แม้ว่าประชาชนพม่าจะถูกปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกทางความคิดอย่างเข้มข้น แต่อาชีพนักเขียนก็ยังเป็นอาชีพ ที่หลายคนใฝ่ฝันและพยายามก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ตนใฝ่ฝันด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามมากมายทั้งค่าต้นฉบับที่ได้จำนวนน้อยนิดสวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลายคนต้องประกอบอาชีพอื่นเพื่อหารายได้เลี้ยงปากท้องในแต่ละวันและใช้เวลาที่เหลือทำงานเขียนที่ตนรักต่อไป นักเขียนหนุ่มแห่งกรุงมัณฑะเลย์ทั้งสามคนที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นหนึ่งในบรรดานักเขียนชาวพม่าที่ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้อย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งสามารถไปถึงปลายทางที่ใฝ่ฝันไว้ได้ในที่สุด
ขิ่นอ่องวิน (Khin Aung Wint) นักเขียนหนุ่มใหญ่วัย 40 ปี ใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาวิชาเอกภาษาพม่า มหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ ด้วยบุคลิกเป็นคนตลก มองโลกในแง่ดี ชอบฟังเรื่องราวและสังเกตวิถีชีวิตผู้คนในชีวิตประจำวัน เขามักนำเรื่องราวที่พบเห็นมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือในรูปแบบของเรื่องสั้นเชิงเสียดสีสังคมเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกกดดันต่อปัญหาสังคมพม่าที่เรื้อรังมายาวนาน ชีวิตอันแร้นแค้นของประชาชนพม่าที่เขาพบตั้งแต่เด็กจนโตได้กลายมาเป็นวัตถุดิบ สำคัญในงานเขียนของเขา
ด้วยใจรักในงานเขียน เขาจึงไม่ต้องการใช้เวลาหมดไปกับการทำงานอื่น เขาโชคดีได้แต่งงานกับผู้หญิงที่รักและเข้าใจในความฝันของเขา ภรรยาของเขาเปิดร้านขายของชำเล็กๆเพื่อเป็นรายได้หลักเลี้ยงดูครอบครัว แม้ว่าเขาจะเขียนบทความและเรื่องสั้นส่งไปลงตามนิตยสารต่างๆและถูกปฏิเสธต้นฉบับครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานเขียนของตนต่อไป
หลังจากเฝ้ารอถึง 5 ปี ในปี พ.ศ. 2533 ความฝันของเขาก็กลายเป็นความจริงเมื่อนิตยสารฉบับหนึ่งตีพิมพ์ผลงานของเขาพร้อมกับจ่ายค่าต้นฉบับชิ้นแรก 1,000 จั๊ต (ประมาณ 30 บาทเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนักเขียนอย่างเต็มตัว
เขายกตัวอย่างเรื่องสั้นเสียดสีชีวิตอันแร้นแค้นในพม่าว่า ทุกคนต่างมุ่งมั่นกับการหาเลี้ยงปากท้องให้อยู่รอดในแต่ละวันจนทำให้ผัวเมียไม่มีอารมณ์บอกรักหรือแสดงความโรแมนติกให้กัน เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านสมัยเรียนมัธยม เป็นเรื่องราวของผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง ฝ่ายผัวเป็นคนโรแมนติก ชอบบอกรักเมียทุกวัน แต่เมียเป็นคนไม่ชอบแสดงออกเรื่องนี้ ทุกๆวัน ผัวจะต้องปีนขึ้นไปเก็บปาล์มลงมาขาย
ก่อนขึ้นต้นปาล์ม ผัวมักจะถามเมียว่า "รักฉันไหม" ฝ่ายเมียไม่เคย ตอบและมักบอกให้ผัวรีบขึ้นไปเก็บปาล์มลงมาขายเร็วๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผัวเกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงมาจากต้นปาล์มอาการสาหัสปางตาย ฝ่ายผัวยังคงเฝ้าถามคำถามเดิมด้วยลมหายใจแผ่วเบา แต่เมียสุดที่รักก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเท่านั้นเป็นคำตอบก่อนที่ผัวจะหมดลมหายใจในอ้อมกอดของตน
ปัจจุบันขิ่นอ่องวินเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกรุงมัณฑะเลย์ มีผลงานเขียนประจำในนิตยสาร 5 ฉบับ และเรื่องสั้นแนวเสียดสีและมุขตลกอย่างละเล่ม แม้ว่ารายได้จะ ยังคงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่ด้วยความรักและเข้าใจของภรรยา ทำให้เขาไม่ต้องพบกับแรงกดดันในการแบ่งเวลาจากงานเขียนหนังสือไปหารายได้เสริมช่วยครอบครัวเหมือนกับนักเขียนอีกหลายคน เขาจึงโชคดีที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าได้ทำงานที่เขารักทุกวัน
ตรงกันข้ามกับโซอ่อง (Soe Aung) นักเขียนหนุ่มใหญ่วัย 46 ปี เขาเลือกใช้ชีวิตโสดเพื่อไม่ต้องพบกับแรงกดดันในครอบครัว และทำงานกรรมกรแบกหามเพื่อนำเงินมาเลี้ยงปากท้อง ในแต่ละวัน รวมทั้งเก็บเงินเพื่อพิมพ์หนังสือรวมเล่มผลงานของตนเองแทนการรอคอยการติดต่อจากสำนักพิมพ์
เนื่องจากพ่อของเขาเป็นนักอ่านหนังสือ ภายในบ้านจึงมี หนังสือมากมายให้เลือกอ่าน เขาซึมซับนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ให้คนอื่นได้อ่านเมื่อเติบใหญ่ ผลงานเรื่องแรกได้รับการตีพิมพ์เมื่ออายุประมาณ 24 ปี เขาย้อนอดีตให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในงานเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกให้ฟังว่า
โซอ่องบอกว่า เขาเลือกทำงานกรรมกรแบกหามเพื่อเก็บเงินมาเขียนหนังสือเพราะทำให้เขาได้เข้าใจชีวิตอันเหนื่อยยากของชนชั้นกรรมกร รวมทั้งยังกลายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการเขียนหนังสือของเขาอีกด้วย ผลงานนวนิยายพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกของเขาเป็นเรื่องราวสะท้อนชีวิตจริงของกรรมกรในเมืองหยกที่รัฐคะฉิ่น เขาเดินทางไปเก็บข้อมูลโดยทำงานเป็นกรรมกรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ใช้เวลาเก็บข้อมูลและเก็บเงิน 100,000 จั๊ต (ประมาณ 3,000 บาท) จากการทำงานกรรมกรในเหมืองเป็นเวลา 4 ปี ผลงานที่รอคอยจึงเผยแพร่ออกมาสู่ผู้อ่าน เขาดำเนินการ ติดต่อวางแผงตามร้านขายหนังสือด้วยตนเอง แม้จะรู้ล่วงหน้าว่า
รายได้จากการขายอาจไม่เพียงพอกับเงินที่ลงทุนไป แต่เขาก็มีความสุขที่ได้คิดและเขียนงานที่รัก และพร้อมจะทำงานเก็บเงินจากอาชีพกรรมกรแบกหามควบคู่กับการเขียนหนังสือต่อไป
นักเขียนหนุ่มแห่งกรุงมัณฑะเลย์ท่านหนึ่งซึ่งมุ่งมั่นบนเส้นทางสายนี้มานานยาวนานเช่นกัน เขาใช้นามปากกาว่า โมชาน และ ลามินเต็ด สำหรับงานเขียนในนิตยสาร 2 ฉบับ เขาสนใจ ขีดๆ เขียนๆ ตั้งแต่เรียนหนังสือเกรด 5 (เทียบเท่า ป. 5) และเริ่มส่งบทกวี เรื่องสั้นไปลงตามนิตยสารต่างๆ ซึ่งต้องรอคอยเป็นเวลานาน 10 กว่าผลงานชิ้นแรกจะได้รับการตีพิมพ์และยังคง จดจำความรู้สึกวันนั้นได้เป็นอย่างดี
"ตอนนั้นผมอยู่ในหมู่บ้านชนบท ทุกๆ เดือนจะมีบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย ผมออกไปยืนรอทุกๆ ครั้ง แต่ก็ไม่มีเอกสารส่งถึงผม จนกระทั่งวันหนึ่ง มีจดหมายถึงผมจ่าหน้าซองเป็นนามปากกาที่ผมใช้เขียนเรื่อง ผมจึงรู้ทันทีว่าผลงานของผมได้ตีพิมพ์พร้อมกับค่าต้นฉบับ 1,500 จั๊ต ผมดีใจวิ่งไปบอกพ่อแม่และเพื่อนๆ ไปทั่วหมู่บ้าน"
ปัจจุบัน เขามีอาชีพเป็นนักเขียนบทความให้กับนิตยสารหลายฉบับ รวมทั้งมีผลงานรวมเล่มเรื่องสั้นแนวเหนือจริง ซึ่งกำลังจะวางแผงเร็วๆ นี้
จนถึงวันนี้ แม้นักเขียนทั้งสามคนจะได้ทำงานเขียนที่ตนรัก แต่พวกเขาต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังต้องเผชิญกับรายได้ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ รวมทั้งตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ในพม่ายังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ ประชาชนในชนบทซึ่ง เป็นประชากรส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้หนังสือ รวมทั้งไม่มีเงินมากพอสำหรับซื้อหนังสือมาอ่านเป็นงานอดิเรก สิ่งที่ทำให้พวกเขายังคงก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ได้คือความสุขที่ได้ถ่ายทอดความคิดของเขาออกมาเป็นตัวหนังสือรูปร่างกลม ๆ ให้คนอื่นได้อ่านเท่านั้นก็พอ
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 36 (1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2550)