มาร์ มาร์ : ลมใต้ปีกความฝันของจิตรกรพม่า

"ความสุขของฉันทุกวันนี้คือ การได้ชื่นชมกับภาพวาดจากจิตรกรพม่าในแกเลอรีของฉัน และฉันจะมีความสุขมาก หากภาพวาดของจิตรกรมือใหม่มีคนซื้อไป เพราะนั่นจะช่วยทำให้จิตรกรเหล่านี้มีรายได้สำหรับทำงานที่พวกเขารักต่อไป"



มาร์ มาร์ หญิงชาวพม่าวัย 45 ปีจากเมืองเมเมี้ยว ประเทศพม่าบอกเล่าถึงความสุขที่เธอได้รับจากการเปิด
"สุวรรณภูมิอาร์ตแกลเลอรี" ใกล้ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ แกลเลอรีแห่งนี้กำเนิดขึ้นจากความรักในงานศิลปะและความเห็นใจเพื่อนจิตรกรที่มีฐานะยากจนไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์วาดรูปตามที่ตนเองใฝ่ฝันได้

"เมื่อสิบปีกว่าปีก่อน ฉันเคยเป็นแม่ค้าขายสินค้าจากพม่าอยู่ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก (ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย) ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ชอบวาดรูป แต่พวกเขายากจนมาก ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์วาดภาพ ฉันเป็นคนรักงานศิลปะและอยากเห็นเพื่อนๆ ได้วาดภาพต่อไป จึงหาซื้ออุปกรณ์วาดภาพจากเมืองไทย ไปฝากเพื่อนๆ พวกเขามักจะวาดภาพให้ฉันแทนคำขอบคุณ"

ห้าปีผ่านไป บ้านของมาร์ มาร์ เต็มไปด้วยภาพวาดมากกว่า 100 ภาพ คนรอบข้างจึงแนะนำให้เธอเปิดแกลเลอรีซึ่งจะทำให้เธอและเพื่อนจิตรกรมีรายได้เลี้ยงชีพจากงานที่รักเธอจึงตัดสินใจรวบรวมเงินเก็บที่มีอยู่มาเป็นทุนในการเปิดแกลเลอรีแห่งแรกในปี 2542 ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก ในเวลาต่อมาได้ย้ายมาเปิดที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนจะย้ายมายังอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เมื่อสองปีที่ผ่านมา

ผลจากการเปิดแกลเลอรีทำให้ภาพวาดของเพื่อนจิตรกรเริ่มเป็นที่รู้จักในแวงวงงานศิลปะนอกประเทศพม่า และเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีผู้ซื้อภาพวาดจากแกลเลอรีแห่งนี้ไปขายต่อในแกลเลอรีต่างประเทศ ปัจจุบัน เพื่อนจิตรกรหลายคนกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติและสามารถขายภาพวาดได้ในราคาสูงจากเดิมหลายเท่าตัว เจ้าของแกลเลอรี บอกเล่าด้วยความภูมิใจว่า

"ตอนเริ่มต้นเปิดแกลเลอรี ราคาภาพวาดของจิตรกรบางคน เช่น เมียดจ่อ และ ซอวิน เพ่ ราคาประมาณ 30 เหรียญ แต่หลังจากเริ่มมีคนซื้อไปขายในแกลเลอรีต่างประเทศมากขึ้น ปัจจุบัน บางภาพสามารถขายในแกลเลอรีต่างประเทศได้สูงถึง 3,000 เหรียญ หรือ 7,000 เหรียญเลยทีเดียว"

โซ หม่อง จิตรกรหนุ่มวัย 39 ปี เป็นหนึ่งในเพื่อนจิตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือจากมาร์ มาร์ จนปัจจุบันกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง บอกเล่าประสบการณ์ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากมาร์ มาร์ว่า

"ตอนเริ่มต้นวาดรูปใหม่ๆ ผมไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ ผมยอมอดข้าว กินแต่ขนมปังราคาถูกกับน้ำชาแบบอดมื้อกินมื้อเพื่อนำเงินมาซื้ออุปกรณ์วาดรูป แต่บางครั้งก็ไม่มีเงินเหลือพอจะซื้อกระดาษมาวาดรูปเลย บ้านของผมอยู่บนเกาะมินกูน ต้องนั่งเรือจากมัณฑะเลย์ประมาณเกือบชั่วโมง เวลาเห็นมาร์ มาร์มากับเรือโดยสารทีไร ผมและเพื่อนจิตรกรที่ยากจนจะ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจว่าจะได้วาดรูปอีกแล้ว ทุกวันนี้ มาร์ มาร์ก็ยังช่วยเหลือผม โดยผมจะฝากเธอซื้อหนังสือศิลปะของต่างประเทศมาให้เพื่อผมจะได้รับพัฒนาฝีมือตนเองต่อไป"

ด้วยน้ำใจที่มีให้จิตรกรมายาวนาน ทำให้ปัจจุบันแกลเลอรี ของเธอมีภาพวาดจากจิตรกรมากกว่า 50 ท่านจากจิตรกรมือใหม่และมือเก่า จิตรกรที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเธอจนมีชื่อเสียงจะนำภาพวาดมาฝากขายที่นี่ โดยมาร์ มาร์สามารถจ่ายเงินให้ภายหลังจากขายภาพวาดได้ ทำให้มาร์ มาร์ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากการซื้อภาพวาดราคาสูงเพื่อมาขายต่อ สำหรับจิตรกรมือใหม่ มาร์ มาร์จะให้ความช่วยเหลือด้วยการนำภาพวาดมาจัดแสดงในแกลเลอรี หากภาพวาดชิ้นใดขายได้ เธอจึงส่งเงินกลับไปให้จิตรกรท่านนั้น มาร์ มาร์ ถ่ายทอดความสุขที่ได้รับหลังจากขายภาพวาดของจิตรกรหน้าใหม่ว่า
"หลังจากฉันนำเงินที่ได้จากการขายภาพวาดแรกของเขาไปให้เป็นเงิน 60,000 จั๊ต (1,800 บาท) เขาดีใจมาก ๆ เพราะไม่เคยได้รับเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน ฉันเห็นเขามีความสุข ฉันก็ มีความสุขด้วย"

สิ่งที่โดดเด่นของแกลเลอรีแห่งนี้ คือ ความหลากหลายของภาพวาด ซึ่งบางภาพไม่สามารถหาซื้อได้อย่างเปิดเผยในประเทศพม่า เพราะเป็น "ภาพต้องห้าม" เช่น ภาพวาดเปลือย หรือภาพนู้ด ภาพนักการเมืองที่มีชื่อเสียง เช่น นางอองซาน ซูจี ภาพนายพลออง ซาน หรือภาพมินโกนาย อดีตผู้นำนักศึกษาซึ่งถูกจับขังเดี่ยวนานถึง 17 ปี นอกจากนี้ ในแต่ละปีจะมีการจัดแสดงผลงานให้กับจิตรกรปีละสองถึงสามครั้ง อาทิ การแสดงภาพวาดจากหลากหลายจิตรกรในเมืองมัณฑะเลย์เมื่อปีที่ผ่านมา หรือการแสดงภาพวาดของจิตรกรชื่อดังระดับนานาชาติ เน เมียว เซ ซึ่งมีแผนจะจัดเร็ว ๆ นี้

แม้การเปิดแกลเลอรีจะนำความสุขมาให้เธอหลายด้าน แต่เนื่องจากภาพวาดเป็นสินค้าที่มีราคาสูงและมีกลุ่มลูกค้าจำกัด รายได้จากการขายภาพวาดจึงไม่แน่นอน ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่เธอต้องแบกรับเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท หากช่วงไหนไม่สามารถขายภาพได้ มาร์ มาร์ก็ต้องเลือกที่จะขายทรัพย์สินมีค่าส่วนตัวออกไปแทน รวมทั้งต้องกู้หนี้ยืมสินคนรอบข้างและใช้คืนหลังจากขายภาพได้ แม้ว่าปัจจุบัน เธอยังต้องเผชิญกับภาระรายจ่ายไม่เพียงพอกับรายได้ แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะเปิดแกลเลอรีแห่งนี้ต่อไปด้วยความรักในงานศิลปะอย่างแท้จริง

"นับตั้งแต่เปิดแกลเลอรีจนถึงวันนี้ ขาดทุนมาตลอด บางเดือนขายภาพไม่ได้เลย เมื่อก่อนเคยมีทองใส่บ้าง แต่ตอนนี้ ไม่มีเลย มีแต่หนี้สิน บางคนอยากได้แกลเลอรีที่นี่ มาขอซื้อกิจการต่อ ฉันไม่อยากขายให้ เพราะฉันรักแกลเลอรีนี้มาก"

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 34 (1 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน 2549)