“ความฝันและความเชื่อ” บนเส้นทางดนตรีของสองพี่น้องไทยใหญ่

โดย Hseng Luen


ถ้าคนเราสามารถเลือกจะเป็นอะไรก็ได้ดั้งที่ใจต้องการ ในโลกนี้ก็คงจะมีแต่คนที่มีความสุขเต็มไปหมด แต่ในชีวิตจริง บางครั้งเราก็ไม่สามารถเลือกได้ แต่ต้องดิ้นรนด้วยตัวของเราเอง บางคนก็ทำสำเร็จ แต่บางคนก็ล้มเหลว มันขึ้นอยู่กับว่า เราได้พยายามทุ่มเทแล้วหรือไม่ ฉันกล้าที่จะบอกกับใครๆ ว่า ฉันอยากเป็นอะไรเพราะใครก็สามารถมีความฝันกันได้ทั้งนั้น แม้ว่าความฝันของฉันจะห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้ฝัน


ฉันกับน้องชายก็มีความฝันเหมือนกับคนอื่น น้องชายของฉันอยากเป็นนักกีตาร์ที่เก่ง ๆ ส่วนฉันอยากเป็นนักร้อง ความฝัน ในการก้าวเข้าสู่เส้นทางสายดนตรีของเราสองพี่น้องเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อเราได้เข้าเรียนในโรงเรียนไทยแห่งหนึ่ง ตอนแรกน้องฉันเล่นกีตาร์ไม่เป็นหรอก แต่อาศัยให้เพื่อนสอนให้ทุกวัน เขาจะยืมกีตาร์เก่าๆ ตัวหนึ่งของเพื่อนมาซ้อมที่บ้านทุกวัน แรกๆ ก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นทีไรก็มีแต่คนหัวเราะและบอกให้หยุดเล่น ตอนนั้นฉันกับน้องชายอาศัยอยู่ที่บ้านของพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้ พวกเขาไม่ชอบให้น้องชายฉันเล่นกีตาร์ที่บ้าน แม้ว่ามันจะมีอุปสรรคแต่เราก็ไม่เคยคิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจ

ทุกๆ วันน้องชายของฉันจะไปฝึกกีตาร์กับเพื่อนและหมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ หลายเดือนผ่านไป ฝีมือการเล่นกีตาร์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อน ๆ เริ่มยอมฟังเพลงจากฝีมือการเล่นกีตาร์ของเขา น้องชายอยากมีกีตาร์เป็นของตัวเองซักที แต่จะทำไงได้ พี่ชายคนโตไม่ชอบกีตาร์เอาเสียเลย จนในที่สุด แม่ซื้อกีตาร์ให้ตัวหนึ่งแต่ต้องปิดเป็นความลับ ต้องโกหกพี่ชายคนโตว่ายืมเพื่อนมาและได้รับอนุญาตให้เล่นเฉพาะเวลากลางคืนตอนที่พี่ไม่อยู่เท่านั้น ฉันร้องเพลงน้องเล่นกีตาร์ เราต้องพยายามเล่นให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงยังไงเราก็มีความสุขมาก 

ฉันยังจำเพลงแรกที่น้องชายเล่นกีตาร์ได้แม่น ชื่อเพลง “ฝนตกที่หน้าต่าง” ของวงโลโซ วงร็อควงโปรดของเขาเชียวแหละ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องเปิดหนังสือเพลงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นมาก นั่นก็เป็นเพราะการที่เขาทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนบางครั้งถึงกับนอนละเมอทำท่าทำทางเหมือนกำลังเล่นกีตาร์อยู่ก็มี

เราสองคนพี่น้องเกิดความคิดอยากตั้งวงดนตรีของเราเองขึ้นมาจึงตัดสินใจคุยกับผู้ใหญ่ในหมู่บ้านดู ฉันบอกผู้ใหญ่ว่า ถ้าเรามีวงดนตรีของเราเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินจ้างวงดนตรีจากหมู่บ้านอื่นเวลาจัดงานรื่นเริงต่างๆ แถมยังเป็นการหารายได้อีกทางหนึ่งด้วย ผู้ใหญ่เห็นด้วยและพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ พวกเราจึงรวมตัวกันกับเพื่อนๆ ตั้งวงดนตรีประจำหมู่บ้านขึ้นมา แต่ก่อนที่ผู้ใหญ่จะหาเครื่องดนตรีให้ เราต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เห็นก่อน

จนในที่สุดวันหนึ่ง มีผู้ใหญ่ใจดีให้กีตาร์มา 2 ตัว กีตาร์เบส 1 ตัว และกลองชุดอีก 1 ชุด สภาพเครื่องดนตรีแม้ว่าจะเก่าไปนิด แต่ก็ยังใช้การได้อยู่ เราใช้เล่นเวลามีงานในหมู่บ้านอยู่หลายครั้ง ทุกๆ คืน เราจะซ้อมเพลงสำหรับเล่นในงานที่กำลังจะจัดต่อไป ตอนนี้เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้น มีหัวหน้าวง และมีคิวต้องโชว์อยู่หลายงาน น้องชายฉันเป็นมือกีตาร์ประจำวงจึงค่อนข้างยุ่งหน่อย เขาบอกฉันว่า ถึงจะยุ่งยังไงเขาก็รักที่จะเล่นกีตาร์ให้คนอื่นฟัง และที่สำคัญ ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลเรื่องพี่ชายคนโตที่ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับเส้นทางดนตรีของเราอีกต่อไป เพราะเขากับพี่สะใภ้ย้ายไปทำงานในเมืองกันหมดแล้ว ซึ่งตอนหลังเมื่อพี่รู้ความจริงเกี่ยวกับกีตาร์ที่แม่แอบซื้อให้แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขารู้ว่าไม่สามารถบังคับจิตใจของฉันกับน้องชายได้

ถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าเราประสบความสำเร็จในระดับหมู่บ้านของเรา เมื่อเรียนจบโรงเรียนไทย ฉันกับน้องชายก็ย้ายไปอยู่ในเมือง มันกว้างใหญ่มากเราสองพี่น้องรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะต้องเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่

ฉันกับน้องชายโชคดีมากที่ได้มาเจอเพื่อนที่ชอบดนตรีเหมือนกันและมีความฝันที่จะโลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน ทุกๆ วันจันทร์และวันอาทิตย์เป็นเวลาที่เราจะไปรวมตัวกันที่ห้องซ้อมดนตรี เพลงที่เราซ้อมจะเป็นเพลงภาษาไทยใหญ่ ส่วนน้องชายของฉันมีโอกาสได้เล่นกีตาร์ให้กับนักร้องไทยใหญ่หลายคนและได้ร่วมเล่นกับวงดนตรีวงอื่น ๆ หลายครั้ง สิ่งที่ฉันเห็นในตัวเขาไม่ใช่นักกีตาร์ที่เก่งที่สุด แต่เขาทำให้ฉันเชื่อว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

ในวันข้างหน้า ฉันไม่รู้ว่าอนาคตเราสองคนพี่น้องจะเป็นยังไงต่อไป แม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นเหมือนที่เราฝันไว้ก็ไม่เป็นไร ฉันรู้เพียงแต่ว่าในเวลานี้ เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว มีคนเคยพูดว่า “คุณอาจหยุดการกระทำของคนอื่นได้ แต่คุณไม่สามารถหยุดความฝันของคนอื่นได้” และฉันก็เชื่ออย่างนั้นเช่นกัน.

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 33(16 สิงหาคม-30 กันยายน 2549)