ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เปลวไฟสงครามที่คุโชนไปทั่วรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ได้ทำให้ชาวกะเหรี่ยงนับล้านคนต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานเข้าไปซ่อนอยู่ในป่าและหนีมายังชายแดนไทย ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดในแต่ละวันอย่างยากลำบาก มองไม่เห็น ความหวังในอนาคตข้างหน้า ทว่า บนหนทางที่มืดมิดยังมีคนหนุ่มสาวหลายคนที่พยายามจุดประกายไฟความฝันเพื่ออนาคตของชุมชนกะเหรี่ยงให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในผู้ที่มีความใฝ่ฝันอันงดงามและได้ลงมือทำมาตลอดระยะเวลาหลายปี คือ ชายหนุ่มวัย 35 ปีที่มีชื่อว่า โพดา (นามสมมุติ)
โพดาลืมตาดูโลกในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐกะเหรี่ยง พ่อของเขาเป็นมิชชันนารี ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เขาเป็นพี่คนโตของน้องๆ ที่คลานตามกันมาอีก 8 คน ในปี พ.ศ. 2522 ขณะที่เขากำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล กองทัพพม่าเริ่มใช้นโยบายตัดสี่ (Four cut policy) คือ ตัดอาหาร เงินทุน การสื่อสาร และกำลังพล เพื่อปราบปรามกองกำลังกะเหรี่ยงในเขตหมู่บ้านของเขา นโยบายนี้ปฏิบัติการโดยขับไล่ชาวบ้านออกจากหมู่บ้าน เผาบ้านเรือน ไร่นา และทำลายทรัพย์สิน ทำให้ชาวบ้านต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน และผู้ลี้ภัยที่ชายแดนไทย
ครอบครัวของโพดาเป็นหนึ่งในผู้พลัดถิ่นภายใน ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าใกล้กับเขตชายแดนไทย โดยในขณะนั้น รัฐกะเหรี่ยงตรงข้ามกับชายแดนไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังสหชนชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู ชาวบ้านจึงยังสามารถทำไร่ทำนาโดยไม่ต้องหวาดกลัวการคุกคามจากทหารพม่า ทว่า หลังจากมาเนอปลอว์ ฐานบัญชาการใหญ่ของเคเอ็นยูถูกตีแตกในปี พ.ศ. 2538 ครอบครัวของโพดาและชาวกะเหรี่ยงอีกหลายแสนคนต้องหนีภัยความตายข้ามมาอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยตลอดแนวชายแดนตะวันตกของไทยจนถึงทุกวันนี้
โพดามีโอกาสได้เรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมปลายในค่ายผู้ลี้ภัย ในวัยเยาว์ เขาเคยมีความฝันอยากเป็นหลายอาชีพ แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านจนเติบใหญ่ ความฝันที่ได้แจ่มชัดจนกลายเป็นความจริงก็คือ อาชีพครู เขาให้เหตุผลว่า
“ครูได้สอนคนเยอะและสอนความคิดเข้าไปในหัวใจนักเรียน เราพูดอะไรเขาก็จะเชื่อฟัง”
และแล้ววันหนึ่งหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลายหมาด ๆ เขาก็ได้ทำหน้าที่ครูอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เช้าวันหนึ่ง ผอ. โรงเรียนมาบอกว่าต้องสอนแทนครูที่ไปดูแลสามีที่ป่วย วันแรกเหนื่อยมากเพราะต้องพูดเยอะ ชั้นเรียนที่สอน คือ ป. 3 วิชาสุขอนามัยและต้องสอนร้องเพลงด้วย เพราะที่ค่ายนี้อยู่ห่างจากอำเภอแม่สอดเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น จึงมักจะมีชาวต่างชาติไปเยี่ยมที่โรงเรียนบ่อย แล้วเด็กนักเรียนต้องร้องเพลงให้พวกเขาฟังทุกครั้ง ซึ่งผมจะไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเหมือนเราเป็นสัตว์อยู่ในสวนสัตว์ แล้วมีคนภายนอกมาเที่ยวชม ผมมักแอบหนีออกไปจากโรงเรียนเวลามีคนมาเยี่ยม”
หลังจากสอนหนังสือได้ปีครึ่ง มีบาทหลวงท่านหนึ่งต้องการสนับสนุนให้เขาได้เรียนภาษาไทยเพิ่มเติม เนื่องจากในค่ายผู้ลี้ภัยมีสอนเฉพาะภาษาอังกฤษ กะเหรี่ยง และพม่า เขาจึงลาออก เพื่อไปเรียนภาษาไทยเพิ่มเติมอีกปีกว่าๆ ด้วยเหตุที่มีความสามารถ พูดได้หลายภาษา เขาจึงได้รับการชักชวนให้ทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนเขาตัดสินใจทำงานที่นี่ ซึ่งทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้แนวความคิด เรื่องการพัฒนาชุมชนที่เป็นประโยชน์กับชาวกะเหรี่ยงมากยิ่งขึ้น
“ตอนแรกๆ ผมทำหน้าที่แจกเสื้อผ้า ข้าวสาร และสิ่งของ บริจาคต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ผมไม่ค่อยชอบนัก จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมเรื่องการพัฒนาทางเลือกและกระบวนการพัฒนาชุมชน ทำให้ผมรู้สึกอยากนำความรู้เหล่านี้กลับไปพัฒนาสังคมของตนเอง โดยเฉพาะในค่ายผู้ลี้ภัย เพราะปัญหาใหญ่ของผู้ลี้ภัยคือ มองไม่เห็นอนาคตของตนเองว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตจึงหมดหวัง อยู่ไปวันๆ แต่ผมมองว่า คนหนุ่มสาวควรจะมีโอกาสได้คิดวิเคราะห์เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนของตนเองบ้าง เช่น การจัดสรรอำนาจในชุมชน อำนาจของผู้นำมาจากไหน ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนมาจากไหน ก่อนหน้านั้นกลุ่มเยาวชนถูกละเลย ไม่มีใครคิดถึงการพัฒนาความคิดของคนกลุ่มนี้เลย คิดแต่เพียงว่า เยาวชนมีหน้าที่เรียนหนังสือในห้องเรียนอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เยาวชนจำเป็นต้องมีก็คือ วิธีคิด ดังนั้น เราจึงตั้ง Karen Student Network Group (KSNG) ขึ้นในปี พ.ศ. 2539”
หลังจากนั้น โพดาเริ่มมุ่งมั่นกับการทำงานเชิงความคิด เผยแพร่ความรู้เรื่องการพัฒนาชุมชนแบบทางเลือก รวมทั้งแนวคิด ด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ โพดากล่าวถึงความสำคัญของการทำงานของเขาว่า
“ผมคิดว่าการพัฒนากระแสหลักอาจมาแรงถ้าประเทศพม่าพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรคนที่ทำงานเพื่อชุมชนอย่างพวกเราก็ควรจะมีอยู่ เพื่อให้สังคมได้มีทางเลือก ไม่อย่างนั้น สังคมของเราก็จะน่าเกลียด เช่น ถ้าคุณไม่อยากกินไก่เคเอฟซี คุณก็สามารถเลือกกินอาหารอื่นๆ ได้”
นอกจากการทำงานกับกลุ่มเยาวชนแล้ว โพดายังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มปกป้องแม่น้ำกะเหรี่ยง หรือ Karen River Watch (KRW) เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับวิถีชีวิตชุมชนที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำในรัฐกะเหรี่ยงเผยแพร่สู่สังคมภายนอก นอกจากนี้ โพดายังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งวงดนตรี“Salween Angels” เพื่อเผยแพร่บทเพลงเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐกะเหรี่ยง โดยอัมบั้มแรกเผยแพร่เมื่อปี 2548 ที่ผ่านมามีชื่อว่า“So Long As the Salween Flows” หรือ “ตราบเท่าที่แม่น้ำสาละวินยังคงไหล” เขาเป็นผู้ประพันธ์หลายบทเพลง รวมทั้งเพลงเดียวกับชื่ออัลบั้ม
“พวกเราต้องการสร้างจิตสำนึกในการปกป้องแม่น้ำสาละวิน ที่พวกเราพึ่งพาอาศัยมาตั้งแต่อดีต ผ่านบทเพลงสไตล์โฟล์คซอง ใช้เครื่องดนตรีกีตาร์ผสมกับเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองหนัง และปี่เขาควาย พวกเราสร้างห้องอัดกระท่อมไม้ไผ่กันเองบนริมแม่น้ำสาละวินฝั่งประเทศพม่า ทั้งอัลบั้มมีทั้งหมด 9 เพลง ที่มา ของเพลง“ตราบเท่าที่แม่น้ำสาละวินยังคงไหล”นำมาจากข้อความในประวัติศาสตร์ล้านนา บางเพลงเกี่ยวกับความทรงจำตอนเด็ก ของผมเอง และนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง เราโฆษณาโดยใช้โปสเตอร์ไปติดตามค่ายผู้ลี้ภัยและโฆษณาในรายการวิทยุชุมชนในค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งกลุ่มเยาวชนกะเหรี่ยงทำงาน อยู่แล้ว ทำเทปออกมา 1 พันม้วนหมดแล้ว เพราะทั้งแจกและขาย”
ผลงานความคิดสร้างสรรค์อีกชิ้นหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับชายหนุ่มผู้นี้ในชุมชนกะเหรี่ยงก็คือ เขาเป็นชาวกะเหรี่ยงคนแรกที่ผลิตแบบอักษรหรือฟอนท์ภาษากะเหรี่ยงสำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์
“ก่อนหน้านี้มีฟอนท์ภาษากะเหรี่ยงที่มิชชันนารีเป็นคนคิดขึ้น แต่รูปแบบอักษรไม่ค่อยตรงกับแบบที่คนกะเหรี่ยงใช้เขียนทั่วไปเพราะคนคิดเป็นคนต่างชาติไม่ใช่เจ้าของภาษา ผมเลยลองทำฟอนท์ขึ้นมาเอง หาหนังสือมาอ่านเกี่ยวกับการสร้างฟอนท์ในคอมพิวเตอร์และสอบถามคนที่มีความรู้ด้านนี้ ตอนนั้นมีคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าอยู่เครื่องหนึ่ง ผมใช้เวลาคิด 6 เดือนจึงสำเร็จ ผมตั้งชื่อว่า KNU ย่อมาจาก Karen Normal Unique เพราะตั้งใจจะให้เป็นชื่อเดียวกับกองกำลังกู้ชาติของคนกะเหรี่ยง”
ปัจจุบัน ฟอนท์นี้จัดว่าเป็นฟอนท์สามัญที่คนกะเหรี่ยงใช้สำหรับพิมพ์หนังสือภาษากะเหรี่ยงนอกประเทศพม่า ส่วนในประเทศพม่าไม่สามารถใช้ฟอนท์นี้ได้ เพราะชื่อฟอนท์เป็นชื่อเดียวกับกองกำลังกะเหรี่ยงซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
ปัจจุบัน โพดาอายุ 35 ปี แต่งงานกับสาวกะเหรี่ยงเมื่อ ห้าปีก่อน มีทายาทเป็นลูกสาว 2 คน ที่เขาบอกอย่างอารมณ์ดีว่า “เหมือนถ่ายเอกสารหน้าตาผมออกมาเลย”
เขาสรุปบทเรียนจากการก้าวเดินบนเส้นทางแห่งความฝันที่ผ่านมาว่า
“อุปสรรคสำคัญของการทำงานก็คือ ชาวบ้านจะต้องดิ้นรนเรื่องปากท้องและความปลอดภัยของชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การสร้างความสนใจเรื่องการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาอื่น ๆ เราต้องทำให้สอดคล้องกับวิถีของชาวบ้านด้วย ไม่อย่างนั้น เราก็อยู่บนหอคอยงาช้าง ได้แต่คิดฝัน ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง
“ตอนนี้ผมไม่กล้าฝันไปไกล แต่คิดว่าเราทำได้หลายอย่าง มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว เคยมีคนบอกว่า ผมเพ้อเจ้อที่อยากจะมีองค์กรภาคประชาชนของกะเหรี่ยง แต่ทุกวันนี้ ผมก็ได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ทั้งกลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี และกลุ่มสิ่งแวดล้อม”
เพลง ตราบเท่าที่แม่น้ำสาละวินยังคงไหล
ยามค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ นกฮูกร้องอยู่บนยอดต้นไม้
ดอกไม้โอนอ่อนไปตามแรงลม
ฉันนอนไม่หลับเพราะคิดถึงบ้านเกิด
หุบเขาสาละวินคือบ้านเกิดของฉัน
พวกเราต้องทิ้งมันไว้เบื้องหลัง พวกเราต้องพลัดพราก
บางคนต้องหนีมาเมืองไทย
บางคนที่ยังคงอาศัยอยู่ข้างในจะต้องถูกบังคับ
ให้โยกย้ายไปเรื่อย ๆ
ถ้าน้ำสาละวินยังคงไหล
ถ้าเขาควายยังโค้งเข้าหากัน
ถ้าถ้ำช้างเผือกยังคงอยู่ที่นั่น
พวกเราจะไม่ลืมคำมั่นสัญญาที่เคยทำไว้ร่วมกัน
ครั้งหนึ่ง เจ้าฟ้าเมืองพะปุนของชาวกะเหรี่ยง
และเชียงใหม่ได้สัญญากันว่า
ทั้งสองฝ่ายจะช่วยเหลือกัน
แม่น้ำสาละวินจงเป็นสักขีพยาน
ถึงแม้ว่าจะมีสงครามในมือตรอว์ (พะปุน)
ดอกไม้ก็ยังหลบซ่อนได้ในผืนป่า
แต่ถ้าน้ำสาละวินท่วม
ดอกไม้ก็ไม่มีที่ซ่อนอีกต่อไป
เมื่อป่าอุดม กระรอกน้อยจะอิ่มเอมกับผลไม้มากมาย
ถ้าแม้น้ำสาละวินหยุดไหล บรรดาชีวิตน้อยใหญ่ก็จะร่ำไห้
แล้วสัญญาที่สาละวินก็คงหมดความหมาย
. . . . . . . . . .
หมายเหตุ แปลจากต้นฉบับภาษากะเหรี่ยง
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 30 (1 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2549)