หลวงพ่ออุตตมะ พระอริยะของชาวมอญสองแผ่นดิน

เอกภพ ดัสต์

ศาสนาพุทธสอนว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาโลก เพื่อให้คนเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมติต่างๆจนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทว่าในเช้าวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา ข่าวการ มรณภาพของพระราชอุดมมงคล หรือ หลวงพ่ออุตตมะ นำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่พุทธศาสนิกชนชาวมอญและไทยจำนวนมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายมอญในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งยึดถือหลวงพ่อเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจด้วยแล้ว การละสังขารของท่านจึงเป็นการสูญเสียที่ยากจะตัดอาลัย


จากแผ่นดินมอญสู่ไทย

หลวงพ่ออุตตมะมีนามเดิมชื่อเอหม่อง ถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2453 ณ หมู่บ้านมุกกะเหรี่ยง เขตเมืองเย รัฐมอญ ประเทศพม่า บิดามารดามีอาชีพทำไร่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 12 คน หลังเรียนหนังสือจนถึงอายุ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเกลาสะ เมืองเย ได้ศึกษาภาษาบาลี และพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมโท ต่อมาจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเกลาสะ ได้รับฉายาว่า "อุตตมรัมโภ" แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด โดยได้ตั้งเจตจำนงที่จะบวชไม่สึกจนตลอดชีวิต

หลังสอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยคซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศพม่า อุตตมะรัมโภภิกขุได้ออกปฏิบัติธรรม ด้วยการเที่ยววิเวกไปตามป่าเขา หยุดพักปักกลดวิปัสนากรรมฐานไปในหลายพื้นที่แถบเทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาในรัฐฉานภาคเหนือ และเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกทาง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2486 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะออกธุดงค์ไปตามพื้นที่ป่าเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน จากนั้น จึงธุดงค์กลับไปยังพม่า

ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และการประกาศเอกราชของพม่าจากอังกฤษ ความขัดแย้งระหว่างขบวนการชาติ-นิยมชาวมอญกับรัฐบาลพม่าก็ปะทุขึ้นทันที ชาวมอญที่หวาดกลัวการใช้อาวุธปราบปรามโดยกองทัพพม่าโดยเฉพาะในเขตชายแดนทยอยกันลี้ภัยเข้ามายังเขตอำเภอสังขละบุรีและอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่ออุตตมะและพระลูกศิษย์ลูกหาหลายรูป จากรัฐมอญเข้ามาจำพรรษาในประเทศไทยอีกครั้งในช่วงดังกล่าวเช่นกัน โดยหลวงพ่ออุตตมะได้ศึกษาภาษาไทยขณะจำพรรษา ณ วัดต่างๆในเขตจังหวัดราชบุรีและสมุทรปราการ

ต่อมาเมื่อหลวงพ่ออุตตมะเดินทางกลับไปยังอำเภอทองผาภูมิ และสังขละบุรี ท่านได้พบกับคนมอญจำนวนมากที่อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากรัฐมอญรวมทั้งจากบ้านมุกกะเหรี่ยง บ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อจึงพาชาวมอญเหล่านี้ไปอาศัยอยู่รวมกันที่บ้านวังกะล่าง นับเป็นจุดกำเนิดแรกเริ่มของชุมชนชาวมอญในสังขละบุรี ซึ่งในขณะนั้นเป็นถิ่นทุรกันดาร มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่มีเชื้อสายกะเหรี่ยง

ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะซึ่งได้รับการยอมรับนับถือเป็นผู้นำของชุมชนร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวมอญและชาวกะเหรี่ยงสร้างศาลาวัดขึ้นในชุมชน ริมฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อย และในปี พ.ศ. 2505 จึงได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนา ให้ชื่อว่า "วัดวังก์วิเวการาม" ต่อมาได้ย้ายวัดขึ้นไปอยู่บนที่สูงเพราะพื้นที่เดิมอยู่ในเขตก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากประชาชนไปประกอบพิธีพุทธาภิเษกทั้งในงานวัดและงานมงคลต่าง ๆ อยู่เสมอนับแต่นั้น

หลวงพ่อในดวงใจ


นอกจากท่านจะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายกรรมฐานที่เน้นการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่ออุตตมะยังมีบทบาทโดดเด่น ในการเผยแผ่พุทธศาสนาและเป็นพระนักพัฒนาผู้เป็นที่พึ่งของชาวมอญในพื้นที่ ท่านส่งเสริมการสร้างถนน สะพาน อนามัยและโรงเรียนหลายแห่ง รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาศิลปวัฒนธรรมมอญ โดยอาศัยวัดเป็นศูนย์กลางในการประกาศข่าวเรี่ยไรเงินบริจาคจากญาติธรรมและผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป ขณะเดียวกันก็ให้วัดเป็นศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์

ชาวมอญในพื้นที่ล้วนซาบซึ้งถึงเมตตาบารมีของหลวงพ่อที่คอยปัดเป่าทุกข์อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยให้กับผู้เดือดร้อนที่มาหาหลวงพ่อไม่ขาดสาย สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ท่านเคยช่วยเหลือชาวสังขละบุรีไว้ก็คือการขอสัญชาติไทยให้กับคนเชื้อสายมอญ นอกจากนี้ หลายครั้งที่กลุ่มการเมืองของคนมอญในพม่าเกิดความขัดแย้งแตกแยกกัน หลวงพ่อก็มักจะเป็นผู้เชื่อมความเข้าใจ และสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น และคนมอญที่ลี้ภัยสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารพม่าเข้ามาภายหลังก็ได้รับ ความช่วยเหลือจากท่านและชุมชนมอญสังขละบุรีในหลายๆด้าน

ดังที่เห็นเด่นชัดว่าหลวงพ่ออุตตะมะเป็นผู้อุทิศตนต่อพระศาสนามีบทบาทสำคัญในความเจริญของคณะสงฆ์สังขละบุรีและเกียรติคุณมากมายแผ่กุศลไปยังประชาชนผู้เดือดร้อน เมื่อ พ.ศ. 2512 หลวงพ่ออุตตมะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูอุดม-- สิทธาจารย์ พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่พระอุดมสังวรเถร และพ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชอุดมมงคล ขณะเดียวกัน ท่านก็ยังคงเป็น "หลวงพ่ออุตตะมะ" สำหรับผู้เคารพศรัทธามากมาย ซึ่งรวมทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการและทหารในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตลอดจนคนไทยเชื้อสายมอญและพุทธศาสนิกชนทั่วไปในทุกจังหวัด

ละสังขาร


กว่าสี่ทศวรรษที่หลวงพ่อเป็นที่พึ่งให้กับทั้งคนมอญและคนไทย ท่านอุทิศตนทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยตั้งแต่วัยหนุ่มจนชราภาพ ท่านต้องเข้ารับการรักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2547 ด้วยโรคไต โดยตลอดเวลาหลวงพ่อท่านไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถลืมตาเอง เพราะนอกจากหลวงพ่อเป็นโรคไตแล้วยังมีโรคหัวใจ โรคปอด สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงรับหลวงพ่ออุตตมะไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์มาโดยตลอด

ด้วยความที่ท่านอยู่ในวัยชราภาพมาก ทำให้เกิดอาการติดเชื้ออยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ท่านจะ มรณภาพนั้น หลวงพ่อมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงกระทั่งมรณภาพจากการติดเชื้อในกระแสโลหิตจากภาวะปอดอักเสบในเช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2549 สิริรวมอายุได้ 96 ปี ที่อำเภอสังขละบุรีนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวมอญที่ทราบข่าวการมรณภาพได้เดินทางมาที่วัดเพื่อช่วยกันจัดเตรียมสถานที่รอรับศพหลวงพ่อ ขณะเดียวกัน ชาวมอญจำนวนหนึ่งได้แต่งชุดขาวเดินทางมานั่งเรียงรายเป็นแถวยาวบนขอบถนนทางเข้าวัดวังก์วิเวการามทั้งสองฟาก แต่ละคนถือดอกเข็ม หญ้าแพรก รอกราบเคารพศพหลวงพ่อ เมื่อขบวนศพของหลวงพ่ออุตตมะเดินทางมาถึงวัดในตอนเย็น บรรดาศิษยานุศิษย์ได้ช่วยกันแบกเปลศพหลวงพ่ออุตตมะเข้าไปในวัด ท่ามกลางผู้เคารพศรัทธานับพันคนที่พากันร่ำไห้ และพิธีอาบน้ำศพของหลวงพ่ออุตตมะในเย็นวันต่อมามีลูกศิษย์และผู้เคารพนับถือหลวงพ่อเดินทางมาเคารพศพกันนับหมื่นคนจากทั่วสารทิศ

มรดกธรรม
แม้ชาวสังขละบุรีจะสูญเสียผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยากจะหาผู้สืบทอด แต่สิ่งที่ท่านสร้างไว้นั้นยิ่งใหญ่และจักออกดอกผลต่อไปแก่คนรุ่นหลัง หากผู้รักและศรัทธาหลวงพ่อไม่หลงลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่หลวงพ่ออุตตมะเองก็ยึดถือเป็นแนวทาง ตลอดอายุขัยของท่าน ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สกลมหาสังฆปรินายกทรงมีธรรมโททนาครั้งหนึ่งว่าหลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้มีเถรธรรม ตามนัยพุทธภาษิตที่ว่า "สัจจะ 1 ธรรม 1 ความไม่เบียดเบียน 1 ความสำรวม 1 ความข่มใจ 1 มีในผู้ใด ผู้นั้นแลท่านเรียกว่า ผู้มีปัญญา มีมลทินอันคลายแล้วเป็นเถระดังนี้"

มิเพียงแต่เป็นพระผู้เจริญด้วยศีลและปัญญา ทว่าหลวงพ่อ อุตตมะยังเป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติหลักธรรมให้เห็น ท่านจึงเปี่ยมด้วย เมตตาธรรมและขันติธรรมในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและเป็นที่พึ่งของประชาชนทุกหมู่เหล่าเสมอมา

คนมอญเคยมีอาณาจักรของตัวเองที่รุ่งโรจน์เมื่อหลายร้อย ปีก่อน และเป็นชนชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่หันมานับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นที่นับถืออย่างเหนียวแน่นของคนไทย ลาว กัมพูชา และพม่า ในอดีตนั้น ชาวมอญ หลบหนีสงครามในดินแดนพม่าเข้ามาพึ่งใบบุญกษัตริย์ไทยอยู่หลายครั้งหลายครา และได้ตั้งชุมชนสืบต่อมาในหลายๆจังหวัดทางภาคกลางของไทยจนทุกวันนี้ แม้คนมอญจะมีภาษาพูดและประเพณีเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากไทย ทว่า เรามีพุทธศาสนาเป็นสายเชื่อมสัมพันธ์กันมายาวนานและในยุคสมัยของเรา คนไทยและคนมอญต่างก็เคารพนับถือหลวงพ่ออุตตมะองค์เดียวกัน

เราเป็นชาวพุทธเหมือนกัน แต่คนไทยและคนมอญกำลังเผชิญชะตากรรมที่ต่างกัน คนไทยไม่ควรหลงลืมความทุกข์ยากของคนมอญตามพื้นที่ชายแดนที่ยังไร้สัญชาติ ขาดซึ่งสิทธิเสรีภาพ และคนมอญที่เผชิญชีวิตยากไร้ภายใต้เผด็จการทหารพม่า มีสิ่งใดที่เราแบ่งปันได้จึงมิควรเพิกเฉย เพราะอย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งปวง. 




สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 35 (16 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2549)
ภาพ : www.monstudies.com