ชีวิต ความหวัง และความใฝ่ฝันของผู้ต้องขัง

โดย โพกวา

“สงครามคือการเมืองที่นองเลือด การเมืองคือสงครามที่ไม่นองเลือด” การเป็นพลเมืองของรัฐหนึ่ง ๆ บนแผ่นดิน ย่อมต้องได้รับผลกระทบจากการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดแท้แต่ว่าความรุนแรงนั้นจะมากน้อยแค่ไหน และคำกล่าวข้างต้นเป็นจริงอย่างที่สุด



ข้าพเจ้าเป็นชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่บริเวณเมียวดี-เจนโด พ่อแม่เป็นผู้นำหมู่บ้าน บ้านของข้าพเจ้าเป็นบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก วัน ๆ ข้าพเจ้าจะเลี้ยงวัวควายตามไหล่เขา ทุ่งหญ้า ชีวิตช่วงเวลานั้นหวังเพียงว่าจะได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ เคลื่อนที่ตามฝูงสัตว์เลี้ยง ข้าพเจ้าเคยเห็นกลุ่มทหารผ่านไปมาบ่อย สิ่งที่น่ากลัวสำหรับการใช้ชีวิตในดินแดนที่ยังไม่สงบจากภัยสงครามคือ การถูกกดขี่ข่มเหงจากทหาร ชาวบ้านไม่อาจปฏิเสธการขอความร่วมมือจากทหารได้เลย เมื่อให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายหนึ่งไปและอีกฝ่ายหนึ่งรู้นั้นจะมาทำร้ายหรือทำลายเสบียงอาหารหรือสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ชีวิตชาวบ้านจึงเหมือนใบไม้ ไม่ว่าจะร่วงไปทางใดก็ล้วนแต่มีหนามอันแหลมคมคอยรองรับทิ่มแทง

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2001 เวลา 05.00 น. ได้มีทหารเข้าล้อมหมู่บ้านข้าพเจ้า ได้ลากบังคับชาวบ้านทุกคนมาที่กลางหมู่บ้าน จากนั้นได้แยกคนหนุ่ม ชายวัยกลางคน และแม่ของข้าพเจ้าพร้อมกับแม่เด็กหนุ่มอีกคน แล้วลากตัวออกจากหมู่บ้าน ไปท้ายหมู่บ้านแล้วยิง ชาวบ้านเหล่านั้นเสียชีวิตหมดโดยไม่สนใจเสียงร้องไห้และการร้องขอของชาวบ้านเลย เด็กที่เห็นทหารลากพ่อแม่ของตัวเอง อยากวิ่งไปกอดปานใจจะขาด แต่สิ่งที่ทหารทำคือใช้เท้า(ตีน) เขี่ยเด็กออกมายังกลุ่มชาวบ้านที่ร้องไห้กอดกันและจับเด็กไว้ แม่ที่วิ่งร้องขอชีวิตลูกของตัวเองก็ถูกเขี่ยทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนทหารที่ไม่ได้ลากชาวบ้านก็เผาทำลายบ้านเรือนยิงสัตว์เลี้ยง กระจัดกระจายไปหมดหลังจากนั้นได้จากไป ทิ้งไว้ซึ่งความเสียหาย ความโศกเศร้าเสียใจ จากนั้นชาวบ้านที่เหลือก็เก็บข้าวของที่พอมีค่า บางคนมีญาติต่างหมู่บ้านก็ไปขอพึ่งญาติ บางคนไม่มีญาติก็มุ่งหน้ามาเมืองไทย ในครั้งนั้น พี่น้องพ่อแม่ของข้าพเจ้าก็เสียชีวิตไปด้วยกัน 11 คน (ทหารที่เข้าทำลายมีประมาณ 80 กว่าคน) หลังจากที่ได้มีการร้องทุกข์ไป ได้มีทหารยศพันตรีมาสอบสวน แต่จนบัดนี้เรื่องก็หายเงียบไป การที่จะลุกขึ้นหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้นั้นก็เท่ากับตนเองต้องเป็นศัตรูกับผู้บริหารของตน การสังหารหมู่ยังมีมากมาย เพียงแต่ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นผดุงความยุติธรรม ถ้าท่านยังอยู่ฝั่งแม่น้ำเมย ท่านจะเห็นมีศพลอยน้ำมาเป็นประจำ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครสนใจ เพราะการจะสืบสวนนำคนผิดมาลงโทษนั้นต้องเผชิญกับอำนาจมืดที่ยากจะพบความสงบสุข สาเหตุที่ชาวบ้านอพยพหลบหนีเข้าเมืองไทยอันเป็นการหลบหนีความวุ่นวาย สงครามกลางเมือง ความแตกต่าง ทางการเมืองของทหารกะเหรี่ยงเอง และการต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ตราบใดที่บ้านเกิดยังคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม แม้จะต้องอยู่ศูนย์อพยพ ถูกจับ หรือขายแรงงานราคาถูก ๆ ก็จะไม่หันกลับไปอีก

ข้าพเจ้ายังรอคอยเสมอว่าเมื่อไรบ้านเกิดของตนเองจะสงบสุขสักทีจะได้กลับบ้าน ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง มีการศึกษา สวัสดิภาพต่าง ๆ และยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าผู้นำรัฐบาลจะต้องเป็นกลุ่มไหนหรือคนไหน ขอเพียงแต่การปฏิบัติต่อประชาชนเสมือนพลเมืองที่แท้จริง ไม่กดขี่ข่มเหง ให้การศึกษา ให้รัฐสวัสดิการ เวลานั้นทุก ๆ คนก็จะหันกลับมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองอีกครั้ง


ขอขอบคุณ
โพกวา



*หมายเหตุ - เมื่อเดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมา สาละวินโพสต์ได้ส่งจดหมายเชิญชวนให้ผู้ต้องขังเขียนบทความเข้าประกวดในหัวข้อ “ชีวิต ความหวัง และความใฝ่ฝันของผู้ต้องขัง”เพื่อตีพิมพ์ในคอลัมน์เล่าสู่กันฟัง ผลการประกวดมีจดหมายที่ผ่านการคัดเลือก 3 ฉบับ จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่สองของผู้ผ่านเข้ารอบ โดยข้อความทั้งหมดเป็นข้อความดั้งเดิมที่เขียนขึ้นเป็นภาษาไทยและไม่ได้ผ่านการดัดแปลงแก้ไขข้อความใด ๆ