เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาได้จัดงาน เสวนาอุษาคเนย์ครั้งที่ 2 ประจำปี 2553 ภายใต้หัวข้อ “จับกระแส: ยุทธศาสตร์การเมืองพม่า 2010” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผ่านมุมมองนักวิชาการสามท่าน คือ อาจารย์วิรัช นิยมธรรม ผู้อำนวยการศูนย์พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร อาจารย์พรพิมล ตรีโชติ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อาจารย์ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันในงานเสวนาครั้งนี้หนีไม่พ้นเรื่องราวสถานการณ์ในประเทศพม่าที่ได้รับการจับตามองจากนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งของพม่าที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ เรื่องของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลทหารพม่า รวมไปถึงประเด็นอุโมงค์ลับ และการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ในพม่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นข่าวครึกโครมที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
อาจารย์วิรัช นิยมธรรม ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงกลไกต่างๆ ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 ผ่านวิธีคิดของรัฐบาลทหารพม่า ที่ใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยาวนานถึงสิบกว่าปี และกำลังจะนำมาใช้จริงหลังจากการเลือกตั้งในปีนี้เสร็จสิ้นลงว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการแก้ไขจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญฉบับปี 1947 และฉบับปี 1974 ให้มาก ที่สุด เพื่อให้อำนาจในการรัฐประหารของบรรดาคณะผู้นำทหารพม่าสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไปนั่นเอง เพราะรัฐบาลทหารพม่าเล็งเห็นว่ารัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับเป็นบทเรียนชิ้นสำคัญที่ทำให้พม่ามีความเสี่ยงต่อการแยกประเทศ รวมไปถึงขาดความปรองดองและความสมานฉันท์ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 1974 แสดงให้เห็นได้ชัดว่าจุดอ่อนนั้นมาจากความรัดกุมและรุนแรงต่อประชาชนชาวพม่ามากเกินไป สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 นี้ ไม่ได้ดำเนินตามรอยความโหดร้ายรุนแรงอย่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 1947
แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการระบุไว้อย่าง ชัดเจนว่า“ทหารต้องมีบทนำทางการเมือง” โดยกลไกทางด้านเศรษฐกิจนั้นรัฐบาล จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของประชาชน ในขณะที่รัฐบาลก็ยังคงดูแลในส่วนของ ทรัพยากรในประเทศต่อไป ส่วนทางด้านการเมืองนั้น อาจารย์ วิรัชได้กล่าวต่อว่า เมื่อทหารต้องนำการเมือง ดังนั้นก็แน่นอนว่า SLORC (State Law and Order Restoration Council) และ SPDC (The State Peace and Development Council) ก็ยังคงไม่ได้หายไปไหนจากเวทีการเมืองของพม่า แต่กองทัพจะเปลี่ยนโฉมหน้าของตัวเองเป็น NDSC (National Defense Security Council) หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า คณะรักษาความมั่นคง คอยทำหน้าที่ควบคุมประเทศในภาวะฉุกเฉิน คล้ายกับเป็นสภาเงาทำหน้าที่ อยู่เบื้องหลังนั่นเอง ในขณะที่สภาที่แท้จริงนั้นจะเป็นไปในรูปแบบของ “สภาสหภาพ” ซึ่งมีทั้งหมด 664 ที่นั่ง มีวาระการทำงาน ทั้งหมด 5 ปี ประกอบไปด้วยสองสภาด้วยกัน คือสภาประชาชน และสภาชนชาติ
ทั้งนี้อาจารย์วิรัชได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาประชาชนนั้นจะมี ทั้งหมด 440 ที่นั่ง แต่จะมีเพียง 330 ที่นั่งเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้งในทุกอำเภอของประเทศพม่า ส่วนที่เหลืออีก 110 ที่นั่งนั้นจะมาจากทหาร ในกองทัพและไม่มีการปลดตำแหน่ง เช่นเดียวกันกับสภาชนชาติที่มี ที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง ประกอบด้วยตัวแทนจากรัฐต่างๆ ในประเทศพม่า 168 ที่นั่ง และอีก 56 ที่นั่งนั้นมาจากทหารในกองทัพ ส่วนการจะมี ฝ่ายค้านหรือไม่นั้น อาจารย์วิรัชทิ้งท้ายไว้ว่า อาจจะต้องมีการพัฒนากัน ต่อไป แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าที่นั่งของสมาชิกทหารในสภาสหภาพนี้มีจำนวน 166 ที่นั่งด้วยกัน และไม่มีการปลดออกจากตำแหน่งในส่วนของระบบการปกครองอำนาจทั้งหมดนั้นจะมาจากประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผู้นำคณะรัฐบาลโดยตรง และไม่ว่าประธานาธิบดีจะ ตัดสินใจทำอะไรก็ตามแต่ จะต้องผ่านการพูดคุยปรึกษาหารือร่วมกันกับ NDSC อยู่ตลอด และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยคือ “อุดมการณ์ชาติ” ที่นักการเมืองทุกคนไม่ว่าจะมาจากพรรคใดก็ตามจะต้องยึดมั่นเหมือนกันหมด อันได้แก่
ประการแรก สหภาพพม่าต้องไม่แตกแยก
ประการที่สอง คือจะต้องปรองดองกันในชาติ หรืออย่าสร้างความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น รวมไปถึงกองทัพกับประชาชน
ประการสุดท้าย คืออธิปไตยต้องมั่นคง ทั้งนี้อาจารย์วิรัชมองว่ารัฐธรรมนูญของพม่าฉบับนี้พยายามจะโอนถ่าย อำนาจไปสู่ประชาชนแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่อย่างไรก็ดี การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังคงเป็นไปตามกติกาที่กองทัพทหารพม่ากำหนด อยู่ดี ด้านอาจารย์พรพิมล ตรีโชติ ได้หยิบยกสถานการณ์ปัญหาในพม่า ระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลทหารพม่าขึ้นมาพูดคุยให้ผู้เข้า ร่วมการเสวนาได้เห็นภาพกัน โดยเฉพาะเรื่องราวที่รัฐบาลทหาร พม่าได้ส่งกองกำลังบุกเข้ายึดเขตปกครองพิเศษกองกำลังหยุดยิงโกกั้ง MNDAA (Myanmar National Democratic Alliance Army) ซึ่งเป็นข่าวดังมากในปี ที่แล้ว โดยอาจารย์พรพิมลได้ชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในมาตราในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2008 ที่จะนำมาใช้หลังการเลือกตั้งในปี 2010 มีการระบุไว้อย่าง ชัดเจนว่า กองทัพทหารในประเทศพม่าจะต้องมี“กองทัพเดียว” เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลพม่าจึงไม่อนุญาตให้มีกองทัพของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อยู่ในประเทศพม่า
โดยยุทธวิธีที่รัฐบาลพม่าเลือกจัดการกับกองกำลัง ชนกลุ่มน้อยต่างๆ คือ กองกำลังชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะต้องยอมเข้ามาสวามิภักดิ์ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพพม่าภายใต้ชื่อ Border Guard Force (BGF) เพื่อปูทางให้สอดคล้องกับการเมืองใหม่ของพม่าก่อนการเลือก ตั้งจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นหลังจากที่รัฐบาลพม่าเลือกเปิดศึกกับกองกำลังโกกั้งเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปคงจะหนีไม่พ้นกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ ที่มีท่าทีว่าจะไม่ยินยอมแปรสภาพตัวเองเป็น BGF ตอนนี้มีเพียงกองกำลัง กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (DKBA-Democratic KarenBuddhist Army) ที่ยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลพม่าอย่างไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่กองกำลัง ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มยังคงรอการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลพม่า เพราะไม่ต้องการเปิดสงครามกับกองทัพรัฐบาลพม่าเช่นเดียวกับกองกำลังโกกั้ง แต่ก็ไม่อยากยกเลิกกองกำลัง และยังคงต้องการสิทธิเสรีภาพการปกครอง ในอาณาเขตของตนเองต่อไป ซึ่งถ้าหากรัฐบาลพม่าไม่สามารถเจรจาตกลงกับกอง กำลังชนกลุ่มน้อยที่เหลือได้ก็ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สำคัญในอนาคตที เดียว
ทั้งนี้อาจารย์พรพิมลคาดการณ์ในอนาคตว่า หากมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมเข้าร่วมเป็น BGF และตัดสินใจเปิดศึกรบกับรัฐบาลพม่า โอกาสที่จะชนะนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะในขณะนี้กองทัพรัฐบาลพม่ามีความเข้มแข็งมาก ทั้งจำนวนกำลังพลที่มีสูงถึง 400,000 คน รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมาก ในขณะที่ทางรอดหรือหนทางการต่อสู้ของกองกำลังชนกลุ่มน้อย ทุกกลุ่มนั้นอยู่ที่การรวมตัวกันเป็นสหพันธ์ และมีการกำหนดยุทธศาสตร์ การต่อสู้ร่วมกัน ตลอดจนการพยายามเข้าไปมีพื้นที่บนเวทีการเมืองของพม่า ให้ได้ เพื่อที่จะสร้างรัฐหรือมีพื้นที่ที่สามารถอยู่ร่วมกับพม่าใน อนาคตได้ ซึ่งจุดอ่อนที่สำคัญของการเมืองพม่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ ทั้งรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มในประเทศต่างก็ไม่มีความไว้เนื้อ เชื่อใจซึ่งกันและกัน และไม่มีกลไกในการเจรจาเป็นระยะเวลายาวนานและยืด เยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
ทางด้านนักวิชาการรุ่นใหม่อย่างอาจารย์ดุลยภาค ปรีชารัชชชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันกองทัพทหารพม่าได้มีการพัฒนาให้มีความ เข้มแข็งขึ้นมาก เห็นได้ชัดจากกำลังพลที่ตอนนี้มีการประเมินกันว่ามีสูงถึง 4-5 แสน นายเลยทีเดียว ยังไม่นับรวมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่จำนวนมาก ดังนั้น กองทัพพม่าในขณะนี้จึงมีการพัฒนาจากกองทัพขนาดกลางที่มีความสามารถ ในการทำสงครามปราบกบฏตามแนวชายแดนไปสู่กองทัพที่มีขนาดใหญ่ และมีแสนยานุภาพในการทำสงครามป้องกันประเทศ
ในส่วนของยุทธศาสตร์ทางการทหารของพม่าที่สำคัญในปัจจุบัน อาจารย์ดุลยภาคมองว่ามีอยู่สองตัวหลักด้วยกันคือ การปรับเปลี่ยนเมืองหลวงหรือศูนย์บัญชาการรบจากย่างกุ้งไปที่เมืองเนปิดอว์ เพราะตำแหน่งที่ตั้งของย่างกุ้งที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำอิระวดีนั้น มีความเสี่ยงต่อการโจมตีจากกองกำลังต่างชาติได้อย่างง่ายดาย อีกส่วนหนึ่งคือยุทธศาสตร์ทางการรบของกองทัพทหารพม่าซึ่งจะให้ความสำคัญ กับสงคราม 3 รูปแบบด้วยกัน คือ “สงครามตามแบบ” (Conventional warfare) ซึ่งหากมีข้าศึกรุกเข้ามาในพม่าเมื่อไหร่ กองทัพพม่าจะรวบรวมกำลังพลทั้งทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ เพื่อขับไล่ข้าศึกในทันที แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ สงครามรูปแบบนี้ประสบความล้มเหลว กองทัพพม่าก็จะงัดยุทธวิธี “สงครามกองโจร” (Guerrilla Warfare) ขึ้นมาใช้ และเพิ่มพื้นที่ตั้งรับ เพื่อยืดระยะเวลาให้ข้าศึกเกิดการอ่อนล้า และสุดท้ายคือ “สงครามประชาชน” (people warfare) โดยการจัดตั้งกองอาสาหรือกองกำลังต่างๆ ของประชาชนขึ้นมาป้องกันประเทศ
ทว่าสงครามรูปแบบสุดท้ายนี้อาจเป็น อันตรายต่อกองทัพพม่าอันเนื่องมาจากการกดขี่ประชาชนมาอย่างยาวนานของ รัฐบาลพม่าอาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ และลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกับกองทัพพม่าเสียเอง สำหรับเรื่องราวของเครือข่ายอุโมงค์ลับที่สลับซับซ้อน ซึ่งประชาคมโลกต่างก็กำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ อาจารย์ดุลยภาคได้ฉายภาพให้เห็นถึงที่ตั้งและขอบข่ายว่า มีพื้นที่ครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์เมืองต่างๆ ในประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นย่างกุ้ง ตองอู มิถิลา มัณฑะเลย์ ไล่ขึ้นไปจนถึงมิตจีนา และทางด้านตะวันตกที่ติดกับบังกลาเทศ รวมไปถึงพื้นที่ในรัฐฉานซึ่งมีกอง กำลังชนกลุ่มน้อยอยู่จำนวนมากด้วย
ทั้งนี้ อุโมงค์ที่มีความสลับซับซ้อน ที่สุดมีอยู่ 4 แห่งด้วยกัน ตั้งอยู่ที่เมืองเนปิดอว์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลัก อาจารย์ดุลยภาคได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุการสร้างเครือข่าย อุโมงค์ลับของรัฐบาลพม่าต่อว่ามีสองเหตุผลด้วยกัน ประการแรกคือ เพื่อควบ คุมรัฐต่างๆ ในประเทศพม่า เพราะหากเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตามแต่ที่ส่งผล กระทบต่อประเทศ รัฐบาลพม่าจะสามารถควบคุมและจัดการสถานการณ์ความวุ่น ว่ายเหล่านั้นได้หมด เช่นการปราบปรามกองกำลังชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ประการที่สองคือ การขุดอุโมงค์นี้เป็นส่วนหนึ่งในยุทธวิธีสงครามกองโจร ซึ่งจะทำการรบกันใต้ดิน และหลบซุ่มกันในป่าเขา เช่นเดียวกับสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนามในอดีต
ในขณะเดียวกันเรื่องของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่ประชาคม โลกต่างก็คอยจับตาดูถึงความไม่ชอบมาพากลของบรรดาเหล่าผู้นำทหารพม่า ซึ่งในระยะหลังเริ่มเข้าไปมีสัมพันธภาพอันแนบแน่นกับเกาหลีเหนือและรัส เซีย จนหลายคนพากันตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลพม่าอาจกำลังพยายามสะสมอาวุธ นิวเคลียร์อยู่ก็เป็นได้ เพื่อป้องกันการรุกราน หรือป้องกันการแทรกแซงทางการเมืองภายในจากประชาคมโลกที่กดดันพม่าอยู่ในขณะนี้ โดยใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเครื่องมือในการต่อรองอำนาจระหว่าง ประเทศ ทั้งนี้อาจารย์ดุลยภาคชี้แจงว่า ในประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถตอบอย่างฟันธงได้ว่าพม่ามีอาวุธ นิวเคลียร์ไว้ในครอบครองจริงหรือไม่ แต่อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ดังนั้นถ้าหากว่าในอนาคตพม่ามีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองขึ้นมาจริงๆ จะทำให้เกิดความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างไทย และประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน
การก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ในปี 2010 นี้ สถานการณ์ในพม่าจะมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และรัฐบาลพม่าจะเลือกใช้ยุทธวิธีไหนในการรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับประเทศพม่ามากน้อยแค่ไหน เราคงต้องคอยดูกันต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการระบุไว้อย่าง ชัดเจนว่า“ทหารต้องมีบทนำทางการเมือง” โดยกลไกทางด้านเศรษฐกิจนั้นรัฐบาล จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของประชาชน ในขณะที่รัฐบาลก็ยังคงดูแลในส่วนของ ทรัพยากรในประเทศต่อไป ส่วนทางด้านการเมืองนั้น อาจารย์ วิรัชได้กล่าวต่อว่า เมื่อทหารต้องนำการเมือง ดังนั้นก็แน่นอนว่า SLORC (State Law and Order Restoration Council) และ SPDC (The State Peace and Development Council) ก็ยังคงไม่ได้หายไปไหนจากเวทีการเมืองของพม่า แต่กองทัพจะเปลี่ยนโฉมหน้าของตัวเองเป็น NDSC (National Defense Security Council) หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า คณะรักษาความมั่นคง คอยทำหน้าที่ควบคุมประเทศในภาวะฉุกเฉิน คล้ายกับเป็นสภาเงาทำหน้าที่ อยู่เบื้องหลังนั่นเอง ในขณะที่สภาที่แท้จริงนั้นจะเป็นไปในรูปแบบของ “สภาสหภาพ” ซึ่งมีทั้งหมด 664 ที่นั่ง มีวาระการทำงาน ทั้งหมด 5 ปี ประกอบไปด้วยสองสภาด้วยกัน คือสภาประชาชน และสภาชนชาติ
ทั้งนี้อาจารย์วิรัชได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาประชาชนนั้นจะมี ทั้งหมด 440 ที่นั่ง แต่จะมีเพียง 330 ที่นั่งเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้งในทุกอำเภอของประเทศพม่า ส่วนที่เหลืออีก 110 ที่นั่งนั้นจะมาจากทหาร ในกองทัพและไม่มีการปลดตำแหน่ง เช่นเดียวกันกับสภาชนชาติที่มี ที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง ประกอบด้วยตัวแทนจากรัฐต่างๆ ในประเทศพม่า 168 ที่นั่ง และอีก 56 ที่นั่งนั้นมาจากทหารในกองทัพ ส่วนการจะมี ฝ่ายค้านหรือไม่นั้น อาจารย์วิรัชทิ้งท้ายไว้ว่า อาจจะต้องมีการพัฒนากัน ต่อไป แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าที่นั่งของสมาชิกทหารในสภาสหภาพนี้มีจำนวน 166 ที่นั่งด้วยกัน และไม่มีการปลดออกจากตำแหน่งในส่วนของระบบการปกครองอำนาจทั้งหมดนั้นจะมาจากประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผู้นำคณะรัฐบาลโดยตรง และไม่ว่าประธานาธิบดีจะ ตัดสินใจทำอะไรก็ตามแต่ จะต้องผ่านการพูดคุยปรึกษาหารือร่วมกันกับ NDSC อยู่ตลอด และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยคือ “อุดมการณ์ชาติ” ที่นักการเมืองทุกคนไม่ว่าจะมาจากพรรคใดก็ตามจะต้องยึดมั่นเหมือนกันหมด อันได้แก่
ประการแรก สหภาพพม่าต้องไม่แตกแยก
ประการที่สอง คือจะต้องปรองดองกันในชาติ หรืออย่าสร้างความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น รวมไปถึงกองทัพกับประชาชน
ประการสุดท้าย คืออธิปไตยต้องมั่นคง ทั้งนี้อาจารย์วิรัชมองว่ารัฐธรรมนูญของพม่าฉบับนี้พยายามจะโอนถ่าย อำนาจไปสู่ประชาชนแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่อย่างไรก็ดี การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังคงเป็นไปตามกติกาที่กองทัพทหารพม่ากำหนด อยู่ดี ด้านอาจารย์พรพิมล ตรีโชติ ได้หยิบยกสถานการณ์ปัญหาในพม่า ระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลทหารพม่าขึ้นมาพูดคุยให้ผู้เข้า ร่วมการเสวนาได้เห็นภาพกัน โดยเฉพาะเรื่องราวที่รัฐบาลทหาร พม่าได้ส่งกองกำลังบุกเข้ายึดเขตปกครองพิเศษกองกำลังหยุดยิงโกกั้ง MNDAA (Myanmar National Democratic Alliance Army) ซึ่งเป็นข่าวดังมากในปี ที่แล้ว โดยอาจารย์พรพิมลได้ชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในมาตราในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2008 ที่จะนำมาใช้หลังการเลือกตั้งในปี 2010 มีการระบุไว้อย่าง ชัดเจนว่า กองทัพทหารในประเทศพม่าจะต้องมี“กองทัพเดียว” เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลพม่าจึงไม่อนุญาตให้มีกองทัพของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อยู่ในประเทศพม่า
โดยยุทธวิธีที่รัฐบาลพม่าเลือกจัดการกับกองกำลัง ชนกลุ่มน้อยต่างๆ คือ กองกำลังชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะต้องยอมเข้ามาสวามิภักดิ์ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพพม่าภายใต้ชื่อ Border Guard Force (BGF) เพื่อปูทางให้สอดคล้องกับการเมืองใหม่ของพม่าก่อนการเลือก ตั้งจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นหลังจากที่รัฐบาลพม่าเลือกเปิดศึกกับกองกำลังโกกั้งเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปคงจะหนีไม่พ้นกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ ที่มีท่าทีว่าจะไม่ยินยอมแปรสภาพตัวเองเป็น BGF ตอนนี้มีเพียงกองกำลัง กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (DKBA-Democratic KarenBuddhist Army) ที่ยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลพม่าอย่างไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่กองกำลัง ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มยังคงรอการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลพม่า เพราะไม่ต้องการเปิดสงครามกับกองทัพรัฐบาลพม่าเช่นเดียวกับกองกำลังโกกั้ง แต่ก็ไม่อยากยกเลิกกองกำลัง และยังคงต้องการสิทธิเสรีภาพการปกครอง ในอาณาเขตของตนเองต่อไป ซึ่งถ้าหากรัฐบาลพม่าไม่สามารถเจรจาตกลงกับกอง กำลังชนกลุ่มน้อยที่เหลือได้ก็ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สำคัญในอนาคตที เดียว
ทั้งนี้อาจารย์พรพิมลคาดการณ์ในอนาคตว่า หากมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมเข้าร่วมเป็น BGF และตัดสินใจเปิดศึกรบกับรัฐบาลพม่า โอกาสที่จะชนะนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะในขณะนี้กองทัพรัฐบาลพม่ามีความเข้มแข็งมาก ทั้งจำนวนกำลังพลที่มีสูงถึง 400,000 คน รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมาก ในขณะที่ทางรอดหรือหนทางการต่อสู้ของกองกำลังชนกลุ่มน้อย ทุกกลุ่มนั้นอยู่ที่การรวมตัวกันเป็นสหพันธ์ และมีการกำหนดยุทธศาสตร์ การต่อสู้ร่วมกัน ตลอดจนการพยายามเข้าไปมีพื้นที่บนเวทีการเมืองของพม่า ให้ได้ เพื่อที่จะสร้างรัฐหรือมีพื้นที่ที่สามารถอยู่ร่วมกับพม่าใน อนาคตได้ ซึ่งจุดอ่อนที่สำคัญของการเมืองพม่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ ทั้งรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มในประเทศต่างก็ไม่มีความไว้เนื้อ เชื่อใจซึ่งกันและกัน และไม่มีกลไกในการเจรจาเป็นระยะเวลายาวนานและยืด เยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
ทางด้านนักวิชาการรุ่นใหม่อย่างอาจารย์ดุลยภาค ปรีชารัชชชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันกองทัพทหารพม่าได้มีการพัฒนาให้มีความ เข้มแข็งขึ้นมาก เห็นได้ชัดจากกำลังพลที่ตอนนี้มีการประเมินกันว่ามีสูงถึง 4-5 แสน นายเลยทีเดียว ยังไม่นับรวมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่จำนวนมาก ดังนั้น กองทัพพม่าในขณะนี้จึงมีการพัฒนาจากกองทัพขนาดกลางที่มีความสามารถ ในการทำสงครามปราบกบฏตามแนวชายแดนไปสู่กองทัพที่มีขนาดใหญ่ และมีแสนยานุภาพในการทำสงครามป้องกันประเทศ
ในส่วนของยุทธศาสตร์ทางการทหารของพม่าที่สำคัญในปัจจุบัน อาจารย์ดุลยภาคมองว่ามีอยู่สองตัวหลักด้วยกันคือ การปรับเปลี่ยนเมืองหลวงหรือศูนย์บัญชาการรบจากย่างกุ้งไปที่เมืองเนปิดอว์ เพราะตำแหน่งที่ตั้งของย่างกุ้งที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำอิระวดีนั้น มีความเสี่ยงต่อการโจมตีจากกองกำลังต่างชาติได้อย่างง่ายดาย อีกส่วนหนึ่งคือยุทธศาสตร์ทางการรบของกองทัพทหารพม่าซึ่งจะให้ความสำคัญ กับสงคราม 3 รูปแบบด้วยกัน คือ “สงครามตามแบบ” (Conventional warfare) ซึ่งหากมีข้าศึกรุกเข้ามาในพม่าเมื่อไหร่ กองทัพพม่าจะรวบรวมกำลังพลทั้งทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ เพื่อขับไล่ข้าศึกในทันที แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ สงครามรูปแบบนี้ประสบความล้มเหลว กองทัพพม่าก็จะงัดยุทธวิธี “สงครามกองโจร” (Guerrilla Warfare) ขึ้นมาใช้ และเพิ่มพื้นที่ตั้งรับ เพื่อยืดระยะเวลาให้ข้าศึกเกิดการอ่อนล้า และสุดท้ายคือ “สงครามประชาชน” (people warfare) โดยการจัดตั้งกองอาสาหรือกองกำลังต่างๆ ของประชาชนขึ้นมาป้องกันประเทศ
ทว่าสงครามรูปแบบสุดท้ายนี้อาจเป็น อันตรายต่อกองทัพพม่าอันเนื่องมาจากการกดขี่ประชาชนมาอย่างยาวนานของ รัฐบาลพม่าอาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ และลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกับกองทัพพม่าเสียเอง สำหรับเรื่องราวของเครือข่ายอุโมงค์ลับที่สลับซับซ้อน ซึ่งประชาคมโลกต่างก็กำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ อาจารย์ดุลยภาคได้ฉายภาพให้เห็นถึงที่ตั้งและขอบข่ายว่า มีพื้นที่ครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์เมืองต่างๆ ในประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นย่างกุ้ง ตองอู มิถิลา มัณฑะเลย์ ไล่ขึ้นไปจนถึงมิตจีนา และทางด้านตะวันตกที่ติดกับบังกลาเทศ รวมไปถึงพื้นที่ในรัฐฉานซึ่งมีกอง กำลังชนกลุ่มน้อยอยู่จำนวนมากด้วย
ทั้งนี้ อุโมงค์ที่มีความสลับซับซ้อน ที่สุดมีอยู่ 4 แห่งด้วยกัน ตั้งอยู่ที่เมืองเนปิดอว์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลัก อาจารย์ดุลยภาคได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุการสร้างเครือข่าย อุโมงค์ลับของรัฐบาลพม่าต่อว่ามีสองเหตุผลด้วยกัน ประการแรกคือ เพื่อควบ คุมรัฐต่างๆ ในประเทศพม่า เพราะหากเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตามแต่ที่ส่งผล กระทบต่อประเทศ รัฐบาลพม่าจะสามารถควบคุมและจัดการสถานการณ์ความวุ่น ว่ายเหล่านั้นได้หมด เช่นการปราบปรามกองกำลังชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ประการที่สองคือ การขุดอุโมงค์นี้เป็นส่วนหนึ่งในยุทธวิธีสงครามกองโจร ซึ่งจะทำการรบกันใต้ดิน และหลบซุ่มกันในป่าเขา เช่นเดียวกับสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนามในอดีต
ในขณะเดียวกันเรื่องของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่ประชาคม โลกต่างก็คอยจับตาดูถึงความไม่ชอบมาพากลของบรรดาเหล่าผู้นำทหารพม่า ซึ่งในระยะหลังเริ่มเข้าไปมีสัมพันธภาพอันแนบแน่นกับเกาหลีเหนือและรัส เซีย จนหลายคนพากันตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลพม่าอาจกำลังพยายามสะสมอาวุธ นิวเคลียร์อยู่ก็เป็นได้ เพื่อป้องกันการรุกราน หรือป้องกันการแทรกแซงทางการเมืองภายในจากประชาคมโลกที่กดดันพม่าอยู่ในขณะนี้ โดยใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเครื่องมือในการต่อรองอำนาจระหว่าง ประเทศ ทั้งนี้อาจารย์ดุลยภาคชี้แจงว่า ในประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถตอบอย่างฟันธงได้ว่าพม่ามีอาวุธ นิวเคลียร์ไว้ในครอบครองจริงหรือไม่ แต่อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ดังนั้นถ้าหากว่าในอนาคตพม่ามีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองขึ้นมาจริงๆ จะทำให้เกิดความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างไทย และประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน
การก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ในปี 2010 นี้ สถานการณ์ในพม่าจะมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และรัฐบาลพม่าจะเลือกใช้ยุทธวิธีไหนในการรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับประเทศพม่ามากน้อยแค่ไหน เราคงต้องคอยดูกันต่อไป