ดวงดาวแห่งความฝันบนท้องฟ้ารัฐอาระกัน

ณ รัฐอาระกัน (ยะไข่) ดินแดนที่ตั้งอยู่ติดเส้นพรมแดนของประเทศบังกลาเทศ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า  ยังมีเยาวชนคนรุ่นใหม่อีกจำนวนมากเปรียบเสมือนดาวดวงน้อยที่กำลังเปล่งแสงประกายบนฟากฟ้า ต้องการมีอนาคตที่สดใส แต่เพราะชะตากรรมของพวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์กำหนดชีวิตของตนเอง

 ผมก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายหรอกเกี่ยวกับประเทศไทยรู้แต่เพียงว่ามันตั้งอยู่ติดกับประเทศพม่าเท่านั้น"

นั่นเป็นคำพูดของซอนาย ชายหนุ่มวัย 23 ปี ที่ตัดสินใจ ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยเพราะไม่สามารถทนการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลพม่าได้อีกต่อไป ซอนายเกิดและเติบโตที่หมู่บ้าน เล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองยะเต๊ะต่อง รัฐอาระกัน ในครอบครัวชาวนา เขาเป็นลูกคนที่ 8 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9  คน ซอนายบอกว่าเขาโชคดีมากๆ ที่ยังได้มีโอกาสเรียนหนังสือ เขาชอบการเรียนและอยากเรียนให้จบชั้นสูงๆ ตอนเด็กเมื่อถูกใครต่อใครถามว่าอยากเป็นอะไร ซอนายก็จะบอกกับคนที่ถามด้วยอาการภาคภูมิใจ ทุกครั้งว่า  ผมอยากเป็นวิศวกร 


ซอนายบอกเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขามีความฝันที่อยากจะเป็นวิศวกรว่าเขาอยากช่วยสร้างถนนหนทางที่ดี ๆ ในรัฐอาระกัน และอยากช่วยพัฒนาให้รัฐอาระกันเจริญก้าวหน้า ซอนายไม่รู้ว่าความฝันของเขาจะ เป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงแอบเก็บความฝันนี้ไว้ในใจตลอดเวลา
เมื่อสำเร็จชั้นสิบซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในระดับมัธยมศึกษาของพม่า ซอนายก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอาระกัน(ยะไข่)และแล้วเขาก็สามารถสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยอาระกันได้จริงๆ

หลังจากสองปีที่ได้เรียนที่นั่น  ซอนายต้องตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยเพราะเขาไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงมากๆ ของรัฐบาลได้ไหว  ซอนายบอกเล่าเรื่องราวที่เขารู้สึกคับแค้นใจด้วยใบหน้าของคนที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธ ซอนายไม่ได้เรียนต่อเพราะเขาไม่มีเงินพอสำหรับค่าการศึกษา  ซอนายบอกว่าตอนนั้นความฝันของเขาก็เหมือนกับดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้าแล้ววูบดับลงกะทันหัน ซอนายไม่ได้โชคดีเหมือนกับนักศึกษาในบ้านเราซึ่งหากไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนก็สามารถกู้เรียนได้  ตลอดจนมีทุนการศึกษามากมายที่สนับสนุนให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้ได้เรียนจนจบ ทว่าซอนายและเยาวชนอีกจำนวนไม่น้อยในพม่ายังไม่ได้มีโอกาสเช่นนั้น

หลังจากที่ซอนายต้องออกจากมหาวิทยาลัยอย่างไม่ เต็มใจนั้น เขาได้ออกมาช่วยที่บ้านของเขาทำนา เขาเริ่มรู้สึกว่าการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลยังตามมารังควาญเขาอย่างไม่เลิกรา

"เราทำนาเราก็ต้องเสียภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บตามชอบใจเขารู้ดีว่าเราจะเก็บเกี่ยวเมื่อไหร่อย่างไรเขาจะมาวันที่เราเก็บเกี่ยวนั่นแหละบางครั้งเขาเก็บเอาผลผลิตของเราไปจนหมดเลยผมว่าเขาไม่ได้เก็บหรอกแต่เขายึดเอาไปมากกว่าเขาไม่เคยสงสารชาวนาหรือคนที่ยากจนเลย"

ผู้คนที่อยู่ในสังคมที่ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องอยู่อาศัยกันภายใต้ความกดดันต่างๆ นานา  พวกเขากลายเป็น ผู้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียง  ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้  แม้แต่การเรียกร้องขอความเป็นธรรมและความถูกต้องของชีวิต ซอนายและผู้คนในหมู่บ้านแห่งรัฐอาระกันต้องประสบกับความลำบากในหลาย ๆ ด้าน นอกจากพวกเขาจะไม่ได้รับการสนับสนุนหรือการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วพวกเขายังต้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ เหตุการณ์เช่นนี้ยังดำเนินอยู่เรื่อยไปในหมู่บ้านซึ่งไม่เพียงแต่ที่รัฐอาระกันเพียงแห่งเดียวเท่านั้นแต่มันได้เกิดขึ้นทั่วไปใน ดินแดนของรัฐอื่นๆ ที่เป็นพื้นที่ของชนกลุ่มชาติพันธุ์ เท่าที่ซอนายจำความได้ เขาก็พบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว  ทุกครั้งที่เขาต้องพบกับเหตุการณ์ที่ถือว่ามันเป็นการละเมิด สิทธิมนุษยชนของรัฐบาลนั้น เขาก็ได้แต่คิดว่าพวกเขาช่าง โชคร้ายกันเสียจริง แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะดีว่า อำนาจของรัฐบาลนั้นไม่มีใครทัดทานได้

มีหลายครั้งที่ซอนายตัดสินใจที่จะออกไปให้พ้นจากสภาพสังคมเช่นนี้  แต่เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดสักครั้ง  ซอนายเป็นห่วงบ้านและไม่รู้ว่าถ้าจากไปแล้วจะมีโอกาสกลับเข้ามาใหม่ได้อีกหรือไม่  เช่นเดียวกับพี่สาวของเขาคนหนึ่งที่แต่งงานกับชาวอาระกันด้วยกัน จากนั้นก็พากันไปอยู่ที่ประเทศไทยและยังไม่ได้กลับมาบ้านสักครั้ง  แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนชาวอาระกันได้มาชักชวนเขาเพื่อให้เดินทางไปประเทศไทย ซอนายยังไม่ได้ให้คำตอบในทันที  แต่หลังจากนั้นมันก็ทำให้เขาต้องคิดมากและจะต้องตัดสินใจ  ซอนายบอกว่าตอนแรกรู้สึกกลัวมากเพราะไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับประเทศไทยเลย  ถ้าไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้างก็ยังไม่รู้

"ผมคิดไว้ว่าประเทศไทยจะต้องดีกว่าพม่าในหลายๆด้านผมเคยได้ยินมาว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการปกครองของพม่าที่รัฐอาระกันแม้ว่าพวกเราจะมีบัตรประจำตัวประชาชนที่ยืนยันว่าเราเป็นคนของประเทศพม่าแต่เราก็ยังถูกกดขี่ห่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

ตอนนี้ซอนายรู้แล้วว่าเขาจะต้องตัดสินใจอย่างไร เขาได้เลือกเส้นทางชีวิตที่ยังไม่รู้ว่าตัวเขาจะต้องพบกับเหตุการณ์ใดบ้าง  ซอนายตัดสินใจที่จะเดินทางมาเมืองไทยกับเพื่อนอาระกันของเขา ซอนายบอกว่าอย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้สึกอบอุ่นใจเพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็ยังมีพี่สาวอยู่ที่เมืองไทย  ก่อนมาเมืองไทยซอนายวาดฝันไว้ว่าเขาจะต้องหาทางศึกษาหาความรู้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์  เขารู้สึกว่าที่พม่ายังไม่เปิดกว้างเรื่องการสอนคอมพิวเตอร์   เด็กๆ  ยังไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์  เด็กบางคนยังไม่รู้จักคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ

 ซอนายรู้อยู่เสมอว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดที่จะช่วยให้สังคมเกิดการพัฒนาก้าวหน้า  ตอนนี้ซอนายมีความฝันแทรกเข้ามาในหัวสมองอีกอย่างหนึ่งแล้วนั่นคือหากว่าเขาได้เดินทางมาประเทศไทย แล้วได้มีโอกาสศึกษาทักษะทางคอมพิวเตอร์เขาก็จะรีบไขว่คว้าโอกาสนั้นอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อว่าเวลาที่เขาเดินทางกลับรัฐอาระกันแล้ว  เขาจะได้นำความรู้นั้นเผยแพร่ให้เด็กๆ  ที่นั่นได้รับรู้บ้าง  ในเมื่อรัฐบาลยังคงปิดกั้นโอกาสทางการศึกษาบางอย่างอยู่  การที่จะมานั่งรอว่าเมื่อไหร่รัฐบาลจะสนับสนุนหรือช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องความหวังลมๆแล้งๆ

วันที่ซอนายทั้งเศร้าและดีใจนั้นคือวันที่จะต้องลงเรือสำเภาออกจากรัฐอาระกันเมื่อหกเจ็ดเดือนที่ผ่านมา  ซอนายรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นดวงหน้าของผู้เป็นแม่ที่มาส่งเขาอาบไปด้วยน้ำตาเต็มสองแก้ม  เขาไม่เคยจากบ้านไปไกล  และที่ดีใจก็คือเขายังมีความหวังว่าอย่างน้อยเขาก็จะกลับมาทำงานเพื่อสังคมอาระกันอย่างแน่นอน  ก่อนเรือออกจากท่า ซอนายหันกลับมามองหน้าแม่อยู่หลายครั้งและพยายามเก็บภาพใบหน้าแม่ไว้ในดวงตาทั้งสองข้างของเขา เขาเหลียวดูดวงหน้าของแม่และแผ่นดินเกิดจนกระทั่งแม่ของเขาและแผ่นดินอาระกันลับหายไป เรือสำเภาที่เดินทางออกจากรัฐอาระกันจะต้องมุ่งตรงมาเทียบท่าที่ย่างกุ้ง ซึ่งระยะทางจากรัฐอาระกันมาถึงย่างกุ้งนั้นไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ซอนายบอกว่าเขาต้องอยู่บนเรือสำเภาถึงสามวันด้วยกัน

"รู้ไหมตอนที่อยู่บนเรือสำเภานั้นมองไปทางไหนก็ ไม่มีแผ่นดินเลยกลัวก็กลัวกลัวคลื่นลมกลัวพายุเข้าวันที่สามเมื่อเรือแล่นเข้าใกล้ฝั่งพอเริ่มเห็นฝั่งอยู่ลิบๆเท่านั้นหัวใจของผมก็พองโตขึ้นมาด้วยความดีใจ"


หลังจากเรือเข้าเทียบท่าที่ย่างกุ้งแล้ว ซอนายก็เริ่มการเดินทางของเขาต่ออย่างไม่รีรอ จุดหมายปลายทางของเขาไม่ใช่เมืองย่างกุ้ง แต่จุดหมายปลายทางของเขาคือประเทศไทยที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ซอนายขึ้นรถจากย่างกุ้งต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงชายแดนด้านเมียวดี เขาต้องใช้เวลาเดินทางถึงสองวันด้วยกัน กว่าจะเดินทางมาถึงชายแดนประเทศไทย เขาได้รับคำแนะนำให้เข้าไปหาประสบการณ์ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งเพื่อจะได้ความรู้กลับไปพัฒนาสังคมของตนเอง เมื่อถามซอนายว่าสำหรับเขาแล้วประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพตามที่เขาได้คิด
ไว้ไหม ซอนายตอบว่า

"แม้ว่าผมจะไม่ได้รับสิทธิให้ไปไหนมาไหนได้อย่างเสรีแต่ก็รู้สึกโชคดีที่ยังมีสิทธิเสรีที่จะคิดและรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของโลกภายนอกได้มากยิ่งขึ้น"


ซอนายพยายามขวนขวายหาความรู้ทั้งในเรื่องการฝึกฝนภาษาอังกฤษและการเรียนรู้ทักษะคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่ได้นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขามักจะคิดถึงน้องๆ ที่รัฐอาระกันอยู่เสมอ  วันนี้ซอนายได้เริ่มถักทอความฝันของเขาอย่างจริงจัง เขาเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองภายหลังจากที่ได้เข้ามาอยู่ที่องค์กรแห่งนี้ โดยเขาได้เรียนรู้ถึงกระบวนการการทำงานด้านสังคม ได้เรียนรู้ถึงเรื่องการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย  ทักษะทางคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่าเก่า  และยังได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษกับคนในองค์กรบ้าง กับเอ็นจีโอชาวต่างชาติบ้าง

ทุกครั้งที่ได้รับความรู้ใหม่ๆ ซอนายก็จะจดบันทึกไว้ในสมุดบันทึก เพราะเขาเห็นว่าภายหน้ามันจะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ ชาวอาระกัน ถึงวันนี้สมุดบันทึกเรื่องราวต่างๆ  ของเขาก็กำลังจะเต็มไปด้วยวิชาความรู้นานาประการ เราคิดว่าคงอีกไม่นานนักที่ซอนายจะได้เห็นความฝันของเขาปรากฏขึ้นที่ดินแดนอาระกัน เราจะคอยเฝ้าดูและเป็นกำลังใจให้ความฝันของเขาสำเร็จขึ้นในเร็ววัน

ครั้งหนึ่งตอนที่ซอนายต้องออกจากมหาวิทยาลัยนั้น  เขาบอกกับเราว่า  ความฝันในชีวิตเขาก็เหมือนกับดวงดาวที่เคยส่องแสงสว่างไสว แต่แล้ววันหนึ่งแสงนั้นก็ต้องวูบดับไป ทว่าวันนี้ดวงดาวที่ไร้แสงกำลังจะกลับมาส่องแสงใหม่อีกครั้ง และจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ เป็นดวงดาวแห่งความหวังที่จะช่วยส่องนำทางให้สังคมอาระกันสว่างไสวขึ้น

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 30 (1 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2549)