โดย หมอวิทย์
นางเอชา(ชื่อสมมุติ) เป็นแรงงานชาวไทยใหญ่ ไปโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการไข้และขาซ้ายบวมมาสามวันแล้ว เธอพยายามรักษาด้วยตนเองแต่อาการกลับหนักมากขึ้นจนเป็นอุปสรรคต่องานกวาดถนนในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นงานประจำของเธอ เธอขอลาหยุดงาน 1 วันเพื่อไปพบแพทย์ แม้ว่าเธอจะอพยพจากบ้านเกิดที่เมืองนายทางภาคกลางของรัฐฉาน ประเทศพม่ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่แพทย์ก็ยังสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเธออาจจะป่วยเป็นโรคมาลาเรียมากกว่าโรคอื่นๆ เพราะเป็นโรคที่ระบาดในประเทศพม่า แพทย์ได้ขอเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อมาลาเรียแต่ผลการตรวจไม่พบเชื้อดังกล่าวแต่อย่างใด
แต่ว่า เจ้าหน้าที่วัยหนุ่มประจำห้องทดลองสังเกตเห็นว่าเม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ เขาไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็นจึงส่งผลการตรวจไปให้หัวหน้าช่วยดูเพื่อความแน่ใจ ผู้มีประสบการณ์ผ่านงานอบรมด้านพยาธิวิทยาตลอดเวลา 40 ปี แสดงท่าทีตกใจต่อสิ่งที่เห็นใน จอภาพกล้องจุลทรรศน์ เพราะนี่คือครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่เขาได้จ้องมองเชื้อโรคเก่าที่เคยรู้จักกันดี แต่เชื่อกันว่าหมดไปจากเขตเมืองใหญ่ของประเทศไทยแล้ว เชื้อโรคนี้คือ “Wuchereria Bancrofti” ซึ่งก่อให้เกิดโรคเท้าช้างนั่นเอง
โรคเท้าช้างจะติดต่อไปยังผู้อื่นโดยถูกยุงที่มีเชื้อโรคดังกล่าวกัด เมื่อเชื้อดังกล่าวเข้าไปอยู่ในร่างกายของมนุษย์ มันจะอาศัยอยู่ในระบบต่อมน้ำเหลือง หลังจากนั้นจะให้กำเนิดตัวอ่อน ซึ่งจะอพยพกลับเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดอีกครั้ง จากนั้นเมื่อมียุงมากัด ยุงก็จะติดเชื้อและเป็นพาหะนำเชื้อโรคเท้าช้างไปแพร่ยังคนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ หมุนเวียนเป็นวัฎจักรเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบต่อมน้ำเหลืองจะถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เกิดอุปสรรค ต่อการระบายน้ำเหลืองและก่อให้เกิดอาการบวมเรื้อรังในที่สุด
ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับเชื้อแล้วจะเกิดอาการซับซ้อนเช่นนี้ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใด ๆ บางคนมีแค่อาการปวดเมื่อย บวม ๆ หาย ๆ และมีไข้เป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับนางเอชา ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อวัฎจักรการแพร่กระจายเชื้อ เพราะยุงจะนำเชื้อโรคจากผู้ติดเชื้อไปแพร่กระจายต่อคนอื่นในชุมชนใกล้เคียงได้ต่อไป
แม้โรคเท้าช้างจะไม่มีอันตรายถึงขั้นทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ นับเป็นโรคร้ายแรงอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดความพิการได้ โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ติดเชื้อโรคเท้าช้างจะมีประสิทธิภาพในการทำงาน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ติดเชื้อร้อยละ 20 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ดังเช่นประเทศอินเดียซึ่งมีผู้ป่วยโรคเท้าช้างสูงถึงร้อยละ 40 ของผู้ป่วยทั่วโลก ต้องเผชิญกับการสูญเสียเงินเพื่อรักษาและการขาดโอกาสสร้างรายได้จากการทำงานถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โรคเท้าช้างจะพบในประเทศที่กำลังพัฒนาโดยเฉพาะบริเวณสังคมชายขอบ ห่างไกลจากการพัฒนาของภาครัฐ แม้ว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพจะช่วยฆ่าตัวเชื้อในร่างกายและยับยั้งไม่ให้เกิดอาการเรื้อรังหรือสาหัสได้ แต่หากปล่อยให้อวัยวะขยายหรือบวมออกไปแล้ว อวัยวะเหล่านี้ก็จะไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การรักษายังคงมีเป้าหมายที่สำคัญคือการลดจำนวนผู้ติดเชื้อซึ่งจะส่งผลให้ยุงมีโอกาสติดเชื้อน้อยลง เพื่อขัดขวางวงจรการแพร่กระจายเชื้อไปยังคนต่อไป ปัจจุบัน กระบวนการรักษาโรคเท้าช้างที่ใช้กันทั่วโลกเป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและวิธีการรักษาทำได้ง่ายโดยการให้กินยาในระยะเวลาไม่นาน โรคดังกล่าวจึงหมดไปจากเขตเมืองของประเทศไทย
อย่างสิ้นเชิงเป็นเวลานานหลายสิบปีมาแล้ว ความสำเร็จ ดังกล่าวเป็นผลมาจากนโยบายการรักษาโรคที่มุ่งไปยังผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อร้อยละ 80
อย่างไรก็ตาม หากมองไปยังประเทศพม่าซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย โรคเท้าช้างกลับยังคงมีอยู่เกือบทุกพื้นที่ รายงานซึ่งถูกส่งไปยังองค์การอนามัยโลก(WHO) เปิดเผยว่าประเทศพม่ามีผู้ติดเชื้อโรคเท้าช้างถึง 2 ล้านรายต่อปี นับว่าเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยมีสัดส่วนมากกว่าประเทศไทยถึง 2,500 เท่า อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวน่าจะต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในรัฐฉานและรัฐกะเหรี่ยงซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลเรื่องการระบาดของโรคเท้าช้างแต่อย่างใด โอกาสที่จะยับยั้งการระบาดของโรคในประเทศพม่าในอนาคตยังคงมีน้อย เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ที่ได้รับการรักษาเพียงร้อยละ 4 ของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งหมดเท่านั้น
โรคเท้าช้างเป็นหนึ่งในหลาย ๆ โรคที่ย้ำเตือนความจริงที่ว่า ประเทศพม่าใช้เงินเพียงร้อยละ 0.19 ของรายได้มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP กับงานด้านสาธารณสุข ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของงบประมาณประเทศ ส่งผลให้พม่าเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขอยู่ในอันดับรองสุดท้าย มีเพียงประเทศซีรา ลีออง ในทวีปแอฟริกา ที่อยู่รั้งท้ายต่อจากประเทศพม่าเท่านั้น ขณะที่งบประมาณกว่าร้อยละ 40 ของประเทศพม่ากลับหมดไปกับการพัฒนากองทัพ
ก่อนหน้านี้ พื้นที่เขตใจกลางเมืองต่าง ๆ ของประเทศไทย ไม่เคยปรากฏว่ามีโรคเท้าช้างมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จะพบเฉพาะในเขตจังหวัดชายแดนทางตะวันตก เช่น ตาก แม่ฮ่องสอนและกาญจนบุรีเท่านั้น โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อพยพมาจากประเทศพม่า ผลการสำรวจแรงงานในโรงงานในอำเภอแม่สอด ซึ่งจัดทำโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า มีผู้ติดเชื้อร้อยละ 4.4 โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เพิ่งอพยพเข้ามาจากประเทศพม่า ซึ่งทั้งหมดไม่แสดงอาการ พบเพียงเชื้อจากการตรวจเลือดเท่านั้น กลุ่มวิจัยเดียวกันยังพบอีกว่า ยุงที่อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยสามารถเป็นพาหะนำโรคเท้าช้างสายพันธุ์ที่พบในผู้อพยพมาจากพม่าได้ ซึ่งนั่นหมายความว่ายุงเหล่านี้สามารถนำโรคเท้าช้างกลับมาแพร่กระจายในประเทศไทยตามพื้นที่ใจกลางเมืองได้อีกครั้ง รอแต่เพียงให้มีจำนวนคนติดเชื้อมากขึ้นเพื่อเริ่มวงจรการระบาดอีกครั้ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจหากพบผู้ติดเชื้อดังกล่าวใน เขตเมือง อย่างเช่นกรณีนางเอชา แรงงานในเชียงใหม่ เพราะชายแดนไทย - พม่าเป็นชายแดนที่ผู้อพยพมากที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปเอเชีย
ผู้อพยพเหล่านี้ได้หนีสภาพเศรษฐกิจที่ล่มสลายและ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจากบ้านเกิดของตนในประเทศพม่า โดยเฉพาะในรัฐฉานและรัฐกะเหรี่ยงซึ่งมีแนวชายแดนติดกับไทยต้องได้รับผลกระทบจากนโยบายตัดสี่ (Four Cuts policy) ของตั๊ดมะดอว์ (กองทัพรัฐบาลทหารพม่า) ที่ใช้การเข่นฆ่า การข่มขืน การบังคับย้ายถิ่นฐาน และการยึดพืชผล เป็นเครื่องมือในการทำลายชนกลุ่มน้อย เฉพาะจากรัฐฉานมีผู้คนจำนวนนับแสนหนีเข้ามายังประเทศไทย โดยกลุ่มล่าสุดมาจากรัฐฉานตอนกลางและตอนใต้ รวมไปถึงอำเภอเมืองนาย บ้านเกิดของนางเอชา พื้นที่ที่ต้องเผชิญกับการกระทำที่โหดร้ายโดยเอสพีดีซีหรือรัฐบาลทหารพม่า แต่ในประเทศไทยไม่มีค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการสำหรับผู้อพยพที่มาจากรัฐฉาน ที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น อาหาร การศึกษา และการให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งต่างจากผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงและคะเรนนี(กะเหรี่ยงแดง) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยใหญ่ต้องเข้ามาทำงานในเมืองอย่างผิดกฎหมาย
สถานะที่ผิดกฎหมายของผู้ลี้ภัยเหล่านี้ทำให้โอกาสทางการศึกษาในโรงเรียนไทย และโอกาสในการรับการบริการทางการแพทย์ถูกจำกัด มิหนำซ้ำยังมีอุปสรรคอื่น ๆ เช่นภาษาอีกด้วย แม้ว่าผู้อพยพที่ลงทะเบียนใบอนุญาตทำงานจะได้รับการรักษาโรคเท้าช้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการตรวจโรค แต่ยังมีผู้อพยพอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียน
การเข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์ของผู้ลี้ภัยเหล่านี้และการไม่สามารถเข้าไปแก้ต้นเหตุของการอพยพจึงเป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าโรคเท้าช้างจะกลับมาปรากฏในเขตเมืองของประเทศไทยควบคู่ไปกับโรคอื่น ๆ เช่น เอดส์ วัณโรค และโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขาดสิทธิและการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาและการรักษาพยาบาลเบื้องต้น
แม้ว่าการพบคนติดเชื้อโรคเท้าช้างในตัวผู้อพยพมาจากรัฐฉานที่ทำงานอยู่ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่จะมีเพียงรายเดียวแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อประเทศไทยที่จะต้องเฝ้าระวังในเรื่องนี้ และน่าจะนำมาพิจารณาและทบทวนนโยบายกับพม่า เช่น นโยบายการสนับสนุนให้สร้างเขื่อนท่าซางบนแม่น้ำสาละวิน ในรัฐฉาน โดยชี้ว่าเป็นการลดค่าไฟฟ้าในประเทศไทยลงประมาณ 31 พันล้านบาทต่อปี
เมื่อสร้างเขื่อนท่าซางเสร็จ เขื่อนแห่งนี้จะกลายเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความสูงถึง 188 เมตรที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 3.6 เมกกะวัตต์ โดยไฟฟ้าส่วนใหญ่จะถูกนำมาขายให้ประเทศไทย เขื่อนแห่งนี้จะก่อให้เกิดน้ำท่วมประมาณ 530-640 ตารางกิโลเมตร
นอกจากนี้ยังมีเขื่อนอีก 2 แห่งคือ เขื่อนเว่ยจีและเขื่อนดา-กวินที่มีแผนการสร้างบนแม่น้ำสายเดียวกันนี้บนพรมแดนระหว่างรัฐกะเหรี่ยงของพม่าและจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทย โดยจะใช้งบประมาณกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยวางแผนเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับไทยภายในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งจะทำให้เกิดพื้นที่น้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนทั้ง 2 แห่งนี้ถึง 1,000 ตารางกิโลเมตร การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรงที่สุดซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการอพยพของคนจำนวนมหาศาลจากรัฐฉานเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีทหารอยู่จำนวนมากใกล้กับเขื่อนท่าซาง ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่นางเอชาจากมา ประชาชนที่อยู่ในบริเวณนี้ต้องเผชิญกับการถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน สูญเสียที่นาและวิถีชีวิตเดิม การบังคับใช้แรงงาน ซึ่งได้กลายเป็นแบบแผนการทำงานของรัฐบาลทหารพม่าในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อย กองทัพพม่ายังคงกระทำการละเมิดทางเพศอย่างรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่นี้ ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของมาตรการปราบปรามชนกลุ่มน้อย โครงการสร้างเขื่อนในรัฐฉานได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของกำลังทหารพม่าในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงมากขึ้นรวมทั้งยังนำไปสู่การหลั่งไหลของผู้อพยพจากประเทศพม่าเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
โครงการดังกล่าวไม่มีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบในด้านสุขอนามัยของประชาชนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบการติดเชื้อโรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออก และโรคเท้าช้าง ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดในพื้นที่เขื่อนทั้งสามแห่ง
ตัวอย่างการแพร่ระบาดโรคที่เกิดจากยุง ที่เป็นผลเกี่ยวเนื่อง มาจากการสร้างเขื่อนมีให้เห็นอยู่มากมาย เช่น โรคมาลาเรียในหลายพื้นที่สร้างเขื่อนทั่วโลก เป็นต้น การที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าในโครงการเขื่อนขนาดใหญ่เหล่านี้จึงเป็นเสมือนการเดิมพันสุขภาพของประชาชนไทยเพื่อแลกกับไฟฟ้าที่คาดว่ามีราคาถูก นอกจากนี้ การขาดโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษาและบริการทางการแพทย์สำหรับผู้อพยพจากประเทศพม่า และการถูกตีตราว่าเป็น "พาหะ" นำโรคและถูกรังเกียจจากคนไทย นับเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในอนาคต
ถึงที่สุดแล้ว ราคาความเสียหายที่เราต้องจ่ายให้กับสิ่งที่เรามองไม่เห็นในวันนี้ เช่นการกลับมาของโรคร้ายบางชนิด หรือการทวีความรุนแรงขึ้นของการระบาดของโรคที่มีอยู่แล้ว อย่างเช่น โรคเอชไอวี/เอดส์ อาจมากกว่าเงินที่ได้จากการประหยัดค่าไฟฟ้าหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่รัฐบาลไทยคาดว่าจะได้รับจากการร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าในวันนี้หลายเท่า