ครั้งหนึ่งในความทรงจำ : มองพม่าผ่านมุมนักวิชาการรุ่นใหม่ ดุลยภาค ปรีชารัชช


"ผลประโยชน์แห่งชาติไม่เข้าใครออกใคร รู้เขารู้เราดีที่สุด แต่ทำอย่างไรจึงจะยับยั้งความขัดแย้งระหว่างเรากับเพื่อนบ้าน สิ่งนี้ย่อมสำคัญยิ่งกว่า"
อาจกล่าวได้ว่าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ชื่อของ ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์หนุ่มไฟแรงจากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และว่าที่อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มปรากฏชื่อเสียงในแวดวงวิชาการมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิชาการรุ่นใหม่ท่านนี้มีความสนใจความเป็นมาเป็นไปของประเทศเพื่อนบ้านมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโทสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา(หลักสูตรนานาชาติ) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โดยเลือกทำวิทยานิพนธ์เรื่องเมืองหลวงใหม่ของพม่า จนกลายมาเป็นพ็อคเก็ตบุ้คภาษาอังกฤษเรื่อง “Naypyidaw : The New Capital of Burma” ประสบการณ์การเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงใหม่ของพม่า รวมทั้งมุมมองการวิเคราะห์จากนักวิชาการรุ่นใหม่ท่านนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าติดตามที่คุณผู้อ่านสาละวินโพสต์ไม่ควรพลาด


เริ่มสนใจประเทศพม่าได้อย่างไร
เริ่มตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถม ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศพม่าเฉพาะในมิติของการเข้ามารุกรานไทย เลยอยากค้นคว้าข้อมูลทำความเข้าใจพม่าในมุมอื่นที่ไม่ใช่ภาพศัตรูเพียงอย่างเดียว โดยพื้นฐานผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองประกอบกับได้เห็นการฉายภาพเกี่ยวกับพม่าเยอะมากขึ้นจึงรู้สึกสนใจโดยอัตโนมัติ ผมเริ่มศึกษาเป็นจริงเป็นจังช่วงเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงเรียนวิชาเกี่ยวกับการเมืองและเอเชียตะวันออก เฉียงใต้จึงได้จับประเด็นพม่าเชิงลึกมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเมืองและกิจการต่างประเทศ รู้สึกว่าชอบประเทศนี้เพราะพม่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนไทยคาดไม่ถึงหรือยังไม่รู้ ยิ่งในปัจจุบันปัญหาพม่าไม่ใช่ปัญหาที่เราจะมองแค่ชายแดนเพียงอย่างเดียว แต่มันยกระดับไปสู่อาเซียนและเป็นปัญหาข้ามภูมิภาคหรือรอบโลกไปแล้ว


เวลาได้ยินคนไทยมองพม่าในแง่ลบรู้สึกอย่างไร
เป็นเรื่องปกติของประวัติศาสตร์ชาตินิยมหรือการผลิตตำราเรียนที่ทำให้มองเพื่อนบ้านเป็นอื่นหรือเป็นศัตรู อย่างพม่าก็ใช่ แต่เมื่อค้นคว้าข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้น เราควรมองพม่าเป็นศัตรูไหม ผมคิดว่าเราควรมองพม่าอย่างเป็นกลางมากกว่า มองแบบเข้าใจว่าคนพม่าคิดอย่างไร เราควรจะคบค้ากับพม่าให้ยั่งยืนได้อย่างไร แต่อีกมุมหนึ่ง เราก็ไม่ควรประมาท อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยควรจะมีองค์ความรู้ในพม่าเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ คือ คบค้าเป็นมิตรกับพม่าขณะเดียวกันก็ศึกษาติดตามความเคลื่อนไหวไปด้วย

อยากให้ช่วยขยายความคำว่า “เป็นมิตรกับพม่า” 
มันก็พูดยากนิดหนึ่ง คือเมื่อใดก็ตามที่เป็นมิตรกับรัฐบาลพม่าแนบแน่นหรือว่ามีความออกนอกหน้าพอสมควร ไทยก็จะถูกกดดันจากประชาคมโลกและกลุ่มเครือข่ายประชาธิปไตย แต่หากมองในมุมกลับ ไทยเองก็ไม่สามารถจะหนีพรมแดนไม่ให้ติดกับพม่าได้ แต่ทำอย่างไรให้มีผลประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลทหาร มันเป็นคำถามที่ท้าทายว่า สำหรับประเทศไทย เราจะเลือกผลประโยชน์แห่งชาติของเรา หรืออุดมการณ์ประชาธิปไตย เราจะเลือกอะไรระหว่างการค้าขายกับรัฐบาลทหาร แต่พอเขาได้เงินจากเรา เขาก็เอาไปซื้ออาวุธไปกดดันประชาชนของเขามากขึ้น


อันที่จริงไม่ใช่แค่ไทยที่ต้องถามตัวเอง เพราะถ้าถามกลุ่มประเทศมหาอำนาจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพม่า ถามจีนว่าเคยตระหนักรับรู้หรือตื่นเต้นกับประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน ถามอินเดีย ประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก พวกเขาคิดอย่างไรกับประชาธิปไตยในพม่า เพราะปัจจุบันต่างก็สนิทสนมกับรัฐบาลพม่าด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ การเมืองและเศรษฐกิจ แม้แต่ชาติตะวันตกเอง ผมอยากถามในมุมกลับว่า ขณะที่รัฐบาลอเมริกา หรือ อียูกำลังมองหรือคว่ำบาตรพม่ากันอย่างแข็งขัน แต่กลุ่มบริษัทข้ามชาติ กลุ่มบริษัทขุดเจาะน้ำมันก็ยังคงตบเท้าเข้าไปค้าขายกับรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง


ดังนั้นโจทย์ที่จะต้องมองให้ออกก็คือ เราจะเลือกอะไรระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับประชาธิปไตยของประชาชนพม่า ผมมองว่า การเป็นมิตรกับพม่าหมายถึงการคบค้ากับรัฐบาลทหารพม่าแต่พอประมาณ อย่ามีความขัดแย้งกับเขาโดยตรงมากนัก แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่ควรแสดงท่าทีสนิทสนมออกนอกหน้าหรือเป็นมิตรกับรัฐบาลทหารพม่ามากจนเกินไป ซึ่งเราก็ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยบนเวทีโลกบ้างไม่มากก็น้อย

อยากทราบประสบการณ์การเดินทางไปพม่า 
ตอนเด็กๆ ผมเดินทางไปแถวตลาดชายแดนไทย-พม่ากับครอบครัวหลายครั้ง ช่วงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ลงพื้นที่ตาม
ค่ายผู้ลี้ภัย รู้สึกตื่นเต้นเพราะมีกลุ่มคนหลายชาติพันธุ์มารวมอยู่ในพื้นที่เดียวกันจำนวนมาก จากนั้นได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปในประเทศพม่าอีกสองสามครั้ง เมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมาได้ไปเมืองย่างกุ้ง พะโค ตองอู และเนปีดอว์ รวมระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์

อยากให้เล่าถึงประสบการณ์การเดินทางไปยังเมืองเนปีดอว์
เส้นทางที่ไปเนปีดอว์มีสองเส้นทาง ทางหนึ่งจะเป็นสายเก่า ผ่านเมืองพะโค ตองอู อีกทางหนึ่งเป็นถนนซูเปอร์ไฮเวย์ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ส่วนใหญ่ใช้สำหรับข้าราชการที่จะไปเมืองเนปีดอว์เพราะใช้เวลาน้อยกว่า เป็นถนนขนาดแปดเลน แต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผมไปมีเพียงสองเลน เพราะอยู่ในระหว่างการปรับพื้นผิวและขยายถนนอยู่


การเดินทางครั้งนี้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับอ.วิรัช นิยมธรรมผู้อำนวยการศูนย์พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร และโชคดีที่มีชาวพม่าท่านหนึ่งซึ่งเป็นทนายความและมีการติดต่อกับข้าราชการในประเทศพม่าจึงใช้บัตรข้าราชการเพื่อเดินทางผ่านถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้


เมืองเนปีดอว์อยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งประมาณสามร้อยกว่ากิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์โดยรวมเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสะโตงตอนบน หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า ”เขตลุ่มน้ำปองลอง” มีลำแควธรรมชาติซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำสะโตงไหลผ่านหลายสาย ตัวเมืองเป็นเหมือนแอ่ง เพราะด้านซ้ายถูกขนาบด้วยเทือกเขาพะโคโยมา และด้านขวาขนาบด้วยที่ราบสูงฉาน ตัวเมืองแบ่งออกเป็น 3 โซน โซนแรกเป็นศูนย์บริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และอีกหลายๆ กระทรวง ส่วนที่สองเป็นบ้านพักอาศัยสำหรับข้าราชการ โดยจะมีรถส่วนกลางรับส่งตามกระทรวงต่างๆ ซึ่งสะดวกต่อรัฐบาลในการควบคุมการทำงาน  นอกจากนี้ยังมีสวนสาธารณะ ตลาดการค้า หอสมุดแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติและสวนสัตว์ เรียกว่ามีทุกอย่างที่เมืองหลวงควรจะมี ห่างออกไป  ประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรจะไปสู่เมืองอีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน  เรียกว่าเมืองปีนมะนา ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่พอสมควร


เนปีดอว์และปีนมะนามีความเกี่ยวโยงกันอย่างไร

ปีนมะนาเป็นชื่อของอำเภอและเมืองเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของจังหวัดยะแมติงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคมัณฑะเลย์ เนปีดอว์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เรียกศูนย์บริหารราชการแผ่นดินและเมืองหลวง ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของตัวอำเภอปีนมะนา ดังนั้น เนปีดอว์จึงอยู่ในพื้นที่การปกครองของอำเภอปีนมะนา คำว่า ”เนปีดอว์” หมายถึง ราชธานี หรือ บัลลังก์แห่งราชันย์ จริงๆ แล้วชื่อนี้เป็นคำที่ใช้มาตั้งแต่ยุคกษัตริย์พม่าโบราณ แล้วรัฐบาลพม่านำกลับมาใช้ใหม่สำหรับเครือข่ายพื้นที่รอบเมืองหลวงจะแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนที่เรียกว่า เนปีดอว์ ซึ่งเป็นศูนย์บริหารราชการแผ่นดินและที่อยู่อาศัยของข้าราชการพลเรือน โซนเมืองเก่าปีนมะนา ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิมโดยเฉพาะพ่อค้าและชาวนา นอกจากนี้ยังมีตลาด บ้านเรือน  วัดสำคัญทางพุทธศาสนาและพื้นที่การเกษตร ส่วนอีกโซนหนึ่งคือ โซนกองทัพ จะค่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขตปีนมะนา ติดกับที่ราบสูงฉาน มีถนนซุปเปอร์ไฮเวย์มุ่งหน้าสู่เขตนี้โดยเฉพาะ ผมไม่สามารถเข้าไปในโซนนี้ได้จึงมองอยู่ข้างนอก


หลังจากเห็นที่ตั้งของกองทัพแล้วลองวิเคราะห์ตามยุทธศาสตร์ทางการทหารพบว่า เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมมาก เพราะสามารถใช้เทือกเขาในเขต ที่ราบสูงฉานเป็นแนวปราการด้านหลังและมีค่ายทหารซึ่งน่าจะเป็นกระทรวง กลาโหม และจะเห็นอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ตั้งอยู่(พระเจ้าอโนรธา บุเรงนอง และอลองพญา) มองเข้าไปจะเห็นค่ายทหารลดหลั่นกันไปตามสันเขา ซึ่งตรงนี้แหละที่ถูกวิเคราะห์กันว่าเป็นพื้นที่สร้างอุโมงค์ลับหรือบังเกอร์ที่เป็นข่าวออกมา และเป็นโซนที่ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าไปได้ ดังนั้น เวลานายกัมบารีหรือนายบันคีมุน(เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ) มาที่เมืองเนปีดอว์จะไม่ได้เห็นส่วนนี้ แต่จะได้เห็นส่วนบริหารราชการ หรือเนปีดอว์เท่านั้น

สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลพม่าคิดอย่างรอบคอบแล้วก่อนการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ 
ใช่ครับ เพราะนี่เป็นเมกกะโปรเจ็ค หรืออภิมหาโครงการที่รัฐบาลทหารพม่าเตรียมไว้ ซึ่งวิเคราะห์ว่า การย้ายเมืองหลวงครั้งนี้มาจากหลายเหตุปัจจัย บางคนบอกว่าเป็นเพราะกลัวอเมริกาบุก อันนั้นก็เป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาคิดตอบโจทย์โดยตรงเลยคือทำเลที่ตั้ง ซึ่งตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางของประเทศ และมีถนนซุปเปอร์ไฮเวย์จากย่างกุ้งไปถึงมัณฑะเลย์ จากนั้นจะมีถนนเชื่อมต่อไปยังรัฐอาระกันซึ่งใช้เวลาแป๊บเดียวก็ถึง และตรงนั้นมีเครือข่ายของค่ายทหารพม่าในการส่งกำลังบำรุงด้วย ที่สำคัญสามารถเดินทางไปยังรัฐชนกลุ่มน้อยได้สะดวกขึ้น รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ตอนในหรือว่าจะเป็นทางการทหาร สามารถทำได้สะดวก เหตุผลนี้รัฐบาลทหารพม่าประกาศชัดถึงเหตุที่ต้องย้ายเมืองหลวงเพราะเนปีดอว์ อยู่กึ่งกลางของประเทศ ทั้งโดยทางยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์เหมาะแก่การพัฒนาและมีความมั่นคง ถนนไฮเวย์ตัดผ่าน แต่นั่นเป็นเพียงเหตุผลที่รัฐบาลแถลงออกมา


มีนักวิเคราะห์มองถึงเหตุปัจจัยอื่น เช่น รัฐบาลทหารพม่าป้องกันการรุกรานทางทะเลจากสหรัฐอเมริกาและการประท้วงในย่างกุ้ง ซึ่งผม มองว่ามีเหตุที่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น เหตุประท้วงโดยพระสงฆ์เมื่อปี 2550 ส่วนใหญ่จะแน่นขนัดที่ย่างกุ้ง แต่ช่วงเวลานั้นศูนย์การควบคุมและสั่งการอยู่ที่เนปีดอว์ ดังนั้นรัฐบาลไม่ต้องคิดมากกับการถูกฝูงชนปิดล้อม สถานที่ราชการ หรือว่าการถูกจารกรรมข้อมูลจากสื่อต่างชาติ ฉะนั้นเขาปลอดภัยจากการลุกฮือของประชาชน ความรุนแรงในการปราบหรือการหลบหนีจะปลอดภัยกว่า ส่วนแง่ที่ว่าสหรัฐอเมริกาจะบุก จริงรึเปล่านั้น หากมองทางมุมของสหรัฐอเมริกาอาจเป็นไปได้ยาก เพราะอเมริกายังวุ่นอยู่กับเอเชียกลาง อิรัก อัฟกานิสถาน บวกกับอิทธิพลที่เข้มข้นของจีนในพม่า อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการโจมตีพม่า แต่เมื่อมองในกรอบความคิดของรัฐบาลทหารมีความเป็นไปได้ อย่างน้อยการใช้ภูเขาเป็นปราการรับศึก พื้นที่การตั้งรับย่อมปลอดภัยกว่าย่างกุ้งซึ่งง่ายต่อการถูกรุกรานทางทะเล อย่างน้อยก็คลายความกังวลใจไปได้ ซึ่งเป็นเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์อีกข้อหนึ่ง ขณะเดียวกัน การพบเรือรบของอเมริกาจอดลอยลำเหนืออ่าวเมาะตะมะเมื่อครั้งเหตุการณ์ 1988(พ.ศ.2531) และการโค่นล้มระบอบซัดดัม-ตาลีบันก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับรัฐบาลทหารจนนำไปสู่การย้ายเมืองหลวง


ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และโหราศาสตร์มีผลต่อการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้หรือไม่

ผมคิดว่าการย้ายเมืองหลวงมีหลายเหตุปัจจัย แต่ถ้าจัดอันดับแล้ว ผมมองว่าเรื่องยุทธศาสตร์ความมั่นคงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือเรื่องของการพัฒนาพื้นที่ตอนในโดยอาศัยทำเลของเมืองหลวงใหม่ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศทำให้เหมาะกับการคมนาคมขนส่ง และยังมีเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนและการเกษตร รวมถึงอยู่ไม่ไกลจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งในเขตชนบทและเขตชายแดน อาทิ ป่าไม้และแร่ธาตุ ตรงนี้ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่คนมองข้าม อันดับสุดท้าย คือ  ความเชื่อทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ถามว่าผู้นำพม่าเชื่อหมอดูไหม ผมว่าจริง เพราะขนาดผู้นำไทยยังเชื่อเลย โหราศาสตร์บางครั้งมันมีความเชื่อมโยงกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างเช่น เมื่อตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิ ยอดเจดีย์สำคัญแห่งหนึ่งได้พังทลายลงมาซึ่งถูกมองว่าเป็นลางร้าย โดยหากจะตีความว่า การย้ายเมืองหลวงเป็นการตัดสินใจตามความเชื่อก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้สำหรับรัฐบาลทหารพม่าเหมือนกัน ยิ่งหลังจากย้ายเมืองหลวงมาที่เนปีดอว์ไม่นานก็เกิดพายุนาร์กิสพัดถล่มเมืองย่างกุ้ง เหตุการณ์นี้ยิ่งช่วยสนับสนุนความเชื่อของผู้นำพม่าว่าตัดสินใจถูกต้อง


ส่วนคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศ เมืองย่างกุ้งถูกพิชิตโดยกองทัพอังกฤษและเป็นเมืองหลวงที่อังกฤษได้สถาปนาขึ้น ซึ่งกรณีแบบนี้มีทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาหรือลาตินอเมริกา ที่ทำการย้ายเมืองหลวงเพื่อหลบหนีจากความอัปยศอดสูของเมืองหลวงเก่าในยุคอาณานิคม แล้วทำการสถาปนาเมืองหลวงใหม่ในที่ๆ เหมาะกับรากเหง้าและวัฒนธรรมของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่าเป็นชาตินิยมทางการทหาร อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการสละมรดกจากอังกฤษที่ย่างกุ้งและย้ายไปที่ใหม่ นอกจากนี้ การสร้างราชธานีแห่งใหม่ยังเป็นจารีตทางประวัติศาสตร์และเป็นการประกาศอำนาจของนายพลตานฉ่วย คล้ายคลึงกับการย้ายราชธานีของกษัตริย์พม่าในอดีต แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่อธิบายได้ไม่เพียงพอ เพราะต้องมีเรื่องของยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการพัฒนาประกอบกันไปด้วย


งบประมาณสร้างเมืองเนปีดอว์ได้มาจากไหน 
จริงๆ การย้ายเมืองหรือสร้างเมืองถือเป็นอภิมหาโครงการที่ใช้งบประมาณสูงมาก จำนวนของตัวเลขผมจำไม่ได้แล้ว แต่ตั้งแต่ย้ายเมืองหลวงมาประมาณปี 2548-2550 งบประมาณที่รัฐบาลใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองถึงสามเท่าจากก่อนหน้านั้น ถามว่าเงินมาจากไหน ฐานข้อมูลตอบได้ลำบากเหมือนกัน แต่ว่าแน่นอน มีหลายประเทศที่ค้าขายกับพม่าเยอะแยะ  อย่างอาเซียน โลกตะวันตก จีน อินเดีย เพราะฉะนั้นในสายตาผม รัฐบาลทหารพม่าร่ำรวยแต่ประชาชนยากจน จึงเกิดคำถามว่าเอาเงินมหาศาลไปสร้างเมืองใหม่มันคุ้มกันแล้วหรือ สู้เอาเงินไปพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนยังดีซะกว่า แต่หากมองจากสายตาของผู้นำทหารพม่า การทุ่มเงินเพื่อสร้างป้อมปราการแห่งใหม่อาจเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าในการปกครองประเทศได้ยาวนาน นอกจากนี้การทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของรัฐบาลพม่ายังมีความคล้ายคลึงกับประเทศเกาหลีเหนือซึ่งมีสิทธิ์มีเสียงในเวทีโลก และหลายๆ ชาติไม่อาจกดดันได้มากเท่าไหร่ เพราะมีขีดความสามารทางการทหารและอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ดีในการปกป้องตัวเองจากการแทรกแซงของโลกภายนอก ดังนั้น รัฐบาลทหารพม่าอาจกำลังดำเนินตามเกาหลีเหนืออยู่ก็ได้ เพราะมีวิถีการปกครองแบบเผด็จการและถูกบีบจากประชาคมโลกหลายด้านเหมือนกัน


ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การสร้างเมืองหลวงใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลพม่าไม่สนใจการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนเลยได้หรือไม่
จริงๆ แล้วมันมีปัญหาการตีความเรื่องการพัฒนาประเทศ จากการศึกษาพม่าและการวิเคราะห์ ผมมองว่ารัฐบาลพม่าก็ให้ความสำคัญเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อจัดอันดับแล้วความมั่นคงต้องเป็นอันดับหนึ่ง แต่การพัฒนาเป็นตัวรอง ซึ่งคนภายนอกอาจจะมองเห็นไม่ค่อยชัดเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน การศึกษา สุขภาพและในหลายๆ ด้าน แต่จะเห็นค่อนข้างชัดในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งและเขื่อนพลังไฟฟ้าต่างๆ แต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มักจะเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ทางทหาร อาทิ สร้างถนนเอาไว้ลำเลียงยุทธปัจจัยและยุทโธปกรณ์ เช่น พื้นที่ที่มีกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเคลื่อนไหวอยู่มักจะมีถนนเข้าถึงเพื่อสะดวกต่อการขนส่งกำลังทหารและอาวุธ เป็นต้น อาจสรุปได้ว่า แนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลทหารพม่า คือ การพัฒนาด้านความมั่นคงทางทหารควบคู่กับการพัฒนาโดยรวม แต่การพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความมั่นคงก่อน


เห็นด้วยหรือไม่ที่หลายคนมักมองว่ารัฐบาลพม่าล้าหลังไม่ทันโลก 
ผมมองว่ารัฐบาลพม่าจัดอยู่ในพวก ”คิดเก่าทำใหม่” ถ้าศึกษาดีๆ  จะพบว่ารัฐบาลทหารพม่ามีความลุ่มลึกในการวางยุทธศาสตร์และกุศโลบายทางการเมืองมากทีเดียว ทุกครั้งจะทำอะไร ผู้นำจะกลับไปคิดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ก่อนว่ากษัตริย์พม่าเคยปฏิบัติไว้อย่างไร จากนั้นจะมองไปข้างหน้าเพื่อดำรงความเป็นตัวของตัวเองว่าจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างไร นั่นคือการคิดเก่าทำใหม่แบบผู้นำพม่า เป็นการพัฒนาโดยยึดรากเหง้าดั้งเดิมไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงได้มียุทธศาสตร์หลายตัวที่ชาวโลกก็คิดไม่ถึง อย่างเช่น การประกาศยกยอดฉัตรเจดีย์ชเวดากองและการประกาศครอบครองช้างเผือก เรื่องแบบนี้สามารถเข้าถึงประชาชนชาวพม่าได้ง่ายเพราะเป็นธรรมเนียมจารีตบวกกับความศรัทธา ทำให้ได้ใจประชาชนด้วย และยังมียุทธศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การพัฒนากองทัพโดยใช้ระบบสายลับ หรือเอา USDA (Union Solidarity and Development Association) ขึ้นมาเพื่อเป็นเครือข่ายประชาสังคมของรัฐบาลในการถ่วงดุลกับ NLD (National league for Democracy) พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีความลุ่มลึกมาก


ในมุมของอาจารย์ ประชาธิปไตยในพม่าจะเกิดได้ในเร็วๆ นี้ไหม 
ผมว่ายากมาก เพราะหากมองการเมืองสามเส้าระหว่างรัฐบาลพม่า ชนกลุ่มน้อย และพรรค NLD ของนางอองซานซูจี ในสามกลุ่มนี้รัฐบาลพม่าแข็งแกร่งที่สุด กุมบังเหียนในการปกครองมาอย่างยาวนาน หากถามในมุมกลับว่าถ้ารัฐบาลทหารพม่าหายไป เลือกนางอองซาน ซูจีหรือ ชนกลุ่มน้อยขึ้นมาปกครองประเทศ สถานการณ์จะสงบหรือวุ่นวายกว่าเดิมก็ยังตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเมืองภายใน รัฐบาลทหารพม่าฉลาดเกินกว่าที่เราคาด พร้อมกับมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งมากในการปกครองประเทศ แรงกดดันจากนานาประเทศยังส่งผลน้อยมากในเรื่องประชาธิปไตย  ในพม่า หากใช้การกดดันไม่ว่าจะเป็นเวที UN ก็จะพบการคัดค้านจาก จีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงและเป็นกลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจกับรัฐบาลพม่า สุดท้ายคุณจะเลือกอะไร ระหว่างผลประโยชน์กับอุดมการณ์ประชาธิปไตย ผมมองว่าประชาธิปไตยแบบตะวันตก (Western Democracy) ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะสมมุติถ้าการล้มล้างระบอบทหารเป็นผลสำเร็จ(ซึ่งในความเป็นจริงก็ยากมาก) ไม่นานนัก ระบอบทหารก็จะกลับมาอีกและไม่จบไม่สิ้น (เหมือนวงจรรัฐประหารในการเมืองไทย) แต่ถ้ารัฐบาลทหารพม่าเสนอรูปแบบประชาธิปไตยแบบมีระเบียบวินัย (Order Democracy) นั่นอาจเกิดขึ้นได้ แต่มันก็ยังเป็นการปกครองภายใต้รัฐบาลทหารอยู่ดี


ร่างรัฐธรรมนูญที่มีการลงประชามติชี้ให้เห็นถึงประชาธิปไตยในแบบรัฐบาลทหารพม่าด้วยหรือไม่
ครับ อย่างน้อยรัฐธรรมนูญที่ลงประชามติเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทหารพม่าเองอ้างว่ามีความชอบธรรม ทั้งๆ ที่วิธีการที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมานั้นอาจจะไม่ชอบธรรม ท้ายสุดผลที่ออกมาคือรัฐบาลทหารชนะ แต่ตัวบทมาตราเป็นอย่างไรต้องย้อนถามว่าใครเป็นคนร่าง กองทัพ  มีอิทธิพลมากที่สุดในการร่าง เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ก็ต้องเป็นไปตามที่กองทัพออกแบบไว้ และนางอองซาน ซูจีไม่มีสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้นในอนาคต รัฐบาลก็จะอ้างสิทธิ์ในความชอบธรรมที่ปรากฏไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็สามารถใช้อำนาจทางรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ในการควบคุมกลไกการปกครองได้อีก เพราะฉะนั้นมันยากมาก (เน้นเสียง) สำหรับประชาธิปไตยที่จะไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหารพม่า รัฐบาลทหารมองไปข้างหน้าว่าทำยังไงถึงจะอยู่ได้นานที่สุด เมื่อโลกเปลี่ยน พม่าก็ต้องเปลี่ยน แต่สิ่งที่รัฐบาลทหารต้องการคือ ความเปลี่ยนแปลงในแนวทางที่สามารถควบคุมได้


ประเทศไทยในฐานะเป็นเพื่อนบ้านควรวางตัวอย่างไร 

ผมมองว่า ปัญหาที่น่าคิดสำหรับประเทศไทยก่อนที่จะตอบว่าอยู่ด้วยกันอย่างไร ต้องถามว่าใครเป็นผู้กำหนดนโยบาย เพราะการกำหนดนโยบายต่อพม่าจะต้องมีความต่อเนื่องและมีความมั่นคงพอสมควร แต่เมื่อการเมืองไทยยังไม่นิ่ง การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยๆ นโยบายต่างประเทศต่อรัฐเพื่อนบ้านก็ต้องเปลี่ยนตาม เพราะฉะนั้นทิศทางเกี่ยวกับพม่ายังเป็นเรื่องที่พูดยากอยู่


สิ่งที่ผมอยากเสนอคือ พม่าเป็นประเทศที่ไม่ธรรมดา มีทั้งคุณและโทษกับเรา การดำเนินนโยบายควรวางให้เหมาะสม ในส่วนที่ให้คุณ การเป็นมิตรกับพม่า ไทยจะได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและการตลาด โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่พม่ามีนั้นจะเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงานและสอดคล้องถึงการเชื่อมโยงไปหาจีน อินเดีย หรือตะวันออกกลางผ่านเส้นทางถนนสายเอเชีย ฉะนั้น พม่าจึงมีความสำคัญมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษ ถ้าหากประเทศไทยเองขาดความเข้าใจในความเป็นไปของพม่า ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้เผชิญกับกองทัพชนกลุ่มน้อยตามชายแดนเพียงเท่านั้น แต่ยังมีกองทัพของรัฐบาลทหารพม่าโดยตรง ซึ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา เราต้องรู้ทัน ในระดับหนึ่งต้องมีความพร้อม เพราะถึงแม้รัฐบาลพม่าจะเป็นรัฐบาลทหาร แต่สถานะทางการเมืองนิ่ง เพราะฉะนั้นจะง่ายต่อการบริหารและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งต่างจากไทยที่การเมืองเปลี่ยนตลอด


ทางออกที่จะช่วยผ่าทางตันได้สำหรับประเทศไทย คือ ทำยังไงก็แล้วแต่ให้เรามีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวและเป็นมิตรกับพม่า แต่จงเตรียมพร้อมและอย่าประมาท เหมือนดั่งที่อาจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์ และอาจารย์พรพิมล ตรีโชติ นักวิชาทางด้านพม่าที่ผมเคารพนับถือได้ให้แนวคิดที่น่าสนใจว่า ประเทศไทยต้องเปลี่ยนมิติการมองพม่าจากการหยุดอยู่แค่ชายแดนไปสู่การมองพม่าในมิติที่กว้างขึ้นและสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ขณะเดียวกัน ในทางส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า  “พม่าอาจกลายเป็นมหาอำนาจทางการทหารในอนาคต” ดังนั้น พม่าจึงกลายเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจับตามองมากในมิติการเมืองระหว่างประเทศและภูมิทัศน์ด้านความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก เพราะว่าปัญหาพม่าสอดรับกับเกาหลีเหนือและอิหร่าน รวมถึงยังเป็นปัญหาที่นานาชาติให้ความสำคัญและจับตามองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ประเทศไทยจะทำอย่างไร เมื่อเราอยู่ตรงสภาพเงื่อนไขแบบนี้ เราจะขานรับกับกลุ่มประเทศตะวันตก แต่ทะเลาะกับพม่า หรือเราเป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย นั่นเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกัน แต่ผมยืนยันเลยว่าทางออกที่ดีไม่ว่าจะเป็น พม่า กัมพูชา มาเลเซียหรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าขัดแย้งกันดีกว่า ให้เข้าใจกันแต่ต้องมีความพร้อมด้วย

ในฐานะนักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ผมคิดว่า ผลประโยชน์แห่งชาติไม่เข้าใครออกใคร รู้เขารู้เราดีที่สุด แต่ทำอย่างไรจึงจะยับยั้งความขัดแย้งระหว่างเรากับเพื่อนบ้าน สิ่งนี้ย่อมสำคัญยิ่งกว่า.