การย้ายบุคคลในความห่วงใยของยูเอ็นเอชซีอาร์สู่ค่ายชายแดน

โดย หมอวิทย์

เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2546 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 31 มีนาคม 2547 เป็นวันสุดท้าย ที่ประชาชนพม่าซึ่งถือบัตรบุคคลในความห่วงใยหรือพีโอซี (Persons of Concern - POC) ของยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขต อำเภอบริเวณชายแดนจะต้องมาขึ้นทะเบียนและย้ายไปอยู่ที่ค่ายอพยพบริเวณชายแดนไทย - พม่า ที่จังหวัดตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเขตเมือง ค่อนข้างมาก หากใครไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกจับและถูกส่งกลับประเทศพม่า


แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 แต่กลุ่มผู้ลี้ภัยหลายคนกลับเพิ่งได้รับการแจ้งกำหนดการย้ายเข้าสู่ค่ายอพยพดังกล่าวเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ก่อนการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวเท่านั้น ขณะที่ค่ายอพยพซึ่งใช้รองรับผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้กลับยังไม่ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับคลื่นชีวิตของผู้ลี้ภัยหลายร้อยคน ทั้งเรื่องที่พักอาศัยและสถานพยาบาล บางครอบครัวมีสมาชิกในครอบครัวทั้งที่มีบัตรพีโอซีและไม่มี ครอบครัวเหล่านี้ต้องเผชิญกับการพลัดพรากจากการบังคับใช้นโยบายนี้ และเนื่องจากรัฐบาลประกาศห้ามนำอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์และโทรศัพท์มือถือเข้าไปใช้ในค่ายผู้อพยพซึ่งย้ายไปอยู่ในเขตซึ่งห่างไกลจากเมือง ผู้ลี้ภัยจึงถูกตัดขาดการติดต่อจากครอบครัวและโลกภายนอก แม้ว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ จะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่รัฐบาลไทยกลับปฏิเสธการขยายเวลาการบังคับใช้นโยบายนี้ออกไป

มาตรการนี้ได้ทำให้ผู้ถือบัตรพีโอซีจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งทำงานอยู่ตามชุมชนชายแดนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่า นโยบายนี้จะสร้างความพึงพอใจให้กับรัฐบาลย่างกุ้งมากเพียงใด เพราะการส่งผู้ลี้ภัยไปอยู่ในค่ายที่ห่างไกล คนเหล่านี้ย่อมไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ง่าย โดยหากใครยังคงหลบหนีอยู่ในเมือง หากตรวจพบจะถูกจับและส่งกลับไปพม่า ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับอันตรายหลายอย่าง นโยบายนี้จึงเป็นการละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบถึงปัญหาด้านสุขภาพในประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากคลินิกแม่ตาวหรือคลินิกหมอซินเทียที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งให้การรักษาผู้อพยพจากประเทศพม่าต้องขาดแคลนเจ้าหน้าที่ซึ่งถือบัตรพีโอซีไปเกือบครึ่งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงปี ทางคลินิกได้สูญเสียเจ้าหน้าที่บางส่วนไปกับนโยบายย้ายผู้ถือบัตรพีโอซี ไปยังประเทศที่สามแล้ว การลดลงของเจ้าหน้าที่คลินิกได้ส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพของแรงงานจากประเทศพม่าและผู้ลี้ภัยในพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สอดอย่างแน่นอน

เพราะตราบใดที่ประเทศพม่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่ดีขึ้นและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงดำเนินต่อไป ผู้อพยพจากประเทศพม่าก็จะยังคงหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยไม่ขาดสายเช่นเดิม และหากคลินิกแห่งนี้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ไปถึงครึ่งหนึ่ง ประสิทธิภาพในการให้บริการรักษาพยาบาลและความรู้เรื่องสุขภาพกับผู้อพยพจากประเทศพม่าจะต้องลดลง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพชุมชนท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันแรงงานจากประเทศพม่าในประเทศไทยที่ป่วยเป็นวัณโรคและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจนหายมีเพียงแค่ร้อยละ 25 เท่านั้น ผู้ป่วยส่วนที่เหลือรักษายังไม่หายขาดเพราะต้องเคลื่อนย้ายสถานที่ทำงานไปที่อื่น ๆ เมื่อผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาจนหายขาด เชื้อโรคจะเกิดอาการดื้อยา ทำให้เชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น เชื้อโรคเหล่านี้จึงมีโอกาสแพร่กระจายสู่ชุมชนใกล้เคียงแบบไม่แบ่งแยกเชื้อชาติว่าเป็นคนไทยหรือคนพม่า เช่นเดียวกับโรคเท้าช้างซึ่งแพร่กระจายโดยยุงดำ ซึ่งเป็นโรคที่หายไปจากประเทศไทยแล้ว แต่ปัจจุบันโรคนี้กำลังกลับมาใหม่ เนื่องจากประชาชนจากประเทศพม่าจำนวนมากยังคงป่วยเป็นโรคนี้ เพราะมาตรการป้องกันและรักษาทางการแพทย์ในประเทศพม่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ผู้ป่วยเหล่านี้จึงไม่มีโอกาสเข้ารับการรักษาพยาบาลจนหายขาด และเมื่อผู้ป่วยเหล่านี้อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทยและไม่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐาน โอกาสที่โรคเหล่านี้จะแพร่กระจายอยู่ในประเทศไทยยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมียุงที่เป็นพาหะนำโรคอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน

แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณสาธารณสุขให้กับโรงพยาบาลท้องถิ่นในเขตชายแดนเพื่อรักษาผู้ป่วยจากประเทศพม่าเป็นเงินปีละหลายล้านบาท แต่งบประมาณดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่อย่างจำกัดในการให้การรักษาพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมา คลินิกแม่ตาวได้ทำหน้าที่แบ่งเบาภาระของรัฐบาลไทยในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากประเทศพม่าไปได้ระดับหนึ่ง การสูญเสียเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลจำนวนครึ่งหนึ่ง จึงส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลของคลินิกแห่งนี้ และนั่นย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงโรงพยาบาลท้องถิ่น ซึ่งต้องแบกรักภาระมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตัวอย่างมากมายที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มแรงงานจากประเทศพม่ามักถูกกีดกันหรือยากแก่การเข้าถึงการรักษาพยาบาลของไทย หากแรงงานเหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาน้อยลงเรื่อย ๆ ย่อมหมายความว่าสุขภาพของชุมชนในท้องถิ่นก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เช่นกัน

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ผลกระทบทางสุขภาพของประชาชนจะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดหากรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะย้ายผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้เข้าไปยังค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งห่างไกลสถานพยาบาล ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะเชื่อมโยงต่อระบบสุขภาพของคนไทย รัฐบาลไทยจึงควรจะพิจารณานโยบายครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ทำงานด้านสาธารณสุขควรจะนำประเด็นด้านผลกระทบทางสุขภาพมาถกเถียงกันอย่างจริงจัง และหากรัฐบาลไทยยังคงยืนยันปฏิบัติตามนโยบายซึ่งตรงกันข้ามกับมาตรฐานของนานาชาติ รัฐบาลไทยอาจได้รับผลกระทบต่อการเลือกตัวแทนประเทศในการทำงานระดับนานาชาติต่อไปภายภาคหน้า อาทิ โอกาสในการได้รับตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ เป็นต้น หากรัฐบาลของท่านนายกทักษิณยังคงไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายนี้อย่างรอบด้าน สิ่งที่ท่านได้ ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะสนับสนุนการทำงานด้านสิทธิมนุษชน ในการเป็นรัฐบาลรอบสองให้มากขึ้นอาจเป็นเพียงแค่สัญญาปากเปล่าที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง


หมายเหตุ ผู้เขียนเป็นแพทย์อาสาสมัครที่ทำงานร่วมกับคลินิกหมอซินเทีย (แม่ตาวคลินิก)