ชีวิต ความหวัง และความใฝ่ฝันของผู้ต้องขัง (2)

โดย สีฟ้า

เมื่อสมัยที่ผมยังอยู่ในประเทศพม่า ผมมีชื่อว่า ซอหล่อยมู ผมเป็นคนเชื้อชาติกะเหรี่ยง(กลุ่มสะกอ) ซอ หมายถึง นาย หล่อย หมายถึง สี มู หมายถึง ฟ้า ดังนั้น “สีฟ้า” คือความหมายของชื่อผม ผมเกิดที่เมืองหล่อยก่อ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของชนชาติกะยาคือกะเหรี่ยงแดงนั่นเอง ผมเกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2501 จากครอบครัวคริสเตียนและเป็นคนที่ 4 จากพี่น้อง 6 คน ถึงจะไม่ร่ำรวยแต่ระดับชีวิตปานกลางของครอบครัวของผมพออยู่พอกินและมีความอบอุ่น คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้รักเสียงเพลง ดังนั้น ในบ้านมีเครื่องดนตรีหลายชนิดและพี่ชายคนโตได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักร้องประจำของคริสจักร ในเมืองที่เราอยู่ ผมถูกบังคับให้ฝึกร้องเพลงฝรั่งตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบและได้ขึ้นบนเวทีท่ามกลางผู้คนมากมายซึ่งสมัยนั้นไม่เคยมีเด็ก ๆ คนไหนกล้าเหมือนผมเลย เพราะฉะนั้นได้ฉายาว่า Tha Tha(om; om;)แปลว่าลูกชาย พออายุได้ 10 ขวบ คุณแม่ก็สอนกีตาร์ให้ผมขั้นพื้นฐานแค่เล่นเพลงง่าย ๆ ได้


หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ย้ายที่อยู่หลายจังหวัด ในที่สุดได้ย้ายมาอยู่ในเมืองพาปุในปี 2513 ชีวิตความเป็นอยู่ลำบากมาก เพราะเมืองเล็ก ๆ ผลผลิตของชาวกะเหรี่ยงไม่พอเลี้ยงประชาชนของอำเภอพาปุ เพราะเมืองพาปุถูกตัดขาดจากจังหวัดอื่น ๆ และจะมีปีละครั้งเดียวเท่านั้นที่ขบวนรถของทหารพม่าจะมาส่งเสบียงสำหรับหนึ่งปีเพื่อกองทัพของพวกเขา และที่เหลือจะแบ่งให้ประชาชนเป็นระยะ ๆ แต่ต้องเข้าแถวและซื้อได้แค่เล็กน้อย เราซื้อที่ดินปลูกบ้านเล็ก ๆ พ่อตกงาน บ้านหลังนี้อยู่แค่พ่อ แม่ พี่สาวและผมกับน้องชายอีก 2 คน พ่อพาผมไปทำไร่นอกเมืองช่วงปิดภาคเรียน....เพื่อเลี้ยงชีพ เราสองพ่อลูกตัดไม้ไผ่ในป่ามาขายในเมืองบ้าง หาซื้อผลไม้มาขายบ้าง จนกระทั่งผ่านพ้นไป 3 ปี และพอมาถึง 2517 หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว รัฐบาลพม่าออกคำสั่งให้นำข้าวเปลือกทั้งหมดมารวบรวมไว้ในเมือง ทุกคนที่อยู่ตามหมู่บ้านรอบนอกเมืองต้องขนข้าวทั้งหมดมาไว้ในเมืองและต้องเบิกกินวันละครั้ง (2 กระป๋องนมต่อ 1 คน ต่อ1 วัน) ห้ามคนในเมืองออกนอกเขตและห้ามคนนอกเข้าเมือง เขาเรียกว่า ปิดสี่ด้าน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า หมายความว่าอย่างไร ในเวลานั้น...

หลังจากนั้นไม่กี่เดือนคุณพ่อผมป่วยหนักด้วยโรคปอด แต่เวลานั้นเครื่องบินโดยสารจากย่างกุ้งมาสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้นคุณแม่ก็พาคุณพ่อไปรักษาที่เมืองย่างกุ้ง บ้านหลังนั้นเหลือเพียงพี่สาว ผม และน้องชาย 2 คน พี่สาวทำงานราชการและเรียนไปด้วย ผมเรียนชั้น 9 แต่จิตใจอ่อนล้ามาก เพราะความกดดันหลาย ๆ ด้าน ยากที่จะอธิบายได้ ความยากจน การถูกกดขี่ข่มเหง การหมดอิสรภาพทำให้ผมอยากจะหนีออกจากบ้านไปให้ไกลที่สุดอย่างไร้จุดมุ่งหมาย... ผมได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนคนหนึ่งที่แฟนสาวของเขาถูกต้นไม้ล้มทับตายอย่างน่ากลัว ว่า “ชีวิตของเราก็ไม่มีความหวังอะไรแล้ว คนที่เรารักก็ตายจากไป เราอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราจะต้องออกจากเมืองนี้” ผมบอกเขาว่า “คุณจะออกไปจากเมืองนี้ไม่ได้เพราะมีแต่กับระเบิดเต็มไปหมด ไม่มีใครเข้ามาและไม่มีใครออกไปได้ถ้าฝ่าฝืนหมายถึงชีวิต” แต่เขาบอกผมว่า เขาพร้อมที่จะไปไม่ว่าอะไรจะเกิด...

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจร่วมเดินทางกับเขาบนเส้นทางที่ไร้จุดหมาย เราหันหลังให้กับเมืองคุกนั้น แต่เราไม่เป็นไร ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลจากพาปุ พวกเขาดีใจมากและแปลกใจมากที่เรารอดพ้นจากอันตรายมาได้ไม่นานเพื่อนผมก็ได้ดีแถวๆ ริมน้ำสาละวิน แต่สำหรับผม เมื่อเห็นว่าที่ไหนที่ไม่มีความยุติธรรมผมก็ต้องลาจากไป และปี 2519 ผมก็เข้ามาในประเทศไทยอย่างไร้จุดหมายปลายทาง รับจ้างก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป เข้าเชียงใหม่ เข้ากรุงเทพ จนกระทั่งปี 2537 ตัดสินใจ จะกลับไปอยู่ตามภูเขาใกล้เมืองพาปุ แต่ปี 2538 กลุ่มกะเหรี่ยงแตกแยกจากกัน และสิ่งนั้นทำให้ผมต้องหนีเอาชีวิตรอดจากพวกกะเหรี่ยงด้วยกัน แต่ผมก็ปลอดภัย เพราะผมได้เข้ามาอยู่ในคุกของไทยเสียก่อน...ถึงแม้เคยเป็นผู้รักปากกา...ผู้มีเพลงในหัวใจ...ชอบเขียนตามจินตนาการของหัวใจให้เป็นเสียงเพลง และตั้งใจใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและรักสงบ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะตกเป็นเครื่องมือของสิ่งเลวร้ายอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน เวลานี้ถึงแม้จะอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม ผมไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะคุกสอนให้ผมว่าถึงจะเคยทำดีทำชอบมากเพียงใด

แต่ถ้าผิดเพียงครั้งเดียวก็จะเสียใจไปตลอดชีวิตได้ ดังนั้น เวลานี้ผมเรียนรู้และหาคำตอบเสมอว่าผมควรทำอะไรบ้างเพื่อชดใช้กรรมที่ผมได้ก่อไว้ และคำตอบก็ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าประเทศไทยที่ร่มเย็นเป็นสุขและเป็นเอกราชอยู่จนทุกวันนี้ก็เพราะบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีของชาวไทยทั้งปวงนั่นเอง ผมเห็นว่าพระองค์ทรงห่วงใยประชาชน ช่วยเหลือเมื่อขัดสน ดูแลทั่วถึงแบบไม่ลำเอียง แม้กระทั่งผู้ที่ได้ละเมิดกฎหมายของประเทศ พระองค์ก็ทรงโปรดให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อทบทวนสิ่งที่พระองค์ได้แสดงให้ผมเห็นเช่นนี้แล้ว ความหวังและความใฝ่ฝันสุดท้ายที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ...ถ้ามีโอกาสออกไปสู่โลกภายนอกอีกครั้งจะพยายามค้นหาเด็ก ๆ เหล่านั้นที่กำพร้าพ่อแม่และขาดความอบอุ่นให้มาพักพิงอยู่ในความรักและความเมตตาของคุณพ่อคนนี้อย่างเป็นธรรมตลอดไป...

สุดท้ายนี้ข้อคิดง่าย ๆ ที่ผมขอฝากให้แก่พี่น้องท่านผู้อ่านก็คือ ครอบครัวไหนที่มีคุณพ่อคุณแม่รัก ห่วงใย และดูแลความทุกข์สุขของลูก ๆ ทุกคนได้ทั่วถึง...ครอบครัวเหล่านั้นก็มีความสุขและน่าอยู่น่าชื่นชมมาก...ครัวเรือนที่มีแต่ความขัดแย้งก็จะมีความแตกแยก

จากใจจริง
สีฟ้า