ขณะที่สถานการณ์โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน กองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่าต่างทยอยเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลกลางไปทีละกลุ่ม แต่กองทัพไทใหญ่(รัฐฉาน) หรือ เอสเอสเอ (Shan State Army - SSA) กลับยังคงมุ่งมั่นต่อสู้กับรัฐบาลพม่าอยู่บนเส้นทางเดิมมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ คำถามที่เกิดขึ้นคือ เพราะเหตุใดกองกำลังไทใหญ่จึงยังคงยืนหยัดอยู่บนเส้นทางเดิมราวกับไม่สนใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สาละวินโพสต์ได้มีโอกาสถามคำถามนี้จากเจ้ายอดศึก ผู้นำกองทัพเอสเอสเอ นักรบวัย 50 ปีผู้ผ่านสนามรบมาไม่น้อยกว่าร้อยครั้งและก้าวขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังเอสเอสเอนับจากขุนส่าประกาศวางอาวุธปีพ.ศ. 2539 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวไทใหญ่ทำสงครามกับรัฐบาลพม่ามา 40 กว่าปีแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่มีวี่แววประสบความสำเร็จเลย อยากถามว่าชาวไทใหญ่รบไปเพื่ออะไร
เราต่อสู้เพราะว่าเรามีชาติ บ้านเมือง แผ่นดินของเรา ถ้าเรายังไม่ได้ประเทศคืน เราจะต่อสู้จนกว่าจะถึงเป้าหมายของเรา หรือจนกว่าชีวิตจะหาไม่
แต่ว่าในช่วงหลัง นโยบายของรัฐบาลไทยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้ใช้ไทใหญ่เป็นรัฐกันชนเหมือนเดิม ไทใหญ่ก็ถูกบีบไปเรื่อย ๆ อะไรทำให้ไทใหญ่คิดจะต่อสู้ต่อไป ต่อสู้เพื่อให้มีอำนาจทางการเมืองหรือต่อสู้เพื่อให้โลกได้รู้ว่ามีเชื้อชาติไทใหญ่หรือเพื่ออะไร
เราต่อสู้เพื่อประเทศของเรา ไม่ใช่รัฐกันชนของไทย เรามีจุดมุ่งหมายของเรา เมืองไทยเห็นด้วยหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับไทย การต่อสู้ของเราต้องการให้คนไทใหญ่เห็นด้วยเท่านั้น
จนถึงปัจจุบัน ปัญหาเรื่องพม่ากับชนกลุ่มน้อยไม่ใช่ปัญหาระหว่างพม่ากับไทใหญ่ กะเหรี่ยง คะฉิ่นอีกแล้ว แต่เป็นปัญหาที่อเมริกาและจีน สองขั้วมหาอำนาจเข้ามา ไทใหญ่ได้ปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้บ้างไหม เพราะปัญหาได้ย้ายจากพื้นที่เล็ก ๆ กลายเป็นปัญหาของโลกไปแล้ว
ปัญหาในสหภาพพม่าไม่ใช่ปัญหาระหว่างเมืองต่อเมือง แต่เป็นปัญหาระหว่างประเทศพม่ากับประเทศไทใหญ่ เพราะหลังจากปี พ.ศ. 2505 เนวินเข้ามายึดประเทศไทใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาปัญหาก็สลับซับซ้อนมาโดยตลอด ถ้าไม่มีไทใหญ่ก็ไม่มีสหภาพพม่าในวันนี้ เพราะฉะนั้นปัญหานี้ก็ลุกลามไปถึงสมาชิกอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศ สัญญาปางโหลง(เป็นสัญญาที่ผู้นำไทใหญ่ร่วมลงนามกับผู้นำพม่าเพื่อขอเอกราชจากอังกฤษ) รัฐบาลอังกฤษเป็นพยานได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นปัญหาระหว่างไทใหญ่กับพม่า ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขเจรจากันได้ก็ต้องลุกลามไปถึงสหประชาชาติซึ่งทำหน้าที่แก้ไขปัญหาระหว่างประเทศโดยตรงให้เข้ามาช่วยแก้ไข
ตอนนี้ดูเหมือนคนภายนอกจะลืมไปแล้วเรื่องสัญญาปางโหลง แล้วก็หันมาให้ความสำคัญกับรัฐบาลพม่ามากกว่า เจ้าจะทำยังไงให้คนภายนอกรู้จักสัญญาปางโหลง
สัญญาปางโหลงไม่ได้ถูกลืม ตอนนี้ก็ยังเก็บรักษาไว้ที่ประเทศอังกฤษ
แต่สัญญาฉบับนี้ก็ไม่ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงในเวทีระหว่างประเทศเลยไม่ใช่หรือ
ผมคิดว่าคนที่ควรรู้จักสัญญาฉบับนี้ก่อนคือประชาชนไทใหญ่ เราต้องยืนด้วยลำแข้งของเราก่อนเพราะการต่อสู้จะบรรลุผลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากประชาชนของเราเป็นสำคัญ
ถ้ามีคนบอกว่าขอให้ไทใหญ่ลืมเรื่องสัญญาปางโหลง แล้วเริ่มต้นตกลงกันใหม่ เจ้าจะตอบอย่างไร
ขนาดคนไทยยังไม่ลืมสงครามเสียกรุงเมื่อ 200 ปีก่อน แล้วจะให้คนไทใหญ่ลืมสัญญาปางโหลงที่เพิ่งผ่านไปแค่ 50 กว่าปีได้อย่างไร
ขณะนี้ปัญหาพม่ามีสหประชาชาติหรืออาเซียนได้เข้ามาแก้ไข รวมทั้งอเมริกากับจีนก็พยายามเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ตรงนี้เช่นกัน ไทใหญ่จะต่อสู้ด้วยวิธีการยังไงในสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป
ผมคิดว่า การที่ประชาคมโลกจับตามองปัญหาพม่าจะเป็นผลดีกับไทใหญ่ เพราะที่ผ่านมาเรารบกันทุกวัน แต่พม่าปิดกั้นข้อมูลข่าวสารมาตลอด โลกก็ไม่ได้สนใจเรา ถ้าต่างประเทศหันมาสนใจปัญหาของเรา สิ่งที่เราต่อสู้มาก็จะได้รับการเปิดเผย
แผนการการต่อสู้ของไทใหญ่เป็นอย่างไร
การต่อสู้ของเรามีนโยบายที่เขียนเอาไว้ เพื่อชาติ บ้านเมือง ประชาชน เราต้องการให้บ้านเมืองเราได้เอกราช เรามีเพื่อนจากหลายเผ่าพันธุ์ คือ คะฉิ่น กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงแดง ชิน อาระกัน มอญ รวมกับไทใหญ่เป็น 7 รัฐ มีนโยบายไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือเป็นสหภาพร่วมกันต่อสู้
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การจับมือระหว่างชนกลุ่มน้อยด้วยกันยังไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะอะไร
เปรียบได้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน ตอนเรียนชั้นเล็ก ๆ ก็ยังไม่มีความรู้มากนัก พอเรียนชั้นสูงขึ้นก็มีความรู้มากขึ้น ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่เคยร่วมกันหรือไม่ร่วมก็ดี มันเป็นประสบการณ์ที่บอกให้เรามองเห็นภาพว่าเราผิดเราถูกตรงไหน การต่อสู้ ใคร ๆ ก็มองว่า ถ้าเราไม่มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การไปถึงเป้าหมายก็ลำบาก ตอนนี้หลายคนก็รู้แล้วว่าควรจะทำยังไง
แล้วที่ผ่านมาได้สรุปปัญหาหรือไม่ว่าเพราะอะไรทำให้ไม่สามัคคีกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากการมองคนละมุม อธิบายได้สาม ประเด็น ประเด็นแรก เป็นเพราะเป้าหมายต่างกัน ประเด็นที่สอง ความคิดแตกต่างกัน ในช่วงคอมมิวนิสต์ยังรุ่งเรือง ใครที่ไปคบกับคอมมิวนิสต์ก็จะมีความคิดแตกต่างกัน ประเด็นที่สาม แนวทางต่อสู้ต่างกัน พวกที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มที่มีแนวคิดประชาธิปไตยก็จะมีแนวการต่อสู้ไปทางนั้น ทำให้ต่างคนต่างมองคนละมุม แต่ตอนนี้เราจะเห็นแล้วว่าการเห็นด้วยกับค่ายคอมมิวนิสต์ ก็ไปไม่ได้ ค่ายประชาธิปไตยก็ยังไม่สมควร เราเห็นแล้วว่าเราควรจะเห็น ด้วยกับแนวคิดที่มีจุดยืนบนลำแข้งของประชาชนของเราเอง
ทางด้านการเมืองในพม่า หลังจากขิ่นยุ้นต์ถูกปลดออกไป กลุ่มผู้มีอำนาจใหม่มีแนวโน้มจะแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงมากขึ้น ทางไทใหญ่มีการเตรียมการยังไงบ้าง
ผู้นำพม่าไม่ว่าใครจะขึ้นจะลง สำหรับคนไทใหญ่แล้วคิดว่าไม่แตกต่างกัน เพราะพม่าก็คือพม่า ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
อยู่หรือไป เราก็ต้องมีการต่อสู้ระหว่างไทใหญ่กับพม่าเหมือนเดิม
การต่อสู้ 40 ปีที่ผ่านมา วิธีการของเราเปลี่ยนไปบ้างไหม แล้ววิธีการของพม่าเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า
กลยุทธ์ของพม่าไม่เปลี่ยน แต่เราเปลี่ยน คือ ที่ผ่านมา พม่าใช้กำลังทหารควบคุมประเทศมาโดยตลอด ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็เฉพาะภายในกลุ่มทหารของเขาเท่านั้น คนหนึ่งขึ้น คนหนึ่งลง แต่กลยุทธ์การต่อสู้เหมือนเดิม มีการแย่งชิงอำนาจกันภายในแล้วป้ายความผิดใส่ร้ายกันอย่างที่เราเห็น ด้านการปกครองไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แต่คนภายนอกมองว่า กลยุทธ์ของพม่าเปลี่ยนไปจับมือกับโลกภายนอกมากขึ้น ขณะที่ชนกลุ่มน้อยยังจับปืนถืออาวุธเหมือนเดิม เจ้าคิดอย่างไร
พม่ายื่นมือไปหาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เป็นวิธีปกติที่รัฐบาลพม่าใช้มาตลอด แต่ถึงแม้เขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ แต่ถ้าข้างในไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ผมมองเห็นว่า ประชาคมระหว่างประเทศถือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นอันดับแรก ถ้าพม่าไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ทุกวันนี้ เราเป็นคนจับอาวุธก็จริง แต่เราก็มีการประสานงานกับต่างประเทศเหมือนกัน แต่เรายังไม่มีทูตอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
แล้ววิธีการของไทใหญ่เปลี่ยนแปลงยังไง
เมื่อก่อนเรามีความขัดแย้งกัน เดี๋ยวนี้เรามีการปรองดอง ไปมาหาสู่เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันมากขึ้น ถึงแม้เราไม่สามารถรวมกำลังให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แต่เสียงของเรา ประชามติของเรา เป้าหมายของเราคืออันเดียวกัน
หลายคนมองว่า สาเหตุที่ไทใหญ่กู้ชาติไม่สำเร็จเพราะว่าคนไทใหญ่แตกออกเป็นหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ เจ้าคิดอย่างไรกับความเห็นนี้ และเจ้าคิดว่าระหว่างปัญหาความแตกแยกภายในของคนไทใหญ่ด้วยกันกับปัญหาการคุกคามจากพม่า อันไหนเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่ากัน
เมื่อกี้ได้พูดไปแล้วครั้งหนึ่งว่าปัญหาความแตกแยกระหว่างคนไทใหญ่หรือชนกลุ่มน้อยที่ผ่านมา มาจากมุมมองที่มันแตกต่างกัน และจากบทเรียนที่ผ่านมา ทุกคนก็มองเห็นแล้วว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ผลลัพธ์จะเป็นยังไงต่อไป เพราะฉะนั้น นับจากนี้ไปเราจะต้องรวมกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อต่อสู้
แล้วปัญหาภายนอกกับปัญหาภายใน อันไหนใหญ่กว่ากัน
ปัญหาภายนอกใหญ่กว่า ปัญหาภายในนั้นถึงแม้ว่าเราจะมีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน เพราะเราก็เหมือนกับอยู่ครัวเรือนเดียวกัน ยังไงก็แล้วแต่ เราก็ต้องคบหาสู่กัน แต่ปัญหาภายนอก เรามองว่าเป็นปัญหาศัตรูคู่ต่อสู้กันมาแต่อดีต
เจ้าจะทำอย่างไรไม่ให้การสู้รบของคนไทใหญ่ถูกประชาคมโลกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
เราไม่เป็นห่วงว่าภาพพจน์ของเราจะกลายเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะเป้าหมายของเราแตกต่างจากพวกผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นสงครามศาสนา แต่พม่าก็เป็นพุทธ เราก็เป็นพุทธ เราไม่ได้รบกันเพราะเรื่องศาสนา แต่เราต้องการกู้ชาติ ถ้าต้องการถามว่าใครเป็นผู้ก่อการร้าย เราก็อยากถามว่า ตอนรัฐบาลพม่าสั่งฆ่านักศึกษาประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2531 เป็นพันคน ทำไมไม่มีใครพูดว่ารัฐบาลพม่าเป็นผู้ก่อการร้ายบ้าง
ช่วงที่ผ่านมา พม่าเริ่มเข้าไปจับมือกับอินเดีย ซึ่งอินเดียใกล้ชิดกับอเมริกาด้วย ขณะที่เมื่อก่อนพม่าติดต่อกับจีนอย่างเดียว เจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อกองทัพไทใหญ่หรือไม่
ผมคิดว่าเป็นนโยบายสร้างสรรค์ คิดว่ามันเป็นผลดีต่อเรา เพราะพม่ามีการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดีย อินเดียน่าจะมีคำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ เช่น การหันหน้าปรองดองกันระหว่างพม่ากับชนกลุ่มน้อย ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับไทใหญ่มากขึ้น
มีบางคนวิจารณ์ว่า ถ้านางอองซานซูจีขึ้นมามีอำนาจ ประเทศพม่าจะยุ่งเหยิงมากขึ้น เจ้าคิดว่ายังไง
ถ้านางซูจีขึ้นมาจะเป็นผลดีต่อชนกลุ่มน้อย เพราะสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ซูจีมีนโยบายที่ชัดเจนกับชนกลุ่มน้อยหรือไม่
เรื่องชัดเจนหรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่อย่างน้อยซูจีมีแนวคิดปกครองประเทศแบบประชาธิปไตย ถ้าตรงนี้ได้เริ่มต้น เราก็ค่อยแบ่งแยกเป็นประเด็นๆต่อไป เช่น ซูจีอาจปกครองแบบประชาธิปไตยหรือปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal state) ถ้าปกครองแบบสหพันธรัฐต้องไม่ใช่แบบทุกวันนี้ที่การปกครองไปรวมศูนย์อยู่กับพม่าเพียงกลุ่มเดียว
เจ้ากลัวหรือไม่ว่า ไทใหญ่จะพ่ายแพ้พม่าด้วยอาวุธที่ล้าสมัยกว่า
ความรักชาติไม่ได้สำคัญที่ใครมีอาวุธทันสมัยหรือมากกว่าใคร แต่สำคัญที่สุดคือกำลังใจและกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการต่อสู้
เจ้าคิดว่าเพราะอะไรทำให้คนไทใหญ่ยังมีกำลังใจในการรบเพื่อชาติ แม้ว่าจะถูกทหารพม่าทำร้ายทารุณอย่างหนัก
บ้านเรา เมืองเรา คนอื่นมาเอาไปเราต้องสู้ตาย ถ้าเป็นภาษาไทยก็เรียก “หมาจนตรอก” เมื่อถูกไล่จนติดกำแพงก็ต้องต่อสู้ให้ได้ ประชาชนของเราวันนี้ไม่มีทางเลือก ต้องมีความรักชาติ ผนึกกำลังกันต่อสู้ขับไล่ศัตรู ถ้าเรารู้ตัวว่าจะถูกพม่าฆ่าทิ้ง แล้วเรามีปืนมีมีด เราก็ต้องจับขึ้นมาต่อสู้
ตอนนี้มีคนไทใหญ่รุ่นใหม่จำนวนมากมาทำงานเมืองไทย แล้วก็หลงแสงสีเสียงอยู่ที่นี่ ไม่อยากกลับไปลำบากอยู่ที่รัฐฉาน เจ้าจะทำอย่างไรให้คนคิดกลับมากู้ชาติอีก
ผมคิดว่าเขาไม่ได้ลืม และถ้าเขามาทำงานเมืองไทย ก็เป็นเรื่องดี เพราะคนหนุ่มสาวเหล่านี้อยู่เมืองไทใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ แต่ถ้ามาเมืองไทย ได้มีโอกาสสัมผัสกับประเทศที่เจริญแล้ว หรือได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น เลือดรักชาติก็จะมีมากขึ้น
แต่คนเราก็ต้องคิดถึงปากท้องก่อน ถ้ามากู้ชาติแต่ไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว จะแก้ปัญหาตรงนี้ยังไง
เรื่องนี้มันเป็นธรรมชาติของคนที่ต้องทำเพื่อปากท้อง แต่คนไทใหญ่จากรัฐฉานที่มาอยู่เมืองไทยไม่ใช่หาเงินได้อย่างเดียว บางคนก็มาตายด้วยเหมือนกัน ถ้าเขาคิดว่า หากบ้านเมืองไทใหญ่สงบสุข เขาก็จะสามารถหาเงินได้มากกว่านี้ เขาก็จะมาช่วยทำงานกู้ชาติ การมาทำงานในกองทัพอาจพอกินแค่ประทังชีวิตในวันนี้ แต่เรามีเป้าหมายเพื่ออนาคตข้างหน้า เพื่อชาติของเรา มันย่อมดีกว่ามาอยู่บ้านเมืองของคนอื่น ผมคิดว่า คนไทใหญ่ที่อยู่ในเมืองไทยแล้วลืมบ้านเกิดเมืองนอนตนเองมีแค่บางส่วนเท่านั้น
ทุกวันนี้เอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงกองทัพ
ภาษีเพชรพลอย ไม้สัก รถ วัว ควาย ผ่านทางชายแดนเข้ามา เราก็ได้เยอะพอสมควร
ก่อนหน้านี้ว้าและพม่ายังไม่เข้ามาในพื้นที่นี้ ไทใหญ่ยังสามารถเก็บภาษีได้เต็มที่ แต่ตอนนี้มีหลายกลุ่มเข้ามาเฉลี่ยเงินภาษีนี้ไป ไทใหญ่มีปัญหาเรื่องการเงินไหม
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพม่าหรือว้า มันอยู่ที่ว่าคนค้าขายผ่านช่องทางไหน ถ้าผ่านทางเราก็ต้องเสียภาษีที่เรา ไม่ใช่แค่การค้าชายแดนที่เราควบคุมได้เท่านั้น ในเมืองไทใหญ่หลาย ๆ พื้นที่เราก็สามารถควบคุมได้ และต้องมาเสียภาษีกับเรา
การเก็บภาษีทำให้ชาวบ้านไทใหญ่ซึ่งเดือดร้อนอยู่แล้ว
เดือดร้อนมากขึ้นหรือเปล่า
เราเก็บแต่พวกพ่อค้า สำหรับชาวบ้าน เราไม่ได้เก็บภาษีเงิน แต่เรามีกฎกองทัพขอข้าวสารจากชาวบ้าน 1 ปี 6 ถังต่อหลังคาเรือน ถ้าบ้านไหนทำกินไม่พอก็ไม่เอา เรามีข้อมูลว่าใครทำธุรกิจ ใครทำไร่ทำนา ถ้าทหารไปรังแกชาวบ้าน มีรายงานขึ้นมาก็จะไปแก้ไข ประเทศไทยยังเก็บภาษีทุกอย่าง แต่เราไม่ได้เก็บทุกอย่าง
เมื่อประชาชนช่วยเหลือข้าวสาร แล้วกองทัพช่วยเหลืออะไรประชาชนบ้าง
ภารกิจของเราตอนนี้ก็คือภารกิจช่วยเหลือประชาชน ทหารในกองทัพก็เป็นลูกหลานประชาชนของเรา
ในรัฐฉานมีปัญหาเรื่องยาเสพติดเยอะมาก ที่เราทราบมา กองทัพไทใหญ่มีนโยบายในการปราบปรามยาเสพติด แต่พื้นที่มันกว้าง เจ้าจะควบคุมทหารไม่ให้หาประโยชน์จากการค้ายาหรือเก็บภาษีจากยาเสพติดได้อย่างไร
เราก็มีฝ่ายข่าวของเราหลายพื้นที่ ถ้าเรารู้ว่าทหารหรือเจ้าหน้าที่ของเรามีการคอรัปชั่น เราจะลงโทษอย่างรุนแรง ปัญหายาเสพติดในรัฐฉาน หน่วยงานดีอีเอ (DEA) ของสหรัฐฯ ได้เข้ามาทำงานปราบฝิ่นในพื้นที่นี้นานแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ยาเสพติดก็ยังไม่หมดไปจากรัฐฉาน
เพราะเหตุใด ยาเสพติดจึงยังไม่หมดไปจากรัฐฉาน
เพราะยาเสพติดไม่ใช่ปัญหาของคนไทใหญ่อย่างเดียว แต่เป็นปัญหาของโลก ที่ผ่านมาประชาคมโลกสนใจปัญหารัฐฉานแค่ผิวเผิน ยังไม่ได้แก้ที่รากเหง้า
แล้วรากเหง้าของปัญหายาเสพติดในรัฐฉานอยู่ที่ไหน
อยู่ที่คนไทใหญ่ในรัฐฉาน เพราะปัญหายาเสพติดในรัฐฉานมีมาหลายร้อยปีแล้ว ชาวบ้านถ้าไม่ได้ปลูกฝิ่นก็ไม่รู้จะทำ
มาหากินอะไร เราต้องแก้ไขที่ต้นตอปัญหา คือช่วยเหลือประชาชนให้มีอาชีพอื่นนอกจากการปลูกฝิ่น แต่ที่ผ่านมารัฐบาลพม่าไม่เคยแสวงหาทางช่วยเหลือประชาชนของเรา ประชาชนของเราอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ มาโดยตลอด ประชาชนจึงยังต้องปลูกฝิ่นยังชีพต่อไป
หลายคนหวาดกลัวกันว่า ถ้าหากต่อไปกองทัพไทใหญ่ถูกบีบคั้น มากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีเงินทุนมาทำงานในกองทัพ กองทัพไทใหญ่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษียาเสพติดหรือมีความเกี่ยวข้องในทางอื่นๆ เพราะในอดีตขุนส่าก็เคยมีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จนทำให้ประชาคมโลกก็ไม่ค่อยไว้วางใจ
กองทัพไทใหญ่ เจ้าจะตอบคำถามนี้ยังไง
หากเราดูตัวอย่างจากช่วงเวลาที่ผ่านมา หน่วยงานภายนอกหลายหน่วยงานมีนโยบายปราบยาเสพติดมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานดีอีเอของอเมริกา สหประชาชาติ หรือรัฐบาลไทยเองก็มีนโยบายปราบยาเสพติด แต่ถามว่าแก้ไขได้ไหม จนถึงเวลานี้ ยาเสพติดหมดไปหรือเปล่า เราต้องมองประเด็นตรงนั้น ขุนส่า โรชิงฮัน หลายคนมองว่าเป็นราชายาเสพติด แต่ตอนนี้ราชายาเสพติดหลายคนไปอยู่กับรัฐบาลพม่า แล้วคิดว่าจะต้องทำยังไง ประเด็นนี้เราได้พูดคุยเจรจาส่งข้อมูลไปยังประชาคมโลกหลายครั้งว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดจะต้องเข้ามาพูดคุยกับประชาชนของเรา มาศึกษาสถานการณ์ในประเทศของเรา เรายินดีต้อนรับที่จะให้ข้อมูลกับประชาคมระหว่างประเทศ ยินดีให้ความร่วมมือกับองค์กรที่ต้องการปราบปรามยาเสพติด ปัญหายาเสพติดทุกวันนี้ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยปราบทุกวัน ๆ ก็จริง แต่ต้นตอของยาเสพติดไม่ได้ออกมาจากประเทศไทย เช่น ฝิ่นดิบก็ออกมาจากรัฐฉาน แล้วรัฐฉานใครปกครอง พม่าก็ปกครองรัฐฉาน พม่ากับไทยร่วมกันปราบ แต่พม่าไม่สนใจร่วมมือกัน ถ้าประเทศไทยอยากให้ยาเสพติดหมดไปก็ต้องมาพูดกับคนไทใหญ่ เราแยกแยะประเด็นการเมืองกับการปราบยาเสพติด ก็ได้ ไทยไม่อยากเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองของไทใหญ่ แต่สามารถมาร่วมกันปราบยาเสพติดได้
การแก้ปัญหายาเสพติดในรัฐฉานควรเป็นอย่างไร
ผมพูดมาตลอด ปัญหายาเสพติดต้องแก้สี่ประเด็นหลัก หนึ่ง ต้องแก้ระบบการปกครองในสหภาพพม่า สอง ต้องหาอาชีพทดแทนการพึ่งพายาเสพติด สาม หาตลาดรองรับผลผลิตการเกษตรของชาวบ้าน สี่ ต้องอบรมให้ประชาชนมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านกฎหมายและการปกครอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาความต้องการของตลาดภายนอกด้วย ทางยุโรป อเมริกา ยังต้องการมาก ตราบใดที่ความต้องการของตลาดภายนอกยังมีอยู่ โอกาสที่ชาวบ้านจะเลิกปลูกมันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะพยายามให้ความรู้มาก แต่คนก็ต้องอยากได้เงินมากกว่า เพราะยาเสพติดทำเงินได้มาก
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องการค้าฝิ่นได้เงินมากไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะการทำธุรกิจอื่นก็สามารถร่ำรวยได้เหมือนกัน ถ้าประเทศไทใหญ่ มีอำนาจปกครองตนเอง เราจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้ประชาชนประกอบอาชีพอื่นที่มั่นคง โดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติดเพราะปลูกฝิ่น ได้เงินง่ายในระยะ เวลาอันสั้นก็จริง แต่มันก็เต็มไปด้วยความยุ่งยากตามมามากมาย
ที่มีข้อมูลออกมาทางสื่อมวลชนของไทยโดยตลอดว่า ว้าเป็นผู้ผลิตยาบ้าเอาเงินสร้างเมืองยอนนั้น เป็นความจริงแค่ไหน
จริง ๆ แล้วว้าถูกพ่อค้าจีนและทหารพม่าหลอกใช้มากกว่า ทหารพม่าเป็นคนสร้างภาพให้ว้าเป็นนักค้ายาเสพติด แต่ทหารพม่าเองก็มีส่วนได้รับผลประโยชน์เหล่านี้เหมือนกัน เพราะเวลาว้าได้เงินมาก็ต้องแบ่งให้พม่าด้วย แต่เวลาถูกประชาคมโลกวิจารณ์เรื่องยาเสพติด พม่ายกความผิดให้ว้าฝ่ายเดียว ส่วนเรื่องยาบ้า คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือพ่อค้าจีน เพราะยาบ้าต้องใช้สารเคมีในการผลิต และใช้ความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งคนว้าไม่เคยรู้จักมาก่อน เรื่องเงินที่ว้านำมาสร้างเมืองยอน จริง ๆ แล้วว้ามีธุรกิจหลายอย่าง ไม่ใช่เรื่องยาเสพติดอย่างเดียว สำหรับผมมองว่า จริง ๆ แล้ว ว้าเป็นคนซื่อและถูกพม่าหลอกใช้มาโดยตลอด
ตอนนี้ รัฐบาลพม่าก็นำเรื่องยาเสพติดมาอ้างขอความช่วยเหลือจากภายนอก กองกำลังไทใหญ่เองก็นำเรื่องยาเสพติดขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในการขอความช่วยเหลือจากภายนอกเช่นกัน แสดงว่าการมียาเสพติดในรัฐฉานก็เป็นประโยชน์ทั้งต่อพม่าและไทใหญ่ แล้วความจริงใจในการปราบยาเสพติด จะอยู่ตรงไหน
ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำลายประชาชนไทใหญ่ ประชาชนไทใหญ่ควรทำมาหากินอย่างอื่นโดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติด เหตุผลที่เราปราบยาเสพติด ไม่ใช่เพราะเราต้องการใช้ยาเสพติดเป็นเกมการเมือง แต่เพราะเรารักลูกหลานไทใหญ่ของเรามากกว่า ถ้าชาวโลกอยากรู้ว่า เราจริงใจปราบยาเสพติดหรือไม่ต้องมาดูกับตาตัวเองว่า ประชาชนของเราอยู่ลำบากอย่างไร แล้วทำไมเราต้องปราบยาเสพติดให้หมดไป ไม่ใช่ว่าเราต้องการขอความช่วยเหลือจากภายนอก แล้วเอายาเสพติดมาเป็นเกมการเมืองเหมือนกับที่พม่าทำ พม่าหลอกให้กองกำลังชนกลุ่มน้อยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด เพื่อจะบอกกับชาวโลกว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกรักชาติ แต่เป็นกลุ่มกบฏ แล้วเรียกร้องให้ประชาคมโลกมาสนับสนุนการปราบชนกลุ่มน้อยโดยใช้ข้ออ้างเรื่องยาเสพติด
คำว่า “กู้ชาติสำเร็จ” ของเจ้ามีความหมายว่าอะไร ต้องแยกประเทศออกมาเลยหรือไม่
ภารกิจทางกองทัพของเรามีสามประการ หนึ่ง เราต้องขับไล่กองทัพพม่าออกจากแผ่นดินไทใหญ่ ประการที่สอง เราต้องทำความเข้าใจหรือปลุกระดมให้ประชาชนของเราร่วมกันต่อสู้ และประการที่สาม ถ้าพม่าออกจากแผ่นดินเรา เราจะจัดตั้งรัฐบาลของไทใหญ่และเราจะมอบอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ถ้าเราสามารถทำให้ทั้ง 3 ประการลุล่วง เราก็ถือว่า ภารกิจของเราสำเร็จแล้ว
ตอนนี้มาถึงครึ่งทางหรือยัง
คิดว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเราถึงคิดว่าได้ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะเป็นแผนการที่เราวางเอาไว้หมดแล้ว
กู้ชาติที่เจ้าพูดถึง หมายถึงตั้งประเทศเลย ไม่ได้รวมกันเป็นสหภาพใช่ไหม
หมายถึงการตั้งประเทศไทใหญ่
ถ้าเฉพาะสิทธิเสรีภาพปกครองตนเอง แต่ไม่ได้ชื่อประเทศเป็นของไทใหญ่จะเอาไหม
ชื่อของประเทศไทใหญ่ควรเป็นของประชาชนไทใหญ่ นอกเหนือจากประชาชนของเราแล้วไม่ควรจะเป็นของใคร เพราะชื่อเสียงของประเทศเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยหลายพันปีก็ตาม.
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 20 (1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2548)
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 20 (1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2548)