โลกแห่งความฝันของหญิงสาวชื่อ "โซเฟีย"

“เมื่อปีที่ผ่านมา ฉันฝันเห็นตัวเองอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยไปมาก่อน หมู่บ้านแห่งนั้นมีบ้านประมาณร้อยกว่าหลังคาเรือน ที่นั่นไม่มีการสู้รบ ชาวบ้านทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชีวิตสงบสุขเรียบง่าย ไม่ต้องหวาดกลัวทหารของทุกฝ่าย ชาวบ้านทำงานในไร่นา มีอาหารมากมายพอเพียงกับทุกคน ในฝันฉันเห็นตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่กำลังอบรมความรู้ด้านสุขภาพให้กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ฉันมีความสุขมาก”


โซเฟีย หญิงสาวเชื้อสายกะเหรี่ยงจากประเทศพม่าวัย 28 ปี ถ่ายทอดเรื่องราวในโลกแห่งความฝันด้วยแววตาเปล่งประกาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเศร้าสลดเมื่อเอ่ยถึงโลกแห่งความจริงยามลืมตาตื่น
“พอฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้า ฉันก็พบความจริงที่ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นไม่มีในชีวิตจริง ฉันไม่เคยไปที่นั่นและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปถึง”

โซเฟียเกิดในรัฐกะเหรี่ยง ไม่ไกลจากชายแดนไทย เธอได้เรียนหนังสือในหมู่บ้านถึงชั้นอนุบาล 1 หลังจากนั้นต้องหนีภัยสงครามมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยบนชายแดนไทย แม้วันนี้ เวลาจะล่วงผ่านไปนานเกือบ 25 ปีแล้ว แต่ภาพสงครามบนแผ่นดินเกิดกลับยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ

“แม้ว่าตอนนั้นฉันจะอายุแค่สามสี่ขวบ แต่ฉันก็ยังจำเหตุการณ์บางอย่างได้ดี บางวันนั่งเรียนหนังสืออยู่ดีๆ ครูก็พาวิ่งไปหลบกระสุนในหลุมหลบภัยหรือซ่อนอยู่ในป่า บางครั้งโรงเรียนก็ปิด ไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวัน”

นับตั้งแต่พม่าได้เอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2490 ไฟสงครามระหว่างกองทัพพม่าและกองทัพกะเหรี่ยงเคเอ็นยูก็เริ่มต้นขึ้นและลุกลามไปจนทั่วรัฐกะเหรี่ยง กองทัพพม่าได้ใช้นโยบายตัดสี่ คือ อาหาร เงินทุน ข่าวสาร อาวุธ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของกองกำลังกะเหรี่ยง โดยหนึ่งในวิธีปฏิบัติที่นิยมใช้ คือ เผาหมู่บ้าน ยุ้งฉาง และไร่นาของชาวบ้านจนราบคาบเพื่อไม่ให้ชาวบ้านมีเสบียงเพียงพอสำหรับสนับสนุนทหารกะเหรี่ยง ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน และเมื่อกองทัพพม่าเดินทางมาถึงหมู่บ้านของหญิงสาวผู้นี้ ครอบครัว ของเธอก็ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

“หลังจากทหารพม่าเผาหมู่บ้านของฉัน ชาวบ้านต้องพากันหลบหนีเข้าอยู่ในป่า พอทหารพม่ากลับออกไปแล้ว ชาวบ้านบางคนก็กลับไปสร้างบ้านอยู่ในหมู่บ้านเดิม เพราะไม่อยาก ทิ้งบ้านเกิดไปอยู่ที่อื่น บางคนเลือกหลบซ่อนอยู่ในป่า หากทหารพม่ามาเจอก็ย้ายหนีไปเรื่อยๆ ครอบครัวของฉันเลือกหลบซ่อนอยู่ในป่าใกล้ชายแดนไทยเพราะไม่กล้ากลับไปที่หมู่บ้านเดิม ทุก ๆ คืน เราอยู่กันอย่างหวาดผวาเพราะกลัวทหารพม่าจะตามมาเจอ” 


ฉบับที่ 31 (16 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2549)

หลังจากสงครามรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้พลัดถิ่นภายในรัฐกะเหรี่ยงจึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อทนการคุกคามของกองทัพ พม่าไม่ไหว ชาวบ้านเหล่านี้จึงเดินทางมุ่งหน้ามายังชายแดนไทยเพื่อรอคอยความช่วยเหลือจากประเทศไทย เมื่อครอบครัวของเธอได้ข่าวว่า รัฐบาลไทยเปิดค่ายพักพิงช่วยคราวให้กับผู้หนีภัยการสู้รบจากรัฐกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านห้วยกะโหลก อำเภอแม่สอด จังหวัดตากครอบครัวของเธอจึงเดินทางข้ามชายแดนมาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ 2527 เป็นต้นมา ในเวลานั้น ไม่มีใครคาดคิดว่า การพลัดพรากจากแผ่นดินเกิดครั้งนี้จะกินเวลายาวนานจนหลายคนไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกและไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่า อีกหลายปีต่อมา ค่ายพักพิงบนแผ่นดินไทยที่เคยรู้สึกว่าปลอดภัยจะถูกทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอซึ่งเป็นพันธมิตรกองทัพพม่าข้ามแม่น้ำชายแดนมาเผาถึงสองครั้งสองครา

“ค่ายห้วยกะโหลกถูกเผาครั้งแรกปี พ.ศ. 2539 ครั้งที่สองปี พ.ศ. 2540 ครั้งแรกถูกเผาแค่บางส่วน ครั้งที่สองถูกเผาเกือบทั้งหมด แต่บ้านของฉันถูกเผาทั้งสองครั้ง ตอนถูกเผาครั้งแรกโกลาหลมาก เพราะชาวบ้านไม่ได้เตรียมตัวหนีมาก่อน แต่หลังจากนั้น ชาวบ้านต้องเตรียมพร้อมหนีตลอดเวลา”

หลังการเผาครั้งที่สอง รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจย้ายผู้ลี้ภัยจากค่ายห้วยกะโหลกใกล้ชายแดนไปอยู่บนดอยสูงของตำบลอุ้มเปี้ยม อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก แต่จนถึงวันนี้ เธอยังไม่สามารถลืมภาพบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ เสียงร่ำไห้ และแววตา หวาดผวาของผู้คนได้เลย

โซเฟียเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัยจนจบเกรด 10 หรือชั้นมัธยมปลายและทำงานเป็นครูชั้นอนุบาลอยู่หนึ่งปี หลังจากนั้นจึงสมัครเข้ารับการอบรมด้านสาธารณสุขที่แม่ตาวคลินิก อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อตามหาความฝันที่เคยซุกซ่อนอยู่ในใจมาแต่เยาว์วัย

“ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยฝันอยากเป็นหมอ เวลาเล่นกับเพื่อน ฉันจะเลือกเล่นเป็นหมอ คอยผ่าตัดเพื่อนคนนู้นคนนี้ พอโตขึ้นมา ฉันยิ่งรู้สึกอยากทำงานด้านนี้มากขึ้น เพราะในชุมชนของฉันไม่มีหมอและห่างไกลจากโรงพยาบาล แต่เนื่องจากฉันมีสถานะเป็นเพียงผู้ลี้ภัย โอกาสจะได้เรียนหมอจึงเป็นไปได้ยาก ฉันจึงหวังเพียงแค่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะในค่ายจะมีคลินิกรักษาโรคและเปิดโอกาสให้คนในค่ายได้ทำงานตรงนี้”

เมื่อเธอได้ยินข่าวว่าแม่ตาวคลินิคซึ่งให้บริการรักษาผู้ป่วยจากประเทศพม่าเปิดอบรมคนทำงานสุขภาพ เธอจึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นหนึ่งในนั้น  ในที่สุด ความฝันของเธอก็กลายเป็นความจริง เมื่อเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้เข้ารับการฝึกอบรมเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากเรียนจบ เธอสมัครเข้าทำงานที่คลินิกแห่งนี้และยังคงทำงานมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความรักและมุ่งมั่นในการทำงานมาตลอดเวลา 9 ปี ทำให้เธอได้รับเลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้น ปัจจุบัน เธอมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการหรือหัวหน้าแผนกแผนกผดุงครรภ์ มีเจ้าหน้าที่ 30 คนทำงานหมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง แม้ภาระความรับผิดชอบจะหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หญิงสาวผู้นี้กลับไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือท้อใจเลยแม้แต่น้อย

“ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ ฉันคิดว่าฉันคงจะทำงานอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปีหรือสองปีก็คงจะได้กลับไปหมู่บ้านเดิม แต่หลายปีผ่านไป ฉันยังคงต้องทำงานที่เดิม และเห็นคนป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่า ฉันต้องหาความรู้ด้านการรักษาเพิ่มเติมและต้องทำงานให้หนักมากยิ่งขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันดูแลรักษาผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งซึ่งมีอาการหนักปางตาย หลังจากเราพยายามรักษาจนอาการของเธอดีขึ้น ฉันรู้สึกโล่งใจและมีความสุขมากเหมือนกับฉันได้ผ่านการทดสอบจากพระเจ้าแล้ว”
ผลจากการทุ่มเททำงานหนักมาเกือบหนึ่งทศวรรษ องค์กร Women Commission ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงคัดเลือก ให้เธอได้รับรางวัล Voices of Courage Award เพื่อเป็นกำลังใจ ให้เธอก้าวเดินบนเส้นทางฝันเพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากต่อไป

หญิงสาวกล่าวถึงเส้นทางที่ทำให้ฝันของเธอเป็นความจริงว่า
“ตอนฉันยังเรียนหนังสือ เวลาเรานั่งพูดถึงความฝันกัน หลายคนบอกว่าโตขึ้นอยากไปอยู่ต่างประเทศ แต่สำหรับฉันไม่เคยมีความฝันแบบนั้นเลย ฉันบอกกับเพื่อนๆ ว่า ถ้าฉันเรียนจบ ฉันจะเป็นคนทำงานด้านสุขภาพเพื่อช่วยเหลือประชาชนของเรา พอฉันเรียนจบ ฉันก็พยายามมองหาหนทางทำให้ฝันเป็นจริงให้ได้ บางคนอาจมีความฝันแต่ไม่พยายามหาทางที่จะไปถึงความฝันนั้น ความฝันก็ไม่มีทางเป็นความจริง ทุกวันนี้ เวลาฉันเห็นผู้ป่วยที่ฉันรักษา ฉันรู้สึกว่าฝันของฉันได้กลายเป็นความจริงแล้ว”

แม้ทุกวันนี้ หญิงสาวจะมีความสุขกับงานที่ใฝ่ฝัน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าความฝันของเธอยังไม่สมบูรณ์และสิ่งที่รอคอยดูเหมือนยังไกลเกินไขว่คว้ามาได้ด้วยสองมือของตนเอง
“ฉันอยากกลับไปทำงานแบบเดียวกันนี้ในหมู่บ้านของฉัน ฉันอยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่พี่น้อง บางครั้งเวลาฉันดูแลคนป่วยที่นี่ ฉันคิดถึงพ่อแม่ของฉัน อยากดูแลท่านบ้าง ถ้าแผ่นดิน ของฉันสงบสุขเมื่อไหร่ ฉันจะกลับไปทำงานในชุมชนของตนเอง แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า วันนั้นจะเดินมาถึงเมื่อไหร่”

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 31 (16 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2549)