โรงรับจำนำ : ทุคติอันดับที่สี่ของชาวพม่า

โดย วิรัช นิยมธรรม/ศูนย์พม่าศึกษา

ชาวพม่ากล่าวว่าสถานที่ที่ไม่เป็นมงคลต่อชีวิตและถือเป็นทางแห่งทุคติมี 3 แห่ง คือ โรงพยาบาล ศาล และสุสาน ดังนั้นหากเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆชาวพม่าจึงมักจะพยายามพึ่งพาตนเองด้วยการรักษาแบบพื้นบ้าน หากมีเรื่องคดีความก็ต้องวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้เรื่องถึงโรงถึงศาล และสุสานคือแดนของเหล่าวิญญาณที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ปัจจุบันยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ชาวพม่าไม่อยากเข้าไปข้องแวะเช่นกัน สถานที่นั้นคือโรงรับจำนำ ทุตข่องได้เขียนไว้ในวารสารเมียนมาธนะ ฉบับประจำเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1997 ว่าโรงรับจำนำเป็นทุคติที่ 4 ของชาวพม่าถือเป็นปรอทตัวใหม่ที่ใช้วัดความตกต่ำของชีวิต


อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้มีความจำเป็นในชีวิต โรงรับจำนำถือเป็นทางออกสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า ทุตข่องกล่าวว่าช่วงเวลาที่มีการจำนำกันสูงจะเป็นช่วงใกล้ฤดูทำนา ช่วงงานบุญ ช่วงเปิดเรียน และช่วงใกล้สอบ ซึ่งต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษให้กับลูกๆ ของที่จำนำมักได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องครัว ปิ่นโต จักรเย็บผ้า สามล้อ เครื่องมือช่าง คันไถ เครื่องสูบน้ำ ล้อเกวียน นาฬิกา สร้อยทอง พัดลม และจักรยาน เป็นต้น

ความคิดที่ผลักดันให้มีความสนใจต่อการตั้งโรงรับจำนำในประเทศพม่านั้น ทุตข่องได้โยงไปถึงกรณีกบฏชาวนา หรือ กบฎซะยาซัน ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1930 เหตุของกรณีกบฏซะยาซัน นั้นเกิดจากการที่นายทุนเงินกู้ชาวอินเดีย หรือที่รู้จักกันดีว่าชิตตี ปล่อยเงินกู้ให้กับชาวนาโดยเก็บดอกเบี้ยรายปี ที่จริงเงินที่ชิตตีนำมาให้ชาวนากู้นั้นเป็นเงินที่กู้มาจากธนาคารของรัฐ โดยกู้มาในอัตราเพียงร้อยละ 4 - 8 เท่านั้น แต่กลับนำมาให้ชาวนากู้ด้วยดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 15 - 20 และประกอบกับในช่วงเวลานั้นเกิดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ชาวนาจึงไม่อาจใช้หนี้คืนเจ้าของเงินกู้ได้ตามกำหนด ชาวนาจึงถูกยึดบ้าน ที่นา วัวควาย จนแม้แต่ลูกสาว ทำให้เกิดการลุกฮือของชาวนาเพื่อต่อต้านพวกนายทุนเงินกู้และรัฐบาลอาณานิคม เมื่อยุคชิตตีค่อยๆสลายไปพร้อมกับการสิ้นยุคอาณานิคมนั้น ก็ได้เกิดนายทุนเงินกู้กลุ่มใหม่แทรกขึ้นมาแทน พวกนายทุนกลุ่มนี้เป็นชาวจีนที่พม่าเรียกว่า เป้าก์ผ่อ

แปลว่า “สหาย,เกลอ” นายทุนชาวจีนปล่อยเงินกู้โดยเก็บดอกเบี้ย เป็นรายเดือน แต่ไม่ว่าจะเป็นชิตตีหรือเป้าก์ผ่อ ต่างก็คิดดอกเบี้ยสูงกว่าปกติเท่าตัว และมีรายงานว่าในช่วงปี ค.ศ.1950 ซึ่งเป็นช่วงหลังพม่าได้รับเอกราชแล้ว ชาวจีนเคยครองตลาดเงินกู้ถึงกว่า 80 % จากการเก็บดอกเบี้ยเงินกู้สูงในยุคชิตตีและเป้าก์ผ่อนั้น พม่าจึงมักเรียกดอกเบี้ยของชิตตีและเป้าก์ผ่อว่า ดอกเบี้ยโพโพอ่อง
หรือ ดอกเบี้ยปาฏิหาริย์ คำว่าโพโพอ่องนั้นเป็นนามของผู้วิเศษตามความเชื่อของชาวพม่า โพโพอ่องเคยแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการเขียนอักษร วะ ลงบนลานดินให้เจ้าชายผู้เป็นสหายลบ แต่เจ้าชายไม่อาจลบอักษรวะนั้นให้หายไปได้ หนำซ้ำพอยิ่งลบก็กลับมีอักษรวะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นทวีคูณ อิทธิฤทธิ์ของโพโพอ่องจึงถูกนำมาเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ในยุคนั้นว่าสามารถผุดเพิ่มได้ดุจอักษรวะของโพโพอ่องบนลานดิน เพราะนอกจากจะลบล้างเงินต้นไม่หายแล้ว ดอกเบี้ยยังกลับเพิ่มพูนได้อย่างไม่หยุดนิ่ง


อันที่จริงในยุคหลังกบฏซะยาซันนั้น ได้เคยมีผู้เสนอแนวทางการผ่อนปรนปัญหาความยากจนด้วยรูปแบบของโรงรับจำนำอย่างอินโดนีเซียที่มีมาก่อน แต่รัฐบาลอาณานิคมสมัยนั้นกลับไม่ได้ให้ความสำคัญที่จะคิดตั้งโรงรับจำนำเพื่อผ่อนคลายปัญหาปากท้องของคนยากจน โรงรับจำนำในพม่าเพิ่งมาเปิดเป็นบริการของรัฐหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชแล้ว โดยเริ่มทดลองเปิดเป็นแห่งแรกในปี ค.ศ.1952 ที่ย่านอีงเส่ง ชานเมืองย่างกุ้ง จากนั้นจึงขยายไปได้กว่าหนึ่งร้อยสาขาในช่วงปี ค.ศ. 1953 - 54 อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ากิจการโรงรับจำนำของรัฐจะราบรื่น เหตุเพราะมีปัญหาภายในระบบงานจนรัฐไม่อาจปล่อยให้มีการรับจำนำของหลายอย่าง อาทิ เสื้อผ้า เครื่องครัว นาฬิกา จักรยาน พัดลม แต่ยังคงรับจำนำทอง จนหนังสือพิมพ์เขียนล้อรัฐบาลยุคนั้นว่า “จะทำกินฝนก็แล้ง จะขโมยกินสุนัขก็เห่า ค้าขายก็ขาดทุน จะเขียนก็กลัวถูกฟ้อง จะเอาโสร่งเก่าไปจำนำก็ไม่มีใครรับ” โรงรับจำนำของรัฐจึงไม่ใช่ที่พึ่งแท้จริงของประชาชน

ในยุคปัจจุบันมีโรงรับจำนำทั้งแบบของรัฐบาล แบบของเอกชนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐ และแบบจำนำกับพวกนายทุนเถื่อน โรงรับจำนำของรัฐและเอกชนจะเก็บดอกเบี้ยไม่สูงมาก อาทิ หากเป็นสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า เครื่องครัว จะเสียดอกเบี้ย 10-12 % หากเป็นทองจะเสียดอกเบี้ย 4 - 5 % แต่โรงรับจำนำของรัฐและเอกชนมักยึดระเบียบที่หยุมหยิม จำนำได้เพียงบางสิ่ง ต่อรอง ได้ยาก และผัดผ่อนไม่ได้ ชาวบ้านจึงมักไปจำนำกับพวกนายทุนเถื่อน โดยยอมเสียดอกเบี้ยสูงกว่า อาทิ หากเป็นของใช้จะเก็บดอกเบี้ย 15 - 20% หากเป็นพัดลม เครื่องเล่นเทป หม้อหุงข้าว จักรเย็บผ้า นาฬิกา และจักรยานจะเก็บดอกเบี้ย 10 % แต่ถ้าเป็นทองจะคิดดอกเบี้ย 5 - 7 %

เล่ากันว่าพวกนายทุนเถื่อนที่รับจำนำนั้น มักมีวาจาร้ายกับลูกค้าจนๆ จนมีการตั้งฉายาให้กับนายทุนเถื่อนว่าเป็นพวกปากอะเมจาง หรือ ผรุสวาทเทวี คำว่าอะเมจางหมายถึงผีนัตผู้หญิงตนหนึ่งตามความเชื่อของชาวพม่า นัตตนนี้มีหน้าตาบึ้งตึง วาจาหยาบกระด้าง ชอบนั่งในท่าชันสองเข่า ในมือคีบบุหรี่ขี้โย ท่าทางของอะเมจางคงดูคล้ายกับนายทุนเถื่อนที่นั่งเฝ้าสมบัติอยู่กับบ้าน บ้างนินทากันอีกว่าหากชาวบ้านจนๆนำของด้อยค่ามาจำนำซึ่งอาจมีค่าพอกับค่าข้าวค่ายาเพียงหนึ่งมื้อ สีหน้าของนายทุนเถื่อนก็จะตึงราวกับหนังหน้ากลองที่ผึ่งแดด แต่หากของที่นำมาจำนำเป็นทอง สีหน้าของนายทุนเถื่อนที่ปกติจะหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็จะพลันแช่มชื่นทันตา

การที่ชาวบ้านนิยมจำนำของกับนายทุนเถื่อนแทนที่จะไปใช้บริการกับโรงรับจำนำของรัฐนั้น ก็คงด้วยเบื่อระเบียบที่ยุ่งยาก และอีกเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะความรู้สึกอับอายที่ต้องตากหน้าเข้าโรงรับจำนำซึ่งตั้งอยู่ในที่เปิดเผย โรงรับจำนำจึงถูกจัดให้เป็นทุคติอันดับที่ 4 ของชาวพม่า เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คนพม่าไม่อยากเข้าใกล้