่พวกเราคณะเดียว เด็กๆ ดีใจมากที่เห็นพวกเราเพราะไม่ม ีนักท่องเที่ยวมานานมากแล้ว
อยากให้ท่านช่วยมองภาพรวมปัญหา เด็กยากไร้ในพม่าว่าเป็นอย่าง ไร
แม้ ว่าพม่าจะเป็นประเทศที่อุดมด้วย ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีมูลค่า มหาศาล แต่เด็กส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับ ที่ต่ำมาก ร้อยละ 35 ของเด็กทั่วประเทศเรียนจบไม่เกินชั้นป.5 เนื่องจากงบประมาณด้านการศึกษาที่รัฐจัดให้แต่ละปีมีไม่ถึงร้อยละ 10 ของงบประมาณทั้งหมด ขณะที่งบประมาณด้านการทหารสูงถึง ร้อยละ 30 หรือ 3 เท่าของงบประมาณด้านการศึกษา ภาระในการสนับสนุนการศึกษาจึงตกอยู่กับพ่อแม่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาพยากจน เด็กจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสได้เข้า โรงเรียนเลย ในจำนวนนี้มีสัดส่วนสูงมากที่เป็นเด็กกำพร้า เนื่องจากพ่อแม่ถูกฆ่าตายในสงคราม ระหว่างรัฐบาลกับชนกลุ่ม น้อยหรือไม่ก็ถูก จับไปเป็นแรงงานบังคับให้กับโครงการต่างๆ ของรัฐ
จากสภาพรันทดที่เกิดขึ้นจึงมี พระภิกษุสงฆ์ในพม่าจำนวนมากเข้า มาโอบอุ้มช่วยเหลือเด็กเหล่า นี้ ส่วนหนึ่งด้วยการจัดตั้งโรงเรียน ขึ้นในวัด รวมทั้งรับเด็กกำพร้ามาอยู่ใน ความอุปถัมภ์โดยอาศัยรายได้ข องวัดและเงิน บริจาคของผู้มีจิตศรัทธา จัดหาสมุด หนังสือ อาหารกลางวัน รวมทั้งจ้างครูมาสอน แต่เนื่องจากเด็กที่ยากไร้มีจำนวนมหาศาลโรงเรียนวัดที่ช่วยเหลือเด็กเหล่า นี้จึงมีถึง 1,400 โรงทั่วประเทศ เฉพาะในย่างกุ้งมีเกือบ 170 โรง แต่ละโรงมีเด็กอยู่ในความรับผิดชอบ 300 - 500 คน บางโรงมีเด็กนับพันๆ คน
หลังจากพายุไซโคลนนาร์กิสพัดถล่ม พม่า วัดต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
ก่อน หน้านี้ วัดหลายแห่งประสบปัญหาด้านเงินทุน เนื่องจากเศรษฐกิจของพม่าอยู่ในภาวะฝืดเคือง ขณะที่มีเด็กหลั่งไหลเข้ามาขอ ความช่วยเหลือมากขึ้น หลายคนอพยพหนีภัยสงครามจากชนบทมาเป็นเด็กเร่ร่อนในเมือง จำเป็นที่วัดต้องเข้ามาสงเคราะห์ ทั้งๆ ที่มีภาระหนักอึ้งอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ วัดจำนวนไม่น้อยจึงอยู่ในสภาพที่ลำบากมาก สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้น ไปอีกหลังจากเกิดวาตภัยดังกล่าว เพราะมีผู้ทุกข์ร้อนหันหน้ามา พึ่งพิงวัดมากขึ้น
อยากให้ท่านเล่ารายละเอียดเกี่ ยวกับโครงการจัดผ้าป่าเพื่อ การศึกษาของเด็กยากไร้ในพม่า
โครงการนี้จัดโดยเครือข่ายพุทธิ การ่วมกับมูลนิธิเด็ก และอีก 9 องค์กร เพื่อหาทุนให้แก่วัดต่างๆ ที่จัดทำโรงเรียนให้แก่เด็กยาก จนและเด็กกำพร้า โดยจะมอบให้โรงเรียนละ 50,000 บาท มีการทอดผ้าป่าที่วัดทองนพคุณเมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เงินประมาณ 2 ล้าน 5 แสนบาท จึงสามารถช่วยโรงเรียนวัดได้ประ มาณ 50 โรงเรียน ส่วนใหญ่ จะไปช่วยโรงเรียนวัดแถวลุ่มน้ำอิรวดีที่ประสบภัยนาร์กิสและที่เมืองมัณฑะเล ย์ เพราะขาดแคลนเงินทุนมากกว่าที่ อื่น เงินเหล่านี้จะมีคนนำไปมอบให้ท ี่พม่าเลยเพราะแน่ใจว่าจะถึง มือ เนื่องจากเรามีเครือข่ายพระสงฆ์ ที่ทำงานโรงเรียนวัดและสงเคราะห์ ชุมชนอยู่ แม้การทอดผ้าป่าจะสิ้นสุดแล้ว แต่มูลนิธิเด็กจะรับช่วงต่อเพราะมีโครงการช่วยเหลือการศึกษาของเด็กพม่า อย่างต่อเนื่อง ผู้สนใจสามารถบริจาคได้ที่มูลนิธิ เด็ก
ท่านมองว่าปัญหาการศึกษาของเด็ก พม่าแตกต่างจากเด็กไทยอย่างไร
เนื่อง จากในพม่า ระบบการศึกษารวมทั้งระบบสวัสดิการต่างๆ ของรัฐไม่ทำงาน ผู้คนมีความรู้ในระดับต่ำมากแม้ จบมหาวิทยาลัยมาก็ตาม โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐ มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ได้รับการ ศึกษาเพราะพ่อแม่ยากจน ที่เป็นเด็กกำพร้าก็มาก เด็กเหล่านี้ รัฐบาลไม่ใส่ใจเลยก็ว่าได้ เห็นได้จากงบประมาณด้านการศึกษาในแต่ละปีซึ่งมีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ขณะที่งบประมาณการทหาร สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งงบประมาณด้านสาธารณสุข แล้ว มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เด็กที่ตายก่อนอายุ 5 ขวบจึงมีสูงมาก ทั้งจากภาวะทุโภชนาการและโรคติ ดเชื้อโดยเฉพาะมาลาเรีย นี่เป็นสภาพที่น่าเศร้ามากในเมื่อรัฐบาลมีรายได้มหาศาลจากน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรอีกมากมาย
ในเมื่อรัฐบาลไม่ใส่ใจคนยากคน จน ภาระในการช่วยเหลือคนเหล่านี้จึง ตกเป็นของภาคเอกชน โดยเฉพาะวัดและโบสถ์ต่างๆ ซึ่งก็มีทุนจำกัดมาก สิ่งที่น่าตกใจก็คือมีโรงเรียน วัดทำนองนี้ถึง 162 แห่งเฉพาะในย่างกุ้งเมืองเดียว ยังไม่นับโรงเรียนที่จัดโดยโบสถ์คริสต์อีกนับร้อย นั่นหมายความว่ามีเด็กยากจนใน เมืองหลวงที่เข้าไม่ถึงการศึกษา ของรัฐกว่าแสน คน
ขณะที่ในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปี ก่อน เวลาพูดถึงเด็กที่ขาดโอกาสการศึกษา เรามักหมายถึงเด็กยากจนในชนบท โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดารที่เข้า ถึงยาก แต่ในพม่าปัญหานี้กลับเกิดกับเด็ก กลางกรุง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหานี้จะรุนแรงเพียงใดในชนบ ท โชคดีที่ยังมีพระจำนวนมากใส่ใจ กับเรื่องนี้ จึงมีโรงเรียนวัดเป็นจำนวนมากในต่างจังหวัด ประมาณว่ามีถึง 1,400 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่มัณฑะเลย์ มีบางวัดจัดการศึกษาให้แก่เด็กถึง 7,000 คน
ท่านได้แง่คิดจากการไปสัมผัสพม่า อย่างไรบ้าง
คนพม่ากับคนทยล้วนรักสุขเกลียดทุกข์ เช่นเดียวกัน และต่างมีประวัติศาสตร์ร่วมกันหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ในด้านลบ เช่น ทำสงครามต่อกัน แต่ยังมีประสบการณ์ในด้านบวก เช่นช่วยเหลือเกื้อกูลด้านศาสนาและวัฒนธรรม ประเทศไทยเป็นหนี้บุญคุณพม่าหลายอย่าง ทั้งด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรม รวมทั้งด้านธรรมชาติหรือนิเวศวิทยา แต่การเมืองในช่วงศตวรรษ ที่แล้วทำให้คน ไทยเห็นพม่าเป็นศัตรู เราต้องสลัดภาพดังกล่าวทิ้งไป เพราะถึงที่สุดเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ท่านคิดว่าคนไทยควรมองพม่าอย่าง ไร
เราควรรู้จักพม่าและคนพม่ามากกว่า นี้ รู้จักเขาในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่แค่คนชาติพม่าเท่านั้น เพราะการรู้จักชนิดไปพ้นจากหัวโขนหรือสมมติจะทำให้เราเห็นว่าเขาไม่ได้ต่าง จากเราเลย มีน้ำใจและความเอื้อเฟื้อเหมือ นเรา และยังจะเห็นใจเขามากขึ้นที่ตกอ ยู่ภายใต้รัฐบาลที่ไร้มนุ ษยธรรม เมื่อเห็นใครทุกข์ เราย่อมอยากช่วยเหลือเขาให้ได้รับสุข อย่ามองคนพม่าที่มาอยู่เมืองไทยว่ามาเอาเปรียบหรือเป็นตัวปัญหา ที่จริงหากไม่มีเขา เศรษฐกิจไทยก็จะลำบาก เพราะงานที่เขาทำนั้น คนไทยแทบไม่ทำกันแล้ว แม้แต่งานบ้าน การประมง ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ เราควรดูแลเขาให้ดี เพราะความดีที่เรามีต่อเขาจะเชื่อ มเขาและเราให้เป็นมิตร เขาจะกลายเป็นเพื่อนบ้านที่ดี หากเขากลับไปพม่า เขาก็จะรักคนไทย และหากเขายังอยู่มีลูกหลานที่เมืองไทย ลูกหลานของเขาก็จะกลายเป็นคนไทยที่ดี เช่นเดียวกับลูกจีนที่เกิดเมืองไทย บัดนี้ได้กลายเป็น "ลูกจีนรักชาติ" เหมือนเราและหลายคนอีกมากมายที่อยู่แวดล้อมเรา
ท่านคิดว่าคนไทยสามารถช่วยเหลือ ชาวพม่าได้อย่างไรบ้าง
พวกเราใน เมืองไทยที่เห็นใจในชะตากรรมของ ชาวพม่า แม้จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือช่วยกันรักษาประกายแห่งความหวังดังกล่าวมิให้ มอดดับ เพื่อให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น เป็นความหวังอันสดใสของประเทศ ครั้ง หนึ่งพวกเราเคยได้รับความช่วยเหลือ จากนานาประเทศจนเด็กๆ นับล้านพ้นจากภาวะขาดอาหาร มีอนามัยดีขึ้น และมีการศึกษาอย่างทั่วถึง วันนี้เป็นโอกาสที่เราจะยื่นมือ ไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่ลำบาก กว่าเรา เพราะนี่คือเครื่องหมายแห่งความ เป็นผู้เจริญที่แท้จริง.