สัมภาษณ์ : พลโทบีทู : KNPP กับการเลือกตั้งในพม่า


นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
ในกลุ่มติดอาวุธทั้ง 3 กลุ่มที่ยังสู้รบกับรัฐบาลพม่าอันได้แก่ กองทัพรัฐฉาน (Shan State Army -SSA) ,กลุ่มสหภาพชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU), และกองกำลังพรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเรนนี (Karenni National Progress Party-KNPP) ซึ่งเคลื่อนไหวต่อสู้อยู่ในรัฐกะยา

เราแทบจะไม่ได้ยินข่าวคราวจากกลุ่ม KNPP ปรากฏออกมามากนัก อีกทั้งรัฐกะยา นับเป็นรัฐที่มีพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศพม่า พรพิมล ตรีโชติ กล่าวไว้ในงานเขียน “ชนกลุ่มน้อยกับ รัฐบาลพม่า” ว่า รัฐกะยามีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร ส่วนผู้นำทางทหารของกะเรนนี ระบุว่า แผ่นดินของตนมีเนื้อที่ 4,555 ตารางไมล์ และประชาชนในรัฐหลักๆ แล้วประกอบด้วย ชนเผ่ากะเรนนี(กะยา-กะเหรี่ยงแดง), กะเหรี่ยงสะกอ(ปกากะญอ-กะเหรี่ยงขาว), ปะด่อง(กะเหรี่ยง คอยาว), กะยอ, ไทใหญ่, ปะโอ(ต่องสู่), ยินดาไล และชาวเขาเผ่าต่างๆ รัฐกะยาอยู่ติดกับ จ.แม่ฮ่องสอน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงและป่าไม้ ที่ราบมีน้อย แผ่นดินอุดมด้วยแร่ธาตุ นานาชนิดทั้ง ทองคำ ทองคำขาว เหล็ก ตะกั่ว พลอย ดีบุก วุลแฟรม และก๊าซธรรมชาติ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ระบุในงานเขียน “คนไทยในพม่า”ถึงสุภาษิตของชาวกะเรนนีบทหนึ่งมีว่า “เขียดร้อง ฝนจึงตก ฝนตกปลาจึงขึ้น ปลาขึ้นเพราะน้ำมาก น้ำมากช้างจึงลากซุง ซุงจึงตกสู่แม่น้ำ ซุงตกถึงแม่น้ำจึงบริบูรณ์” และบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ได้อธิบายว่า สุภาษิตบทนี้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของรัฐกะยาขึ้นอยู่กับการทำป่าไม้ ซึ่งนอกจากจะเป็นไม้สักแล้ว ยังมีไม้สน ไม้ยาง ไม้ตะเคียน ไม้ประดู่ ฯลฯ แต่ในบัดนี้ผู้นำกะเรนนีกล่าวว่า พม่าทำลายป่าสัก ตัดไม้ซุงในรัฐกะยา ไปขายจนทรัพยากรไม้สักเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว

ในอดีตรัฐกะยาเคยเป็นรัฐอิสระปกครองตัวเอง ไม่เคยอยู่ใต้รัฐบาลพม่า หลังจากพม่าได้เอกราชจากอังกฤษในปีพ.ศ.2491 รัฐกะยา ถูกรวมเข้าในสหภาพพม่าโดยปริยาย และกองทัพกู้ชาติกะเรนนีก็ก่อตั้งขึ้นทันทีในเดือนสิงหาคมของปีนั้นในชื่อ กองทัพแห่งชาติกะเรนนี (Karenni National Army-KNA) ครั้นปี พ.ศ.2510 กองกำลัง KNA ได้ทำการปรับปรุงองค์กร เปลี่ยนชื่อเป็น Karenni National Progress Party-KNPP ทำการต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าที่ยึดครองแผ่นดินและปล้นชิง ฆ่าฟัน ทารุณประชาชนกะเรนนีตลอดมา

ผู้นำสูงสุดและผู้นำทหาร KNPP แทบไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนใดๆ ข่าวที่ออกมาบ้างจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสู้รบโจมตีทหารพม่าในรัฐกะยาเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ ของกองกำลัง KNPP ในสายตาชาวโลกดูค่อนข้างมัวหม่นราวอยู่หลังม่านหมอก ข่าวคราวของ KNPP เริ่มปรากฏมากขึ้นเมื่อสถานการณ์ในพม่ากำลังจะถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากรัฐบาลทหารพม่าเขียนรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยและประกาศจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 โดยยื่นข้อเสนอบีบบังคับให้กลุ่มหยุดยิงทุกกลุ่มแปรเปลี่ยนเป็น กองกำลังอาสาสมัครรักษาชายแดน (BGF-Border Guard Forces) ในเวลาที่กำหนด เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้กองกำลังชนกลุ่มน้อยทุกชาติพันธุ์มีการเคลื่อนไหวอย่างมากเพื่อรับมือกับรัฐบาลทหารพม่า และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานข้างหน้า ซึ่งทาง KNPP ก็กำลังดำเนินการเคลื่อนไหวอยู่หลายด้านในสถานการณ์นี้เช่นกัน

ขณะนี้ ประธานสูงสุดของ KNPP คือ แตบูแพ (Khu Hte Bu Peh) อายุ 70 ปี ซึ่งค่อนข้างเก็บตัว ส่วนผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลัง KNPP คือ พลโทบีทู ทำหน้าที่ดูแลทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจ พลโทบีทูเป็นคนกะเหรี่ยงขาวปกากะญอ นับถือศาสนาคริสต์ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2496 ในครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่หมู่บ้านโชโหลก ทาง ตะวันตกของเมืองมอชี รัฐกะยา ได้เรียนหนังสือจบชั้นมัธยมปลาย  มีความรู้ทั้งภาษากะเหรี่ยง ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ ภาษาไทใหญ่ และพูดภาษาไทยได้บ้าง เคยเข้าไปเรียนหนังสือที่มาเนอปลอว์ พื้นที่ของกะเหรี่ยง KNU และเริ่มมาเป็นทหารในปี พ.ศ.2514 เมื่ออายุประมาณ 18 ปีในสถานการณ์ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองพม่าขณะนี้ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่นายพลบีทูยินยอมเปิดเผยประวัติ และแสดงความคิดเห็นอย่างค่อนข้าง “ยาว” ที่สุดเท่าที่ได้เคยมีสื่อมวลชน หลายฝ่ายพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์นายพลผู้นี้มา แต่ก็โจษขานกันว่า เป็นเรื่องยากยิ่ง อีกทั้งข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับนายพลผู้นี้นับว่าปรากฏออกมาน้อยที่สุด มีเพียงคำกล่าวถึงจากทหารไทยและทหารไทใหญ่ตรงกันว่า นายพล บีทูเป็นนักรบที่แท้จริง เป็นคนซื่อตรง ชัดเจน พูดน้อย เด็ดขาด คำไหนคำนั้น แต่ก็ใจดีและมีเมตตายิ่งนักกับประชาชนของตน นายพลบีทูแทบไม่เคยให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ติดต่อถึงตัวได้ยากมากหากกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังบีบรัดเข้ามาทุกด้าน บัดนี้นายพล ยินดีที่จะตอบในหลายคำถาม ดังนี้

นายพลคิดว่าทาง SPDC จัดการเลือกตั้งครั้งนี้เพราะอะไรคะ 
ทาง SPDC คิดว่าเป็นทางออกให้หลายประเทศ(นานาชาติ) มอง เห็นชัดขึ้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในพม่าเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

แล้วทาง SPDC ต้องการให้ชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ แปรเปลี่ยนเป็น กองกำลังอาสาสมัครรักษาชายแดน BGF เพราะอะไรคะ 
มันอยู่ในแผนของพม่าที่จะจัดการกับชนกลุ่มน้อยทั้งหมดที่มีมาหลายสิบปีแล้ว พม่าวางเอาไว้เรียบร้อย รัฐบาลพม่ามีเป้าหมายหลัก คือ หนึ่งประเทศต้องมีหนึ่งกองทัพ หนึ่งผบ.ทบ. เขาก็ทำมาเป็นขั้น เป็นตอน ขั้นแรกก็ทำสัญญาหยุดยิง ต่อมาก็เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ จัดการเรื่องเศรษฐกิจให้ชนกลุ่มน้อยที่ยังถืออาวุธมีเงิน ถ้ามีเงินเมื่อใดทุกคนก็ไม่อยากจะสู้รบแล้วใช่ไหม พอขั้นสุดท้าย ทางชนกลุ่มน้อยก็ต้องมอบอาวุธต้องมอบตัวแค่นั้นเอง นี่ก็ขั้นสุดท้ายแล้วให้ชนกลุ่มน้อยปรับเป็น BGF สำหรับป้องกันชายแดน มันอยู่ใน ขั้นตอนในแผนของพม่าที่ต้องการทำอยู่แล้ว

ตอนนี้มีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยอมเปลี่ยนสภาพเป็น BGF ไปแล้ว นายพลคิดว่ากลุ่มเหล่านั้นเขาหวังอะไร หวังเงินหวังทองกันหรือ อย่างไร 
มีบ้างที่เขาคิดว่าจะยังพออยู่ต่อไปได้ ยังหาเงินหาทองได้ เขาถึง ยอมเปลี่ยนเป็น BGF แต่เอาเข้าจริงมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย อย่าง กลุ่ม KNPLF กะยาดาวแดง ทุกวันนี้ก็หมดสภาพไป จะหาเงินหาทอง ก็หาไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีวิธี เพราะเมื่อเป็น BGF ก็กลายเป็นกองทัพพม่า ไปเลย แล้วกฎหมายพม่า กองทัพพม่าก็คุมหมดทุกเรื่อง คุม Transport-ation ขยับทำอะไรไม่ได้เลย

ถึงปัจจุบันนี้ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหลักๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลพม่ามีอยู่ 3 กลุ่มคือ SSA(ไทใหญ่)  KNPP (กะเรนนี) และ KNLA (กะเหรี่ยงคริสต์) เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ที่พม่าเจรจาหยุดยิงกับเราแล้วทำไม่ได้ อย่าง ทางกะเรนนีนี่นะ เราใช้เวลาประมาณซัก 8 ปีเห็นจะได้ เจรจากับทางพม่า เพื่อยุติการสู้รบแล้วพัฒนาพื้นที่ เจรจากันอยู่ 8 ปี สำเร็จในพ.ศ.2538 พอตกลงกันเรียบร้อยหลังจากนั้นแค่ 3 เดือน พม่าก็ส่งกำลังเข้ามาสิบกองพันบุกโจมตี KNPP พม่าทำผิดสัญญาที่ตกลงไว้ ขั้นสุดท้ายเราส่งตัวแทนไปคุยที่ย่างกุ้ง พันเอกจ่อวินสมัยนั้นเป็นลูกน้องพลเอกขิ่นยุ้นต์ เป็นมือขวาของขิ่นยุ้นต์ เขาบอกว่าที่หยุดยิงไม่มีการตกลงอะไรทั้งสิ้น เมื่อเข้ามาอยู่ใต้กฎหมายพม่าใต้การปกครองของพม่า ต้องทำตามที่พม่า ต้องการทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราถึงต้องต่อสู้กับพม่ามาจนถึงทุกวันนี้

ถึงตอนนี้หากกองกำลัง KNPP ไม่เปลี่ยนเป็น BGF นายพลคิดว่าพม่า จะเปิดสงครามกับ KNPP ด้วยไหม 
ก็แล้วแต่กำลังและโอกาสของพม่า มีกำลังก็เชิญมาเลย เราพร้อมอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้พอกองกำลังชนกลุ่มน้อยถูกบีบให้เป็น BGF ก็ไม่ใช่แค่ทางเรา ทาง SSA-ไทใหญ่ หรือ KNU-กะเหรี่ยงคริสต์ เท่านั้นที่ไม่ยอม ทางมอญ กะฉิ่น เขาก็ไม่ยอม และพร้อมต่อสู้อยู่ด้วย เหมือนกัน

ดูเหมือนว่า ขณะนี้ทาง SPDC จะละเว้นไม่ทำสงครามกับบางกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างทาง UWSA - ว้าแดง ไม่เห็นพม่าจะเข้าไปทำสงครามด้วยเลย เป็นเพราะอะไร 
ในบรรดากองกำลังชนกลุ่มน้อยทั้งหมด ว้าเป็นกลุ่มที่มีกำลังมาก พอสมควร แล้วทางว้ากับกะฉิ่น เมืองลา SSA - เหนือ เขาก็จับมือกัน มีสัญญากันอยู่ ตอนที่ SPDC ยิงโกกั้งนั้นน่ะ ผมมองว่าทาง SPDC ทำเพื่อตัดเส้นทาง ตัดกำลังของว้ากับกะฉิ่น แต่ตอนนี้ว้ากับกะฉิ่นมีสัญญาทางทหารกันอยู่ ในทางส่วนตัวผมคิดว่า เมื่อบุกกะฉิ่นก็เหมือน บุกว้า เมื่อบุกว้าก็เหมือนบุกกะฉิ่น ว้ากับกะฉิ่นเขาจับมือกันสู้ ตอนนี้ชนกลุ่มน้อยทั้งหมดเขาก็มีความเข้าใจกันบ้างแล้ว รู้ตัวกันมากขึ้นแล้ว อย่างกะฉิ่น มอญ เขาประชุมกันว่า สิบกว่าปีของการหยุดยิง เขาได้อะไร ไหม ไม่ เขาไม่ได้อะไรมาเลย อย่างตอนร่างรัฐธรรมนูญ พม่ามีการให้ ชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ที่เข้าร่วมเสนอความคิดเห็น มีการรับทราบ แต่สุดท้ายจะพิจารณาใส่ลงในรัฐธรรมนูญด้วยไหม ไม่มี เป็นอย่างนี้มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้อาวุธนั่นแหละ

จุดยืนของ KNPP กับการเลือกตั้งครั้งนี้คืออะไร 
ผมเห็นว่าทางพม่าน่ะ อย่าเพิ่งมาคุยกับชนกลุ่มน้อยเรื่องการเลือกตั้งเลย ต้องคุยกันเรื่องรัฐธรรมนูญให้รู้เรื่องซะก่อน ต้องพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญก่อนว่า ที่เขียนออกมามีผลกับประชาชนพม่าอย่างไร ให้ประโยชน์กับประชาชนในพม่าแค่ไหน ต้องมาดูมาศึกษาตรงนี้ ก่อนจะพูดถึงการเลือกตั้ง เพราะในรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ มันเห็นชัดว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจมากกว่าสภาใช่ไหม อีกอย่าง ประธานาธิบดีต้อง เป็นคนที่เป็นผู้อาวุโส ชำนาญเรื่องการสู้รบ ที่นั่งในสภานี่ 25 เปอร์เซ็นต์ ต้องเป็นของทหาร นอกจากนั้นกระทรวงสำคัญๆ อย่างการคลัง กลาโหม ยุติธรรม เขาคุมหมด อำนาจอยู่ที่พม่าหมด การตัดสินใจ อยู่ที่รัฐบาลพม่าหมดแล้ว เป็นอย่างนี้เรื่องการเลือกตั้งก็ไม่ต้องไปพูดถึงอีกแล้ว นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมและทางกลุ่ม KNPP กับเรื่องการเลือกตั้ง เราเคยออกแถลงการณ์ชัดเจนไปแล้วว่าเราไม่เห็นชอบ เราไม่ตกลง ไม่เอาด้วย

มีความขัดแย้งของกลุ่มคนในรัฐกะยาไหมว่า บางส่วนอยากเข้าร่วม ในการเลือกตั้งครั้งนี้ 
ทางกลุ่ม KNPP ของเราไม่แตกแยกครับ ความคิดเห็นตรงกันหมด ส่วนกลุ่มกะยาดาวแดงที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งนั้น ทุกวันนี้ทำได้ไหม ก็ไม่ได้ ไม่อยากจะเป็น BGF ก็ไม่ได้นะ เขาไม่มีกำลัง

แต่เมื่อสักประมาณ 2-3 เดือนก่อน เห็นมีข่าวออกจากทางสำนักข่าว อิรวดีว่า ทาง “พ.ต.ทุนจ่อ” ซึ่งเป็นคน ของ KNPP อยากจะไปสมัคร เลือกตั้ง มันหมายความว่าอย่างไร 
ข่าวผิดครับ KNPP ไม่มีแตกแยก ทุนจ่อเป็นคนของกลุ่มดาวแดง KNPLF(Karenni National People’s Liberation Front) ที่เขาพยายามจะ เข้าร่วมการเลือกตั้งเพื่อจะเป็นรัฐมนตรีรัฐกะเรนนีใช่ไหม แต่เขาทำอะไรไป ก็ทำไม่ได้

ทาง KNPP กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนสภาพเป็น BGF นั้น สามารถประสานงานรวมกำลังกันได้แค่ไหน
ปัจจุบันเราประสานงานกันอยู่เกือบทุกกลุ่ม หลักๆ เป็นกะฉิ่น กับมอญ กับทาง SSA ของเจ้ายอดศึกล่ะคะ มีการประสานงานหรือรวมกำลัง ที่จะรับมือกับการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร จะรวมกำลังนี่ยังไม่มีครับ แต่เราทำงานด้วยกันทางทหารและการเมือง
ยกตัวอย่างบ้างได้ไหม ว่าทางทหารทำอะไรกันอยู่บ้าง หรือว่าเป็น ความลับเรื่องทหารก็คุยยากหน่อยนะ

ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แล้วทางการเมืองล่ะคะ
ด้านการเมือง เรากำลังพยายามประสานงานกันอยู่ ปีนี้ผมไปพบกันมาแล้ว 3 ครั้ง บางครั้งก็ไปเอง บางครั้งก็ให้ผู้ใหญ่ของเราไป เพราะยังไงเสียเราต้องจับมือกันแล้ว ถึงเวลาที่ชนกลุ่มน้อยทั้งหมดต้องสามัคคีกันแล้ว เราต้องหาทางออกด้วยกัน ก็พยายามประสานงาน กันอยู่
กับกะเหรี่ยงคริสต์ KNU ล่ะ ติดต่อกันบ้างไหม
กับ KNU ก็มีอยู่ครับ มีการร่วมกำลังกัน ที่ผ่านมาเราทำงานด้วยกัน เรามีกองกำลังผสมอยู่ ก็ตั้งกรรมการ EC - Exchange Committee ออกมา ฝ่ายทหารทำงานด้วยกัน

เห็นข่าวออกมา ค่ายต่างๆ ของ KNU ถูกตีแตกไปหลายแห่ง เขาอ่อนแอลงมากไหมไม่ได้อ่อนแอหรอกครับ ที่ผมดูๆ ทุกวันนี้ KNU ไม่ได้อ่อนแอเลย เขาแข็งแรงขึ้น ในพื้นที่ห่างจากชายแดนไทยเข้าไปเขาคุมได้หมด เขาอยู่ได้

เคยสัมภาษณ์เจ้ายอดศึกเรื่องนี้ เจ้าก็บอกว่า KNU ไม่อ่อนแอลงเลย  เขารักชาติ และกองกำลังเขายังเข้มแข็งอยู่มาก แต่เจ้าก็ไม่ได้อธิบาย ว่าทำไมถูกตีแตกไปแต่ยังเข้มแข็งอยู่
KNU ยังแข็งแรงมากครับ ต้องยอมรับว่าแข็งแรงมาก เพราะตอนนี้การสู้รบมันเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว สมัยก่อนการสู้รบจะใช้กำลัง เยอะ ลักษณะวิธีนี้สู้นานๆ ไม่ได้ แต่ตอนหลังใช้การรบแบบกองโจร ได้ผลเยอะ ค่าใช้จ่ายน้อยลงด้วย อีกอย่างหนึ่ง DKBA-กะเหรี่ยงพุทธ ทุกวันนี้มันแตกออกเป็นสองฝ่าย หม่องชิตตู(พันเอกชิตตู ผู้บัญชาการ กองพันที่ 999 เป็นผู้นำที่มีอิทธิพลใน DKBA) อยู่ฝ่ายหนึ่ง ทางหม่องชิตตู เนี่ยยังไงก็อยู่กับพม่า แต่ลูกน้องของหม่องชิตตูเขาไม่เอาด้วย เขาไปหา KNU ก็มี ไปหานาคามวยก็มี นาคามวยเป็น DKBA (นายพลนาคามวย ผู้บังคับบัญชากองพล 907 - DKBA) แต่ไม่ชอบจะเปลี่ยนเป็น BGF เขาจะแยกกองกำลังออกมา

ตอนนี้ DKBA จึงมี 3 กลุ่ม หม่องชิตตูที่ร่วมกับพม่ากลุ่มหนึ่ง นาคามวยที่เข้าใจกับ KNU แต่ยังไม่ได้ร่วมมือกับ KNU กลุ่มหนึ่ง และยัง มีกองกำลังของหม่องชิตตูที่ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อเป็น BGF ที่มาหา นาคามวยก็มี มาหา KNU ก็มี ลักษณะเป็นแบบนี้

เห็นมีข่าวออกมาว่า KNU ก็ยินดีที่จะรับฝ่าย DKBA ที่ไม่ร่วมกับพม่า คุณคิดว่านี่จะเป็นเงื่อนไขให้กะเหรี่ยงคริสต์-พุทธกลับมารวมกันได้ อีกไหม
ผมคิดแบบนั้นล่ะครับ มีโอกาสมาก

อย่างนั้นก็หมายความว่า แม้การเลือกตั้งของพม่าจะเป็นวิกฤติ แต่กลายเป็นโอกาสของชนกลุ่มน้อยที่จะรวมกันได้เข้มแข็งมากขึ้นด้วยไหม 
ใช่ครับ เพราะการเลือกตั้งทุกวันนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ กับส่วนรวม ชนกลุ่มน้อยก็รู้กันอยู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องหาทางออกไง

การที่กะเหรี่ยงพุทธ DKBA แตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ เลยนี่ คิดว่ามัน จะมีผลอย่างไรในอนาคตคะ 
ศัตรูมันจะชัดขึ้นไงครับ เพราะทุกวันนี้ DKBA ก็เป็นกะเหรี่ยง KNU ก็เป็นกะเหรี่ยง แต่ DKBA อยู่กับพม่ามาสู้รบกับ KNU ถึงทุกวันนี้ DKBA บางส่วนรู้ว่าเราเป็นกะเหรี่ยงด้วยกันและศัตรูของเราคือใคร ศัตรู มันจะชัดขึ้น 
ผมเห็นว่าเมื่อมีการสร้างสหภาพพม่า ตกลงจะอยู่รวมกันอย่างเท่าเทียมกัน เราก็โอเค เรามองเห็นอย่างนั้น แต่พม่าไม่ได้มองอย่างนั้น เขามองว่าในสหภาพพม่านี่ พม่าต้องใหญ่ที่สุด เขามองอย่างนั้น ปัญหา มันถึงเกิดขึ้นมาตลอด 50 กว่าปี ทีนี้เมื่อก่อนแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์เขาก็คิดว่าเขาสู้ได้ อย่างกะเหรี่ยงกลุ่มเดียว เขาก็ว่าจะทำได้ ไทใหญ่เขาก็คิดว่า เขาทำได้ เพราะเราไม่ได้จับมือกัน แต่ทุกวันนี้เห็นกันแล้วล่ะว่า ถึงเวลาที่ เราต้องสามัคคีกันแล้ว ก็พยายามประสานงานกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ผล เท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไป ถึงจะมี NDF (National Democratic Front - แนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ) มานานแล้ว ที่พยายามรวมทุกกลุ่มทุกชาติพันธุ์เข้ามา เพราะมองเห็นแล้วว่า ทางออก ที่ดี คือ ชนกลุ่มน้อยทั้งหมดสามัคคีกันเพื่อต่อสู้กับพม่า เรามีศัตรูคนเดียว กัน 
แต่พอหลังปี พ.ศ. 2531 ที่เกิดประท้วงใหญ่ หลังจากนั้นก็มีกลุ่มประชาธิปไตยกลุ่มต่างๆ มีนักศึกษาถืออาวุธแยกตัวออกมา ทางพม่าก็มี อีก 4-5 กลุ่มรวมตัวจัดตั้งกันขึ้นมา อองซาน ซูจีก็ออกมาตั้งพรรคกันเอง ทุกกลุ่มเล็งเห็นว่า เมื่อเราจับมือกันทั้งหมดได้ สิ่งที่ตั้งใจมุ่งหมายมันจะเกิดเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงในพม่าจะเร็วขึ้นไง แต่จริงๆ แล้ว ในความ คิดเห็นของผม กลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ เหล่านั้นมีกำลังไหม มีพื้นที่ไหม มีเศรษฐกิจหลักไหม มีอำนาจการปกครองไหม ไม่มี ทุกวันนี้เป็นอย่างไรล่ะ ต่างประเทศต้องช่วยเหลือมาตลอดร่วม 20 แล้ว การเปลี่ยนแปลงใดๆในพม่าก็ยังไม่มี ประเทศต่างๆ ทางตะวันตกเข้าไปตรวจสอบปัญหาในพม่า ก็ยังพบว่าพม่ายังไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น จึงถึง เวลาที่ชนกลุ่มน้อยทั้งหมดในพม่าทั้ง 7 รัฐที่พม่าแบ่งแยกไว้ต้องสามัคคี กันแล้ว เราต้องจับมือกันแล้ว ช่วยกันหาทางออกของปัญหา

นายพลคิดว่า ทำไมรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าถึงได้อยู่ยืดยาวมา ตลอด 50 ปี เขาเก่งตรงไหนถึงได้จัดการพม่าได้อยู่มืออย่างนี้ เป็นเพราะอะไรคะ 
เพราะเขาใช้อาวุธแล้วก็ปิดข่าว ปิดประตู ไม่มีใครสนใจ รัฐบาล พม่าทำผิดมาเยอะ เขาก็ต้องคุมอำนาจให้ได้ต่อไป แต่ตอนนี้ปัญหาพม่า เป็นปัญหาของโลกไปแล้ว ก็ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป แล้วสักวันหนึ่งข้างหน้า  รัฐบาลทหารพม่าก็ต้องขึ้นศาลโลก

กับปัญหาในพม่าที่ยืดเยื้อมายาวนานนี้ KNPP มีจุดยืนอย่างไร ต้องการทางออกแบบไหน ต้องการแยกรัฐกะยาออกเป็นประเทศของตัวเองไหม
ไม่ครับ

แต่ในประวัติศาสตร์กะยาเคยเป็นรัฐอิสระไม่ใช่หรือ
ครับ สมัยโบราณทางกะเรนนีของเราเป็นรัฐอิสระ ปกครองตัวเอง ไม่เคยขึ้นกับใคร แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต เป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ไปแล้ว ทุกวันนี้สถานการณ์มันล่วงเลยมาหลายปีแล้ว ตอนตั้งสหภาพพม่า เรามี สถานะที่ชัดเจน มีรัฐธรรมนูญ มีรัฐบาลกลาง

KNPP ยังยินดีจะเป็นรัฐหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางของพม่าหรือ 
ครับ

แล้วคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปได้หรือ เพราะความขัดแย้งที่ผ่านมาทหารพม่าฆ่าฟันประชาชนกะเรนนีมาอย่างรุนแรงมาก มีความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์อย่างรุนแรงมาก แบบนี้จะอยู่ด้วยกันต่อได้หรือ 
โลกนี้พัฒนาแล้ว ผมคิดว่าอยู่กันได้ อภัยให้กันได้ แต่ปัญหาหนักๆ จะเกิดกับพม่า กะเหรี่ยงมากที่สุด ปัญหาต่างๆ จะปะปนกันเต็ม ไปหมดอย่างแยกไม่ออก และยังมีปัญหาอยู่ เพราะแต่ละรัฐก็ยังมีคนชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่ร่วมกัน อย่างเขตพะโคก็มีกะเหรี่ยงมาก แต่ก็มีพม่าอยู่ด้วย ย่างกุ้งก็มีพม่ามากแต่ก็มีกะเหรี่ยงอยู่ด้วย  ถ้าไม่แก้ปัญหาตรงนี้ ก็ยากเหมือนกัน มันต้องร่วมมือกันปกครอง หรือ อย่างไทใหญ่ก็มี ปัญหามาก รัฐฉานนี่ปัญหาใหญ่เหมือนกัน ทุกวันนี้ว้าอยู่เต็มในบางพื้นที่ ในพื้นที่ว้ามีแต่เฉพาะว้า และว้าที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ พม่าก็ไม่มี  ไทใหญ่ก็ไม่มี รัฐฉานเขามีหลายกลุ่ม ชนเผ่า หลายเผ่า ต้องสร้างความสามัคคีระหว่างกันให้ได้ก่อน

แล้วพวกเชื้อสายกะเรนนีด้วยกันเองล่ะ ที่ขัดแย้งกันมาอย่างกลุ่มกะยาดาวแดงที่ไปร่วมมือกับทหารพม่า นายพลเคยประสานงานกับ พวกนี้บ้างไหม 
ความขัดแย้งนี้มีมานานแล้ว ถึงทุกวันนี้ก็มีทางเยาวชนของดาวแดงที่คุยกับเราบ้าง แต่เป็นการคุยกันอย่างลับๆ  ทำงานด้วยกันกับ ทาง KNPP ก็มี เป็นงานไปสนับสนุนไปช่วยเหลือชาวบ้านข้างใน แต่ในส่วนตัวผมเองไม่มีการติดต่ออะไร

แล้วทำไมกะยาดาวแดงถึงไปอยู่กับพม่า เขาไม่รักประชาชนของเขา เลยหรือ เขาได้ผลประโยชน์อะไร 
เพราะเขาอยู่ได้ หาเงินหาทองได้อยู่ ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ รัฐกะยาก็ยังโอเค ยังค้าขายได้อยู่นะ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็น BGF ก็ทำอะไร ไม่ได้แล้ว เขาก็เริ่มรู้ตัวแล้ว

คิดว่าดาวแดงจะรับมืออย่างไรกับแรงบีบคั้นที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
อันนี้ขึ้นอยู่หลังเลือกตั้ง เพราะตอนนี้หนีเข้ามาหาเราหลายคนแล้ว เป็นคนระดับล่างๆ ผู้ใหญ่ยังไม่มี

แล้วจะป้องกันอย่างไรไม่ให้คนพวกนั้นมาเป็นสายลับมาล้วงข้อมูลจากทาง KNPP
เราต้องตรวจสอบประวัติเขาครับ ว่าอยู่หมู่บ้านไหน พ่อแม่ทำ อะไรมาบ้าง เขาจะหากินหลายคนต่อไป หรือจะหากินคนเดียว คำถาม เรามีอย่างนี้

กับคนกะเรนนีในค่ายผู้ลี้ภัยได้ติดต่อสัมพันธ์กับท่านนายพลบ้างไหม
มีครับ อย่างเมื่อมีวันสำคัญ วันชาติ วันกองทัพ หรือบางครั้งจัดงานทางศาสนาเราก็คุยกัน ร่วมงานกันอยู่

เห็นมีข่าวออกมาว่า ในเดือนพฤศจิกายนหลังเลือกตั้งในพม่า ทางไทยประกาศออกมาว่า จะส่งพวกผู้อพยพเหล่านี้กลับประเทศพม่า นายพลคิดว่าเป็นไปได้ไหม จะมีทางออกให้ผู้อพยพอย่างไร
อย่างที่ผมพูดแล้ว การเลือกตั้งมันอยู่ที่รัฐธรรมนูญ เมื่อ รัฐธรรมนูญไม่ได้ผล การเลือกตั้งถึงจะเลือกกันเข้าไป แต่การเปลี่ยนแปลง ในพม่าจะเกิดขึ้นไหม ไม่มีหรอก ไม่มี เลือกตั้งเสร็จทหารพม่าก็บุกเข้าหมดเลย ดังนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างนี้ ทางประเทศไทยจะส่ง ผู้อพยพกลับไป มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ปัญหาพม่ามันเป็นปัญหา โลกไปแล้ว ทุกวันนี้ไทยก็แบกปัญหาหนักเหมือนกัน เราก็รู้ว่าต้องแก้ปัญหาเยอะแยะในประเทศของเรา เราก็รู้ตัวเองอยู่ทุกวันนั่นแหละ ว่าเรา มาสร้างปัญหาให้กับไทย เรารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่มันจำเป็น ไม่ใช่ว่าคนกะเรนนีอยากมาอยู่เมืองไทยแล้วเข้ามากัน ไม่ใช่ เราเข้ามาเพราะ ความจำเป็น

แล้วในอนาคตหลังเลือกตั้ง เมื่อพม่าประกาศตัวเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว นายพลคิดว่าจะทำยังไงต่อไปคะ เพราะชนกลุ่มน้อยที่ต่อสู้กับรัฐบาลพม่าอยู่เนี่ยกำลังจะกลายเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ก่อความไม่สงบไปแล้วในประเทศประชาธิปไตย 
เราต้องดูก่อนว่า เมื่อพม่าประกาศว่าเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว เขาปกครอง เขาเคลื่อนไหวอย่างไร ชนกลุ่มน้อยยังโดนบังคับอีกไหม ชาวบ้านจะโดนบังคับใช้แรงงานอีกไหม เราต้องดูเรื่องพวกนี้ก่อน ต้องดูสภาพของชาวบ้านก่อน การประกาศออกมามันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ต้องดูความจริงด้วย ทุกวันนี้ลองดูแค่รัฐธรรมนูญก็เข้าใจแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ที่นั่งในสภา 430 ที่นั่งใช่ไหม แต่เลือกตั้งได้แค่ 330 ที่เหลือทหารเอาไป รัฐธรรมนูญของการเลือกตั้ง มันแค่ต่ออายุรัฐบาลทหารพม่า เป็นแค่นั้นเอง

แล้วกับกองทัพไทย นายพลสัมพันธ์ยังไงบ้างคะ ใกล้ชิดมากไหม 
ไม่ตอบดีกว่า

กองกำลัง KNPP มีบทบาทในการทำงานปราบยาเสพติด ในการดูแล พื้นที่ชายแดนประเทศไทยอยู่ด้วยบ้างไหมคะ 
เรื่องยาเสพติดเราก็ดูแลอยู่

ดูแลยังไงคะ เป็นสายข่าวให้หรือ
เราไม่ให้ผลิต ไม่ให้ซื้อขายในพื้นที่ที่เราดูแลอยู่

แล้วที่มีข่าวว่า KNPP เอาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีมาเป็นทหาร ข้อเท็จจริง มันคืออะไร
ในชีวิตผมที่เป็นทหารจนมาเป็นผู้บัญชาการทหาร KNPP เกือบ สามสิบปีแล้วนี่ การใช้เด็กอายุเล็กว่า 18ปีไม่มี เราไม่ใช้อยู่แล้ว ไม่เคย ทำ นโยบายเราไม่มี แต่บางสำนักข่าวเขาเขียนเรื่องนี้ออกมา ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่ใช่เราเอาเด็กมาเป็นทหาร แต่เป็นลักษณะที่ว่า ตอนเช้าเราไปส่ง เขาเข้าเรียน ตอนเย็นก็กลับนะ เมื่อปิดโรงเรียนก็ให้เขาไปเที่ยวบ้าน แค่นั้นเอง เราไม่ได้ใช้งาน ไม่ใช่ให้เขาเป็นทหารเด็ก แต่เป็นนักเรียนทหาร  ตรงนี้เรายินดีให้ตรวจสอบ เราก็เชิญเจ้าหน้าที่ UN ให้มาดู ไม่ใช่แค่เชิญไป ตรวจสอบตรงแนวชายแดนอย่างเดียว แต่เรายินดีให้เข้าไปตรวจสอบใน พื้นที่ของ KNPP ด้วย  อยากไปดูข้างในก็เอาเลย เราจะรับผิดชอบความ ปลอดภัยให้ อยากตรวจสอบอย่างไรมาได้เลย เชิญเลย

จะมีเด็กที่เราดูแลอยู่ก็เป็นเด็กกำพร้า หรือเด็กที่พ่อแม่ยากจน ตอนนี้เด็กพวกนี้ก็ไปอยู่ศูนย์อพยพกันหมดแล้ว และเด็กก็โตกันแล้ว เขาไปอยู่ฟินแลนด์ก็มี สวีเดนก็มี ไม่เห็นรักชาติสักคน มีความรู้แล้ว ก็ไปกันหมด ถ้ากองทัพเราจะสอนมากเกินไป เดี๋ยวทางกลุ่มสิทธิมนุษยชน ก็จะมาว่าเราอีก

โดนด่ามาด้วยใช่ไหม
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เราก็ดูแลเด็กมาบ้าง เราก็ช่วยเด็กมาบ้าง เราก็มองว่า เออ เมื่อเด็กโตขึ้น เขามีความรู้ก็ช่วยชาติบ้างเถอะ เพราะพ่อแม่ลูกหลานในพื้นที่ยังโดนกดขี่ข่มเหง ไม่ใช่ว่ามีความรู้แล้วไปกันหมด ทุกวันนี้เขาไปกันเยอะเลย คนคิดแต่เรื่องส่วนตัวผมไม่สนับสนุนนะ

เขาไปกันหมดเพราะอะไรคะ 
เพราะเบื่อชีวิต มันไม่มีอนาคต ในพม่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้

จะแก้ปัญหายังไงกับเด็กพวกนั้นที่มีโอกาสก็ไปกันหมด
เราห้ามเขาไม่ได้ เพราะว่าทุกวันนี้มันมีเรื่องสิทธิมนุษยชนเยอะ มีกลุ่ม NGO เยอะ ในส่วนทหารของ KNPP เรามี 2 แคมป์ จะมีแคมป์ 1 แคมป์ 2  เราไม่อาจแสดงบทบาทเกินไปได้ ไปอบรมเด็กหลายๆ ปี ไม่ได้ ถ้าอบรมเกินไปเดี๋ยวเปิ้น(คนอื่น) ว่าเราอีก โจมตีเราอีก

นายพลมีความหวังกับเด็กกะยารุ่นใหม่ที่จะมาทำงานต่อจากนายพลบ้างไหม
ให้เขามีความรู้และรักชาติจะได้ทำงานต่อ คนไม่รักชาติก็ไป ประเทศที่สาม ที่คนกะเรนนีต้องมาเป็นแบบนี้ มาอยู่ในค่ายอพยพ มันไม่ใช่เพราะอยากมา แต่เพราะความจำเป็น เมื่อเรามาอยู่สภาพแบบนี้ แล้ว ส่วนดีคือเราได้มีความรู้มากขึ้นจากหน่วยงานต่างๆ ที่มาช่วยเหลือ แต่องค์กรต่างๆ ที่มาช่วยเราก็เพื่อให้เรากลับไปพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ ให้เราไปประเทศที่สาม สำหรับคนที่เบื่อชีวิตเขาก็ไปกัน เขาไม่มีเป้าหมาย ชัดเจนเขาก็ไป แต่ลูกหลานใหม่ๆ ที่เติบโตขึ้นมาก็ต้องสอนกันไป ตอนนี้ ที่กลับเข้าไปทำงานในพื้นที่ก็มีแล้ว.