ฝันนี้เพื่อยาย : บันทึกความทรงจำวันวานของเด็กหนุ่มจากรัฐฉาน

โดย แสงยอด

หากมีใครถามว่า คนที่รักเราที่สุดในชีวิตคือใคร “แม่” อาจจะเป็นคำตอบของคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับผม นอกจากแม่แล้ว ยังมียายอีกคนหนึ่งที่รักผมมากที่สุดในโลก และผมก็รักยายมากที่สุดเช่นกัน


ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เพราะบ้านเรามีฐานะยากจน พ่อแม่ของผมต้องเดินทางไปทำงานหาเงินที่ประเทศไทย ผมจึงต้องอยู่กับยายสองคน บ้านของยายเป็นบ้านไม้ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่มันไม่ใช่บ้านของยายจริงๆ หรอก ยายเช่าบ้านคนอื่นอยู่ ทุกๆ เดือนยายต้องจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้เจ้าของ ยายเลี้ยงหมู 2 ตัว และไก่ และก็ปลูกผักนิดหน่อยในสวน บางครั้งเราก็เอาไข่ไปขายที่ตลาดด้วย

ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมอายุ 8 ขวบ ยายส่งผมไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองปางหลวงซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในรัฐฉาน ที่โรงเรียนมีสอนภาษาจีนและพม่า ตอนนั้นผมเป็นแค่เด็กเกเรคนหนึ่งที่ไม่อยากไปโรงเรียน หลายครั้งที่ผมออกจากบ้านในตอนเช้าแต่ไม่ได้ไปโรงเรียน ผมหนีไปเที่ยวเล่นตามทุ่งนากับเพื่อนที่เป็นเด็กเลี้ยงควายหลายคน ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่ายายต้องทำงานหนัก ขนาดไหนที่จะหาเงินส่งให้ผมเรียนหนังสือ ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เสียจริงๆ บางครั้งวันไหนผมไม่ไปโรงเรียน ครูก็จะแวะมา ฟ้องยายที่บ้าน ผมจึงถูกยายตีจนร้องไห้อยู่บ่อยๆ และยายก็มักจะร้องไห้ตามผมไปด้วยทุกครั้ง แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่กลัวถูกยายตีและยังคงหนีโรงเรียนอีกตามเคย

พอผมอายุได้ 12 ปี ผมรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แม้ว่ายายจะพยายามพูดกับผมหลายครั้ง ในที่สุด ยายก็ยอมให้ผมออกจากโรงเรียน ตอนแรก ๆ ผมมีความสุขมากที่ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่าจะมีอิสรเสรี อยากไปไหนก็ไปได้ตามใจ แต่จริงๆ แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย ผมต้องช่วยยายทำงานบ้าน หน้าที่ของผมคือเลี้ยงหมูและไก่ บางครั้งต้องไปตักน้ำจากบ้านอื่นเพราะว่าบ้านเราไม่มีน้ำประปา ผมไม่คิดว่ามันเป็นงานหนักหนาอะไรและผมก็มีความสุขที่ได้ทำ

ที่บ้านของเราใช้ฟืนในการหุงหาอาหาร ยายจะปลุกผมให้ตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อขึ้นเขาไปหาฟืน ยายจะแบกตะกร้าใบเขื่องไปด้วย ส่วนผมก็จะแบกตะกร้าใบเล็กๆ ที่ยายสานให้ ระหว่างทาง เราจะเดินบนคันนาลัดไปตามทุ่งนา หมอกหนาทำให้ไม่สามารถมองเห็นไกล ๆ ได้ แต่ก็ยังมองเห็นบึงน้ำท่ามกลางท้องนาที่เขียวขจี เป็นที่ที่สวยและวิเศษมาก ยายชอบเดิมตามหลัง ซึ่งบางครั้ง ผมก็เดินตกคันนา ถ้าผมทำท่าจะร้องไห้ ยายก็จะมาประคองให้ลุกขึ้นแล้วลูบหัวผม ผมก็จะหัวเราะ

เมื่อเดินไปถึงบนเขา เราจะหาฟืนที่คนอื่นตัดทิ้งไว้หรือกิ่งไม้แห้ง ยายจะใส่ฟืนลงไปแน่นตะกร้า ถึงยายจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังชอบพูดว่า “ไม่มีปัญหา ยายแบกกลับบ้านได้” แต่ผมจะเลือกเก็บเฉพาะกิ่งไม้เล็กๆ เมื่อได้ฟืนมากพอแล้วเราจะหยุดพักทานอาหารเช้าบนนั้นก่อนจะกลับบ้าน เรานั่งกินข้าวบนพื้นดิน ผมชอบกินข้าวที่นี่ เวลาลมเย็นพัดใบไม้ร่วงหล่นจากต้น ฟังดู คล้ายกับมีคนมาร้องเพลงอยู่รายล้อมเรา ช่างเป็นสถานที่ที่วิเศษสุด เมื่อกินข้าวเสร็จเราสองคนยายหลานก็เดินกลับบ้าน อย่างมีความสุขด้วยกัน

บางครั้งยายกับผมก็เอาไข่ไปขายที่ตลาด ที่นี่คนเยอะมากทั้งแม่ค้าและคนที่มาจับจ่ายซื้อของ ผมกับยายไม่มีโต๊ะขายของเหมือนคนอื่น เราจึงต้องเอาไข่ไก่วางบนถุงข้าวสารกับพื้น ยายเป็นคนที่ขายของเก่ง ยายรู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรให้คนซื้อไข่ของเรา เราจึงขายได้เยอะพอดู ยายบอกว่าการค้าขายต้องรู้จักวิธีพูด ต้องพูดเพราะๆ กับลูกค้า เขาถึงอยากจะซื้อของของเรา หลังจากที่เราขายไข่หมดแล้ว ยายจะซื้อผักและอาหารกลับบ้าน รวมถึง “อะจ่อ”อาหารไทยใหญ่ซึ่งเป็นของโปรดของผมด้วย

มีอยู่วันหนึ่ง ผมวิ่งเล่นอยู่ในสวนแล้วหกล้มแขนขวาหัก คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เอาแต่ร้องไห้ทั้งคืนเพราะมันเจ็บมาก ยายก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ยายลูบหัวผมและพยายามพูดกล่อมให้ผมหลับ ผมก็ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่า เมื่อลืมตาตื่นตอนเช้าก็เห็นยายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ

เนื่องจากยายไม่มีเงินพาผมไปรักษาที่โรงพยาบาล ยายจึงพาผมไปรักษาแบบพื้นบ้านที่บ้านของผู้หญิงชาวปะโอคนหนึ่ง เธอรักษาด้วยการนวดแขนด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน ผมร้องไห้ทุกครั้งเพราะมันเจ็บมาก เวลานั้นผมรู้ว่ายายเหนื่อยมาก เพราะต้องดูแลผมที่แขนหัก สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน และต้องไปเก็บฟืนบนเขาตามลำพัง แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินยายบ่นหรือดุผมเลยแม้แต่น้อย เพราะว่ายายรักผมมาก

อยู่มาวันหนึ่งผมมีเรื่องชกต่อยกับเด็กกลุ่มหนึ่งที่มาเล่นฟุตบอลที่สนาม พวกเขาเป็นลูกคนมีเงิน เด็กผู้ชายคนหนึ่งต่อยเพื่อนของผม อันที่จริงผมไม่อยากจะมีเรื่องกับใครหรอกแต่ผมทนเห็นเพื่อนถูกรังแกไม่ได้ วันนั้น จมูกของผมบวมเป่งเมื่อกลับบ้าน แต่ผมโกหกยายว่าหกล้ม

วันรุ่งขึ้นพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นมาหายายที่บ้าน พวกเขาด่าว่าผมและยาย แต่ยายไม่ได้ตอบโต้อะไร ตอนแรกผมกลัวว่ายายจะโกรธและตีผม แต่หลังจากที่พวกนั้นกลับไป ยายกลับทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

พอตกกลางคืน ยายเรียกผมไปพบที่ห้อง ผมกลัวมาก ผมคิดว่ายายจะต้องตีผม แต่ยายกลับนั่งลงร้องไห้ตรงหน้าผม ยายขอร้องไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กพวกนี้ ยายรู้ว่าผมต้องการแค่ปกป้องเพื่อนผมเท่านั้น และเตือนผมอย่าสร้างปัญหาอีก ผมพูดอะไรไม่ออก เสียใจมากที่ทำให้ยายร้องไห้ ได้แต่รับปากว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ยายเช็ดน้ำตาให้ผมเบา ๆ แล้วบอกว่า “อย่าร้องไห้นะเด็กน้อย ลืมมันเสีย แล้วไปเข้านอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปหาฟืนด้วยกัน”

ปีพ.ศ. 2545 ผมกับยายต้องอพยพจากรัฐฉานมาอยู่ที่ชายแดนไทยบริเวณหมู่บ้านหลักแต่ง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ แต่ผมก็ยังไม่ได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเสียทีเพราะพวกเขาเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ หลังจากผมเริ่มมีเพื่อนในหมู่บ้านและเห็นเพื่อน ๆ หิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน ผมก็ชักเริ่มอยากไปโรงเรียนกับเขาบ้าง ยายดีใจมากที่รู้ว่าผมอยากไปโรงเรียนอีกครั้ง แม้ว่ายายจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งผมไปโรงเรียน แต่ยายก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย

หลังจากที่ผมได้เข้าเรียน ยายต้องทำงานหนักกว่าแต่ก่อน ยายต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อทำกับข้าวให้ผมห่อไปโรงเรียน ช่วงที่ผมไปเรียน ยายจะไปทำงานในสวนที่บ้านของคนแถว ๆ นั้น ยายไม่เคยบ่นงานหนัก ยายอยากให้ผมตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเท่านั้น

ในวันเสาร์ ยายจะให้ผมไปทำงานที่สวนด้วย งานที่ต้องทำคือขุดดิน มันเป็นงานที่เหนื่อยมาก แดดก็ร้อนมาก ผมนึกในใจ ว่า ยายทำงานหนักอย่างนี้ได้ยังไงกัน ? ผมได้เงินก้อนแรกจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจากสวนที่นั่น ยายไม่เคยขอเงินที่ผมหาได้ ยายรู้ว่าผมมีความสุขมาก ยายบอกว่า“ให้ใช้ เงินอย่างคุ้มค่าที่สุด ต้องรู้จักใช้เงินให้เป็น ถ้าเก็บเงินได้เยอะ ๆ จะได้ซื้อเสื้อผ้าหรือของที่อยากได้”
นับจากวันนั้น ผมก็เริ่มชอบทำงานหาเงินด้วยตนเอง ในวันหยุด ผมจะไปทำงานกับยายทุกครั้ง บางครั้งถ้ายายไม่ได้ไปด้วย ผมก็จะไปทำงานคนเดียว และเริ่มที่จะหางานด้วยตนเองเป็นแล้ว ในเวลานั้น แม้ว่าเราไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเก็บมาก แต่เราก็มีความสุขในบ้านที่แสนจะอบอุ่น

สองปีต่อมา ยายล้มป่วยลงและจากผมไปในที่สุด แต่ก่อนที่จะสิ้นใจ ยายบอกกับผมหลายอย่าง ยายเป็นห่วงผมมาก ยายกลัวว่าจะไม่มีใครรักผม และอยากให้ผมเป็นคนดี

หลังจากยายเสียไป พ่อแม่จึงกลับมาอยู่ที่บ้านกับผม การจากไปของยายทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ต้องตัดสินใจอะไรหลายอย่างโดยที่ไม่มียายอยู่เคียงข้างอีกต่อไป ผมต้องพยายามรับผิดชอบชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุดเพราะไม่อยากให้ยายเป็นห่วง ผมจะตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีที่สุดและทำทุกอย่างตามที่ยายฝันไว้

ทุกวันนี้ แม้ว่ายายจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ความใจดีของยาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยายพร่ำสอนขณะที่ยายยังมีชีวิตอยู่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผมไม่เคยจางหาย และจะยังคงอยู่ตลอดไป เพราะยายคือ “แม่คนที่สอง” ในชีวิตของผม