ผมเป็นชาวอเมริกันซึ่งเริ่มต้นสนใจเรื่องราวของคนกะเหรี่ยงตั้งแต่เมื่อ 35 ปีที่ผ่านมา ผมรับรู้เรื่องราวของคน กะเหรี่ยงครั้งแรกจากหนังสือนำเที่ยวเมื่อครั้งมาสอนหนังสือที่เมืองไทยระหว่างปี พ.ศ. 2513 - 2515 หลังจากนั้นได้กลับไปเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาวายประเทศสหรัฐอเมริกาและทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กะเหรี่ยง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจ ในประวัติศาสตร์ของคนกะเหรี่ยงอย่างจริงจังของผมมาจนถึงวันนี้
หมู่บ้านกะเหรี่ยงแห่งแรกที่ผมเดินทางไปเยือนคือหมู่บ้านแม่เตี๊ยะ ในเขตอำเภอแม่สะเรียง เป็นหมู่บ้านซึ่งคณะมิชชันนารี อเมริกันเคยไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“แม่สะเรียงที่รัก” โดยนำเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เกี่ยวกับชาวสมาริตันส์ ผู้ให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์อย่างมากมายมาเป็นพระเอกของเรื่อง โดยคัดเลือกชาวกะเหรี่ยงให้แสดงเป็นชาวสมาริตันส์
โดยส่วนตัวผมไม่ชอบหนังเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะผู้สร้างได้ลดทอนวัฒนธรรมของคนกะเหรี่ยงลงหลายอย่าง เช่น ผู้รับบทเป็นผู้นำชาวกะเหรี่ยงในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นนักแสดง ชาวไทยชื่อส.อาสนจินดา ใช้ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษากะเหรี่ยง และเครื่องดนตรีใช้แสดงกลับเป็นกีตาร์ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตะวันตก ไม่ใช่ “เตหน่า” อันเป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมของคนกะเหรี่ยง ภาพรวมของคนกะเหรี่ยงที่ออกมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนกับผู้ผลิตต้องการให้คนกะเหรี่ยงเป็นของแปลก มากกว่าที่จะทำความเข้าใจวิถีชีวิตและสังคมของชาวกะเหรี่ยงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของคนกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านนี้พวกเขาดูทุกฉากทุกตอนด้วยใจจดใจจ่อ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะลดทอนความเป็นคนกะเหรี่ยง แต่พวกเขาก็ยังรักมัน เพราะว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่พวกเขาได้ร่วมแสดงอยู่ด้วย ไม่ใช่มีแต่คนภายนอกเท่านั้น
ขั้นตอนถัดไปของการศึกษาเรื่องราวคนกะเหรี่ยงของผม คือ การพยายามค้นคว้าเกี่ยวกับคนกะเหรี่ยงให้มากที่สุด ทั้งจากตำรา เอกสาร และการสัมภาษณ์ ผมเริ่มเก็บข้อมูลสำหรับวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ในปี พ.ศ. 2519 ในช่วงเดียวกัน อเล็กซ์ ฮาเลย์ เพิ่งจะเขียนหนังสือที่ขายดีในเวลานั้นชื่อว่า“Roots” หรือ “รากเหง้า” เป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนย้อนรอยประวัติของบรรพบุรุษในอัฟริกาก่อนที่จะมาเป็นทาสในอเมริกา หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเกิดความคิดที่จะศึกษาคนกะเหรี่ยงในเชิงเดียวกันที่เมืองไทย
หลังจากนั้น ผมเริ่มศึกษาจากประวัติศาสตร์บอกเล่า (oral history) ที่สืบทอดกันมาของคนกะเหรี่ยง ผมค้นพบ ประเพณีที่น่าสนใจหลายอย่าง แม้ว่าข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ยังค้นพบน้อยมาก ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้จากคนกะเหรี่ยงเป็นการบอกเล่าประวัติศาสตร์ของตนโดยที่อ้างอิงกับตำนานเรื่องเด็กกำพร้าและเรื่องราวที่อธิบายว่าพวกเขาทำหนังสือสีทองของพระเจ้าหายไปได้อย่างไร ซึ่งประวัติดังกล่าวเป็นอดีตที่ไม่สามารถระบุกาลเวลาที่เกิดขึ้นได้
หลังจากนั้นผมได้เริ่มทำงานภาคสนาม โดยเริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ผู้นำหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงถึงประวัติความเป็นมาของครอบครัวเขาตั้งแต่รุ่นพ่อและรุ่นตัวเอง แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังไม่นำไปสู่การสืบค้นข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของความเป็นมา ของคนกะเหรี่ยงในดินแดนแถบนี้ เพราะคำตอบที่ได้รับเป็นเพียงคำตอบ“ใช่”และ“ไม่ใช่” โดยไม่มีการขยายความเพิ่มเติม
หลังจากนั้นผมเริ่มรู้ว่า ผมคงต้องอาศัยวิธีการอื่น ๆ ในการเก็บข้อมูลซึ่งพอจะมีข้อมูลอ้างอิงเชิง
ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคนกะเหรี่ยงอยู่บ้างเล็กน้อย การพยายามตามหาคนกะเหรี่ยงหลายพื้นที่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ตามพรมแดนไทย-พม่า เช่นที่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี หรือพื้นที่ชั้นในซึ่งทราบว่ามีคนกะเหรี่ยงอพยพมาอยู่เช่นที่จังหวัดเพชรบุรี ผมได้ติดตามไปพูดคุยสัมภาษณ์จนทำให้ ในที่สุด ผมสามารถมีข้อมูลมากพอจนเขียนวิทยานิพนธ์ได้สำเร็จ การศึกษาของผมต่อมาทำให้ความเข้าใจของผมที่มีต่อคนกะเหรี่ยงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้บค้นพบว่าแท้จริงแล้วคนกะเหรี่ยงเป็นกลุ่มประชากรดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้เก่าแก่พอ ๆ กับคนมอญเลยทีเดียว
ผมค้นพบว่ามีคนกะเหรี่ยงจำนวนมากอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและอิรวดีเป็นเวลานานหลายศตวรรษ และพวกเขามักจะหลบซ่อนตัวเองจากเพื่อนบ้านชาวไทยและชาวพม่า เมื่อมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เช่น การเกิดโรคติดต่อ พวกเขามักอพยพหนีเข้าไปอยู่ในป่า สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจแก่มิชชันนารีชาวอเมริกันชื่อบอร์ดแมน ดังข้อความที่เขาบันทึกไว้ว่า
คนกะเหรี่ยง...อาศัยอยู่กระจัดกระจายและหลายสถานที่ ส่วนใหญ่เข้าถึงได้ยาก ยกเว้นพวกเดียวกันเองและสัตว์ป่า เส้นทางที่นำไปสู่หมู่บ้านไม่เด่นชัด มีเพียงรอยทางเดิน ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่จำเป็นในการเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง...ไม่มีสะพานสำหรับ ข้ามแม่น้ำ พวกเรามักจะต้องลุยข้ามหรือว่ายข้ามลำธาร หลังจากผ่านความยุ่งยากในการเข้าถึงหมู่บ้านด้วยวิธีต่าง ๆ พวกเราได้พบบ้านประมาณยี่สิบถึงสามสิบหลัง และพบไม่ถี่นัก แค่หนึ่งหรือสองหมู่บ้านในช่วงระยะหลายไมล์
สุนทรภู่ กวีคนสำคัญของไทยก็เคยบันทึกเรื่องราวของ คนกะเหรี่ยงไว้ในโคลงนิราศสุพรรณด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อพบคนกะเหรี่ยง เขาบรรยายถึงชาวกะเหรี่ยงที่ได้พบระหว่างทางที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี หลายบท ตั้งแต่บทที่ 294 จนถึง 300 กว่า คำเรียกชาวกะเหรี่ยงที่สุนทรภู่เอ่ยถึงในหนังสือเล่มนี้คือ “เกรี่ยง” ดังตัวอย่างในบทที่ 321
“เหล่าเกรี่ยงเลี้ยงหนุ่มน้อย อ้อยแตง
มันเผือกเลือกจัดแจง จุดไต้
เดือนหนึ่งพึ่งรวงแสวง หวานฉ่ำ ล้ำเอย
เอมอิ่มยิ้มแย้มได้ เกรี่ยงด้วยช่วยระวังฯ”
ปัจจุบัน คนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จำนวนหลายล้านคนอาศัยในเขตประเทศพม่าและที่เหลืออีกจำนวนหลักแสนอยู่ในประเทศไทย เพราะเหตุผลทางการเมืองในพม่า ทำให้ตัวเลขประชากรกะเหรี่ยงที่อ้างถึงโดยกลุ่มกะเหรี่ยงและโดยทางการพม่าแตกต่างกัน โดยตัวเลขสำมะโนประชากรของทางการพม่า ได้ประมาณไว้ที่สองล้านคน ในขณะที่สหชนชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นยู ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองการทหารของชาวกะเหรี่ยง ที่ใหญ่ที่สุดบอกว่าประชากรกะเหรี่ยงทั้งหมดมีมากกว่า เจ็ดล้านคน ประมาณร้อยละเก้าสิบอาศัยอยู่ในพม่าและร้อยละสิบ อาศัยอยู่ในประเทศไทย
ไม่ว่าชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้จะถูกระบุว่ามีจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม พวกเขาได้อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มายาวนานกว่าหนึ่งพันปี บางทีอาจเกือบสองพันปีด้วยซ้ำไป นักภาษาศาสตร์หลายคน กล่าวว่า ภาษากะเหรี่ยงเก่าแก่มากจนไม่แน่ใจว่าจัดอยู่ในตระกูลภาษาใด และอาจเป็นไปได้ว่าชาวกะเหรี่ยงได้อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนคนไทยและคนพม่า และพอ ๆ กับกลุ่มคนมอญ-- เขมรซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแถบนี้เป็นกลุ่มแรก ๆ มีข้อมูลอ้างอิงบ้างเล็กน้อยที่เกี่ยวกับคนกะเหรี่ยงในจารึกของอาณาจักรพุกามในพม่าและในงานเขียนของล้านนา หนึ่งในงานชิ้นแรก ๆ ที่กล่าวถึงคนกะเหรี่ยงปรากฏในตำนานพระธาตุเจ้าหริภุญชัย จังหวัดลำพูน เมื่อปี พ.ศ. 1894 กล่าวถึงกลุ่มยางเปียง แถบบ้านห้วยหละในเขตอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน (ชาวไทยนิยมเรียกชาวกะเหรี่ยงว่า “ยาง” หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในป่า ซึ่งคนกะเหรี่ยงไม่ชอบให้เรียกเช่นนี้ เพราะรู้สึกเหมือนเป็นการดูถูก ส่วนคำว่า “กะเหรี่ยง” ในภาษาไทยมาจากคำในภาษามอญที่ออกเสียงว่า kariang เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ นักภาษาศาสตร์ยังระบุว่า ต้นกำเนิดของภาษากะเหรี่ยงที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในบริเวณที่เป็นรัฐคะยาห์ ของประเทศพม่าในปัจจุบัน (ตรงข้ามกับจังหวัดแม่ฮ่องสอนของประเทศไทย) แนวคิดทางภาษาศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากบริเวณใดมีความหลากหลายของสำเนียงภาษาถิ่นมากที่สุด บริเวณนั้นจะเป็นแหล่งกำเนิดของภาษานั้น ๆ ดังเช่น ภาษาอังกฤษมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ เพราะเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของสำเนียงภาษาอังกฤษมากที่สุด หากคุณเดินทางไปประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะที่เมืองหลวงซึ่งมีคนมากมายอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ คุณอาจพบว่าสำเนียงภาษาอังกฤษที่คุณได้ยินจากต้นถนนจนถึงสุดถนนสายหนึ่งมีความแตกต่างกันหลายสำเนียง เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาพิจารณากับภาษากะเหรี่ยงจะพบว่าบริเวณที่มีภาษากะเหรี่ยงหลากหลายสำเนียงมากที่สุดคือรัฐคะยาห์/คะเรนนี หรือที่คนไทยเรียกว่า กะเหรี่ยงแดงที่รัฐคะยาห์แห่งนี้จะมีภาษากะเหรี่ยงหลายสำเนียงที่เราไม่ค่อยคุ้นหู เช่น สำเนียงบะแว สำเนียงปาดอง (กลุ่มกะเหรี่ยงคอยาว) และสำเนียงหยิกบ่อ ที่นี่ได้ก่อให้เกิดภาษาพูดของกลุ่มภาษากะเหรี่ยงหลายสำเนียงในปัจจุบันกลุ่มภาษากะเหรี่ยงที่พบในประเทศไทยคือสะกอและโปว์ ชาวกะเหรี่ยงสะกอ มักเรียกตัวเองว่า “ปกากะญอ” ซึ่งมีความหมายว่า “คน” ส่วนชาวกะเหรี่ยงเผ่าอื่นมักเรียกตัวเองตามชื่อสำเนียงภาษาพูด เช่น โปว์ หรือ ปาดอง แต่ปัจจุบันชาวกะเหรี่ยงโปว์บางคนในประเทศไทยก็หันมาเรียกตัวเองว่า “ปกากะญอ” เช่นเดียวกัน
ความสัมพันธ์ไทย - กะเหรี่ยง
การตามหาคนกะเหรี่ยงครั้งทำวิทยานิพนธ์ทำให้ผมค้นพบว่าความสัมพันธ์ของคนกะเหรี่ยงกับคนไทยและคนพม่าดำเนินไปในรูปแบบอย่างไรในอดีตและเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในปัจจุบัน
เนื่องจากชาวกะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าลึก ชาวกะเหรี่ยงจึงพึ่งพาอาหารจากป่าและผลิตอาหารเพื่อยังชีพเป็นหลัก สิ่งที่คนกะเหรี่ยงผลิตไม่ได้คือเกลือ เมื่อต้องการสิ่งนี้ คนกะเหรี่ยงจะนำของป่ามาแลกกับเกลือจากคนในเมืองซึ่งกลัวการเข้าไปในป่าลึก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างชาวกะเหรี่ยงกับคนไทยที่อยู่ในเมือง หรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ต่างถิ่น ของป่าที่กะเหรี่ยงนำออกมา เช่น ไม้หอม ยาสมุนไพร และแร่ธาตุ และหากย้อนรอยดูสิ่งของที่ไทยส่งไปบรรณาการประเทศจีนในอดีตร้อยละ 80 - 90 จะเป็นของป่าที่มีคุณค่ามาก ซึ่งคนกะเหรี่ยงนำมาแลกกับสินค้าที่ตนผลิตไม่ได้
นอกจากจะนำของป่ามาแลกกับของจากคนไทยในเมือง ชาวกะเหรี่ยงในอดีตยังมีบทบาทสำคัญทางการเมืองระดับท้องถิ่นแถบพื้นที่ชายแดนเช่นกัน ชาวกะเหรี่ยงหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการสำคัญในราชอาณาจักรสยามตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา ดังเช่น เจ้าเมืองศรีสวัสดิ์ แถบสองแคว ชาวกะเหรี่ยงท่านนี้ได้รับพระราชทานนามว่า พระศรีสุวรรณคีรี โดยมีหลักฐานปรากฎชัดในหนังสือชื่อ “สมุดราชบุรี” ซึ่งจัดทำโดยมณฑลราชบุรี และลูกชายคนหนึ่งของท่านผู้นี้เคยเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองกาญจนบุรี นอกจากนี้ ยังมีชาวกะเหรี่ยงหลายคนในพื้นที่บริเวณชายแดนที่เคยทำงานในกรมอาทมาฏมีหน้าที่ส่งส่วยให้กับพระมหากษัตริย์ไทย และหลายคนบวชเป็นพระในวัดมอญใกล้กับอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวกะเหรี่ยงและชาวไทยในอดีตอีกรูปแบบหนึ่งคือการแต่งงาน อาทิเช่น การแต่งงานระหว่างเจ้าเมืองกับลูกสาวผู้นำกะเหรี่ยง หรือการแต่งงานระหว่างชาวไทย ผู้ได้รับสัมปทานป่าไม้กับสาวชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน รวมไปถึงการแต่งงานระหว่างเชลยชาวกะเหรี่ยงที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในเมืองชั้นในของไทยกับชาวไทยในพื้นที่ ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้เกิดการผสมกลมกลืนระหว่างกะเหรี่ยงกับคนไทยในเวลาต่อมา จนบางครั้งลูกหลานรุ่นหลัง ๆ หรือคนภายนอกอาจไม่รู้ว่าต้นตระกูลของครอบครัวนั้นเป็นคนกะเหรี่ยง ดังเช่น เจ้าชื่น สิโรรส ผู้บูรณะวัดอุโมงค์ ในจังหวัดเชียงใหม่ผู้มีมารดาเป็นคนกะเหรี่ยง และปรากฏว่าพระชื่อดังหลายองค์ของล้านนาก็มีเชื้อสายเป็นคนกะเหรี่ยงด้วยเช่นกัน อาทิ ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาว และครูบาวงศ์ เป็นต้น
แม้กระนั้นก็ตาม เรื่องราวของคนกะเหรี่ยงไม่ได้รับความสำคัญหรือถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ไทยมากนัก โดยเฉพาะประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา เรื่องที่ได้รับการบันทึกส่วนใหญ่มักจะเป็นวีรกรรมของพระมหากษัตริย์ไทย ส่วนเรื่องราวของคนกะเหรี่ยงจะพบในประวัติศาสตร์ล้านนาที่ชาวกะเหรี่ยงมีบทบาทอยู่ที่นี่มากกว่า
วีถีการผลิตของชาวกะเหรี่ยงซึ่งทำไร่หมุนเวียนโดยปลูกข้าวและพืชอื่น ๆ ในพื้นที่ผืนหนึ่งเพียงปีหรือสองปีแล้วเวียนไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง และจะย้อนกลับมายังผืนดินเดิมเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี วิธีนี้ทำให้ดินมีโอกาสฟื้นตัว สารอาหารเหล่านี้จะมีไว้สำหรับพืชไร่เมื่อที่ดินถูกเผาก่อนจะหว่านเมล็ด วิถีการผลิตดังกล่าวเริ่มกลายเป็นปัญหาเมื่อชาวอังกฤษเข้ามาในประเทศพม่าและไทยในช่วงศตวรรษที่ 19 พวกเขามองว่าวิธีทำไร่หมุนเวียนดังกล่าวว่าเป็นการทำลายพื้นที่ป่าอย่างมหาศาล และเมื่อมีการตั้งกรมป่าไม้ของไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2439 โดยมีชาวอังกฤษชื่อ H.Slade เป็นอธิบดีคนแรก แนวคิดต่อต้านการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงจึงเริ่มขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในความสัมพันธ์ไทย-กะเหรี่ยงที่ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า เมื่อประมาณสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้สองคน คือ สง่า สรรพศรี และ Paul Zinke จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ ซึ่งศึกษาการทำไร่หมุนเวียนของชาวลัวะและชาวกะเหรี่ยงจะยืนยันว่า ระบบการทำไร่หมุนเวียนแบบเดียวกันของทั้งสองชนเผ่าทำให้พืชพันธุ์ไม้ฟื้นคืนอย่างรวดเร็วและการสูญเสียดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าเนื่องจากมีการหมุนเวียนใช้ที่ดินทุกๆ สิบปี ระบบการผลิตดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบการผลิตที่ยั่งยืน และหมู่บ้านบางแห่งได้ปฏิบัติเช่นนี้สืบทอดกันมาในพื้นที่ดินเดิมเป็นเวลาหลายร้อยปี
อย่างไรก็ตาม ความคิดที่ต้องการอพยพชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าก็ยังดำเนินต่อไป เนื่องจากประชากรในพื้นที่ป่าขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ดินสำหรับการทำไร่หมุนเวียนจึงไม่เพียงพอ ความพยายามขับไล่คนกะเหรี่ยงออกจากป่าเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนหลายพื้นที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างคนกะเหรี่ยงและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ดังเช่น ความพยายามขับชาวกะเหรี่ยงออกไปจากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เพื่อ “รักษาป่ามรดกโลก” ซึ่งหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะถ้ารักษาป่าทุ่งใหญ่ฯ โดยไม่มีคนกะเหรี่ยง ที่นั่นก็คงไม่ใช่มรดกโลกอีกต่อไป
ความสัมพันธ์พม่า - กะเหรี่ยง
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างพม่า-กะเหรี่ยงมีจุดเริ่มต้นคล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กะเหรี่ยง แต่พัฒนาการของความสัมพันธ์มาจนถึงปัจจุบันนั้นต่างกันชัดเจน กล่าวคือ คนกะเหรี่ยงซึ่งอยู่ในป่าจะนำของป่ามาแลกกับสินค้าของคนพม่าที่อยู่ในเมือง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับคนไทยในอดีต เรื่องราวของคนกะเหรี่ยงในประวัติศาสตร์พม่ามีปรากฏอยู่ในศิลาจารึกที่เมืองพุกามประมาณ 2-3 หลัก โดยดินแดนแรกที่คนกะเหรี่ยงเข้ามาตั้งรกรากคือรัฐคะยาห์ ชาวพม่าจะเรียกชาวกะเหรี่ยงว่า “กะยิน” (Kayin) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “กะเหรี่ยง” (Karen) ในภาษาอังกฤษ เนื่องจากใช้ตัว “R” แทนตัว “Y” ในภาษาพม่า)
ความสัมพันธ์ระหว่างคนพม่าและคนกะเหรี่ยงเป็นในอดีตไปอย่างหลวม ๆ คือมีการส่งเครื่องบรรณาการจากผู้นำกะเหรี่ยงตามชุมชนต่าง ๆ ไปให้แก่ผู้นำพม่า แต่คนพม่าไม่ได้เข้ามาปกครองชุมชนกะเหรี่ยงเหมือนในปัจจุบัน ลักษณะการปกครองของชาวกะเหรี่ยงในอดีตจะมีผู้นำท้องถิ่นของตน แต่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเจ้าฟ้าเหมือนกับชาวไทยใหญ่ ผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้จะอยู่ในป่าและเป็นตัวแทนชาวบ้านรวบรวมเครื่องบรรณาการไปส่งให้ผู้นำพม่าเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์
ความขัดแย้งระหว่างคนกะเหรี่ยงและคนพม่าเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากคณะมิชชันนารีและชาวอังกฤษนำความคิดเรื่อง “ชาติ” เข้าไปในชุมชนกะเหรี่ยง โดยมองว่าหากชนเผ่าต่าง ๆ มีรัฐชาติและมีการปกครองตนเองแบบ “รัฐชาติ” ชนเผ่านั้น ๆ จะเข้มแข็งและมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ธงชาติกะเหรี่ยงผืนแรกถูกทำขึ้นในปี พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) โดยมิชชันนารีชื่อว่า Mrs. Mason บนธงชาติผืนนี้มีรูปพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พร้อมกับดาบ และมีตัวหนังสือภาษากะเหรี่ยง แต่ปรากฎว่าได้มีการส่งธงผืนนี้ไปที่คริสจักรในนครนิวยอร์กแล้วสูญหายไปจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของธงชาติกะเหรี่ยง ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือธงชาติของสหชนชาติกะเหรี่ยง
เรื่องราวและวัฒนธรรมของคนกะเหรี่ยงเริ่มได้รับความสนใจศึกษาจากคนภายนอกในช่วงทศวรรษ 1820 โดยเฉพาะจากคณะมิชชันนารี ซึ่งได้ดัดแปลงตัวอักษรภาษาพม่าในการแปลคัมภีร์ไบเบิ้ลสำหรับกะเหรี่ยงสะกอและโปว์ นอกจากนี้ ยังจัดทำหนังสือหลายเล่มที่เป็นแหล่งข้อมูลเชิงวัฒนธรรมของคนกะเหรี่ยง อาทิ สารานุกรมกะเหรี่ยง ซึ่งทำขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2390 - 2393 กล่าวถึงความรู้ ตำนาน บทกวี และวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์ภาษากะเหรี่ยงสะกอชื่อว่า Morning Star ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2386 ซึ่งนับเป็นเอกสารของชนเผ่าฉบับแรกสุดที่มีการตีพิมพ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเดินทางรอนแรมไปยังชุมชนกะเหรี่ยงของคณะ มิชชันนารีในประเทศพม่าทำให้ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมากขึ้นทุกที และทำให้ชาวกะเหรี่ยงมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งระหว่างชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่า เนื่องจากชาวกะเหรี่ยงที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในช่วงที่อังกฤษเข้ามาปกครองประเทศพม่า อาทิ นายทหารกะเหรี่ยงชื่อว่า สมิท ดูน (Smith Dun) ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพอังกฤษ - พม่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือนายแพทย์ชาวกะเหรี่ยงซึ่งถูกส่งให้ไปเรียนหนังสือที่รัฐนิวยอร์กก่อนจะกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำในสภาระหว่างปี พ.ศ. 2463 - 2483 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เซอร์ ซาน ซี โป (Sir. San C. Po) ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ได้รับตำแหน่งทางราชการระดับสูงกว่าชาวพม่าในช่วงที่อังกฤษปกครอง ทำให้ชาวพม่าเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะก่อนหน้าที่อังกฤษจะเข้ามาปกครองชาวกะเหรี่ยงเป็นเพียงชนเผ่าอาศัยอยู่ในป่าห่างไกลความเจริญ แต่ภายหลังกลับได้เป็นผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญในสังคม นอกจากนี้ยังมีชาวกะเหรี่ยงพุทธที่เป็นพระที่มีชื่อเสียงและผู้นำพม่าให้ความเคารพนับถือด้วย
ความขัดแย้งระหว่างชาวกะเหรี่ยงและพม่าเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจน หลังจากอังกฤษมอบเอกราชให้แก่ประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ชาวกะเหรี่ยงต้องการแยกดินแดนและมีประเทศเป็นของตนเอง ความขัดแย้งนี้ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
วันนี้ของชนเผ่ากะเหรี่ยง
ปัจจุบัน ชาวกะเหรี่ยงบางคนในพม่าเริ่มไม่รู้จัก “เตหน่า” เครื่องดนตรีพื้นเมืองของตนเองเสียแล้ว ผมเคยพบคนกะเหรี่ยงคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักคำว่า “เตหน่า” เขาบอกว่า “พวกเราได้สูญเสียวัฒนธรรมหลายอย่างไปแล้ว” ผมยังได้พบกับคนกะเหรี่ยงที่ลืมภาษาของตนเองไปแล้วก็มี เช่น ชาวกะเหรี่ยงในเมืองพเย (Prome) ประเทศพม่า ไม่สามารถพูดภาษากะเหรี่ยงได้แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันว่า “พวกเราเป็นคนกะเหรี่ยง” ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องคนกะเหรี่ยงกันมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทย พ่อหลวงจอนิ โอเดเชา และพ้อเลป่า ผู้นำกะเหรี่ยงที่มีชื่อเสียงได้พยายามบอกเล่าวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงแก่คนภายนอก นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีที่สามารถเล่นเตหน่าได้อีกหลายคน เช่น โซโลมอน ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ และยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมกะเหรี่ยงอีกหลายคนตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีไปจนถึงเชียงราย อีกทั้งยังมีงานศึกษาวิทยานิพนธ์ หนังสือ ซีดี และเทป ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนกะเหรี่ยงอีกมากมายออกสู่สาธารณะชน
บางที ในอนาคตพวกเราอาจจะได้เห็นชาวกะเหรี่ยงในภาพยนตร์ที่แต่งกายวัฒนธรรมกะเหรี่ยงและเล่นเครื่องดนตรีของชาวกะเหรี่ยงด้วยความภาคภูมิใจ และชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทยอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้คนกะเหรี่ยงในพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะในพม่า ที่ซึ่งวัฒนธรรมต่าง ๆ กำลังจะสูญหายไปเช่นกัน ผมมั่นใจว่าจะยังมีคนอีกมากมายรวมทั้งผมเองที่อยากจะศึกษาวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงต่อไป