โดย ฐิรติ วสุนธรา
หน้าจอทีวีในช่วงค่ำของวันที่ 8 มีนาคม 2553 กิจกรรมวันสตรีสากล จัดเป็นประเด็นเด่นประจำวัน โดยเฉพาะการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ ผู้หญิงจากทั่วประเทศที่ทำความดีในด้านต่างๆ ทว่า ณ แผ่นดินรัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ ยังมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอาสาเสี่ยงชีวิตเสียสละตัวเองเพื่อปกป้อง ชุมชน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับทหารพม่าที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุด ในขณะที่ผู้ชายหลายคนกลับปฏิเสธและวิ่งหนี
เรากำลังกล่าวถึง แม่หลวง หรือ หัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นผู้หญิง ในหลายตำบลของรัฐกะเหรี่ยงและรัฐมอญ จากรายงานเรื่อง “Walking Amongst Sharp Knives” ในชื่อภาษาไทยว่า “เดินบนมีดแหลมคม” ซึ่งองค์กรสตรีกะเหรี่ยง (KWO) ได้ใช้เวลาเก็บข้อมูลกว่า 4 ปี เพื่อตีแผ่ เรื่องราวชีวิตจริงของแม่หลวงจำนวนถึง 95 คนที่ถูกทหารพม่าละเมิด สิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการข่มขืนที่เกิดขึ้นในภาวะ สงคราม
การที่ผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำชุมชนมากมายขนาดนี้ เป็นเรื่อง ค่อนข้างแปลกในสังคมส่วนใหญ่ แต่หากย้อนกลับไปในยุคที่ศาสนายัง ไม่แผ่ขยายในกลุ่มชาวกะเหรี่ยง แต่ละหมู่บ้านจะมี “กอซา” หมายถึง ผู้นำหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า “กอซาหมื่อ” ซึ่งคำว่า “หมื่อ” แปลว่า ผู้หญิง หน้าที่ของผู้นำคือ ตัดสินโทษ นำการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มี ความรู้และได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน แต่ในเวลาต่อมา ชื่อของ กอซาหมื่อ ค่อยๆ เลือนหายไปจากชุมชนชาวกะเหรี่ยง เพราะธรรมเนียม ปฏิบัติในการเลือกผู้ชายมาเป็นผู้นำมากกว่า
แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงได้กลับมามีบทบาทในชุนชนชาวกะเหรี่ยง อีกครั้ง โดยพวกเธอถูกเรียกว่า “กอซาหมื่อ” ตามที่เคยเรียกกันมาแต่อดีต แต่ด้วยสาเหตุใดจึงทำให้ กอซาหมื่อ กลับมาอีกครั้ง?
เป็นที่ทราบกันดีว่า กองทัพทหารพม่ามักจะใช้กำลังคุกคาม ประชาชนในรัฐกะเหรี่ยงเรียกเอาทรัพย์สิน อาหาร และบังคับใช้แรงงาน ซึ่งมีการทำร้ายชาวบ้านเพื่อข่มขู่ให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา ให้รู้ถึง โทษของผู้ที่คิดขัดขืน ไม่ว่าจะเป็นการเผาทั้งเป็น การทรมานทั้งการจับ ตรึงกางเขน ทุบตีจนตาย จับกดน้ำ จับคนไปฝังดินทั้งเป็นและการสังหารโดยพลการและคนแรกที่ตกเป็นเหยื่อมักจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำ ชุมชน ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ปฏิเสธการเป็นผู้นำ บางคนถึงกับต้องทิ้งบ้าน เรือนหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยและเกรงกลัว อันตรายจากทหารพม่า ทำให้ผู้หญิงถูกเลือกจากชุมชนให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ มากขึ้น ซึ่งหลายคนหวังว่า ผู้หญิงอาจจะได้รับการยกเว้นหรือช่วยลดทอน ความรุนแรงจากทหารพม่าได้
ทว่า เหตุการณ์กลับตาลปัตร กอซาหมื่อ หรือ แม่หลวงกลายเป็น เป้าหมายใหม่ในการทำสงครามด้วยการล่วงละเมิดทางเพศ เธอและหญิง ชาวบ้านจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศในรูปแบบต่างๆ ทั้งการข่มขืนและการรุมข่มขืน โดยไม่สนใจว่าจะอายุเท่าไหร่จะมี สามีหรือไม่ ไม่เว้นแม้กระทั่งหญิงที่ตั้งครรภ์ ซ้ำร้ายยังมีการออกคำสั่งบังคับให้แม่หลวงหลับนอนด้วย รวมไปถึงการฆ่าข่มขืนซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นแทบทุกหมู่บ้าน
“ตอนที่ฉันต้องเดินแบกเสบียงไปกับกองทหาร แม่หลวง ทุกคนจะถูกสั่งให้นอนอยู่ข้างค่ายทหาร ตกดึกพวกเขาดื่มเหล้า จนเมา มีคนที่โชคร้ายถูกปลุกให้ตื่นและบังคับให้หลับนอนกับทหาร บ้างก็ถูกฉุดเข้าไปหากขัดขืน” คำบอกเล่าจากปากแม่หลวงคนหนึ่งที่ถูกปฏิบัติราวกับโสเภณี
สิ่งที่บันทึกไว้ในรายงานจากปากของแม่หลวงคนแล้วคนเล่า กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตและครอบครัวของเธอ ผ่านตัวหนังสือ อย่างเจ็บปวด ซึ่งช่วยตอกย้ำถึงการละเมิดทางเพศอย่างเป็นระบบของ ทหารพม่า
“ลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งชีวิตของฉันถูกพวกมันข่มขืนและทำร้ายจนเสียสติอยู่จนทุกวันนี้” แม่หลวงคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบายความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่แสนเจ็บแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาว ซึ่งถูกพรากจากอกขณะที่นอนอยู่รวมกับพี่ชายอีก 6 คนในบ้าน เด็กหญิง ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเพราะมีคนหนีไประหว่างการ บังคับใช้แรงงาน
ดอว์ เอ มี ซัน ปัจจุบันอายุ 51ปี จาก ต.ตะโถ่ง(หรือสะเทิม) ถูกเลือกให้เป็นแม่หลวงตั้งแต่ปี ค.ศ.1994-1999 เนื่องจากฉลาด หลักแหลมและกล้าหาญ เธอเล่าว่า ตอนที่ตั้งท้องได้ 7 เดือน ทหารพม่า เรียกตัวเธอไปสอบสวนเพราะสงสัยว่าส่งเสบียงให้กับทหารฝ่ายตรงข้าม “นายกองทหารพม่าชื่อ มินมินอู เอามีดจี้ที่ท้องของฉัน ขู่ให้บอก ข้อมูลของทหารกะเหรี่ยงที่เข้ามาในหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้นเขาจะผ่าท้อง ฆ่าลูกและควักไส้ฉันออกมา ในตอนนั้นฉันกลัวมากคิดว่าจะต้อง ตายแน่ แต่ฉันก็รวบรวมความกล้าและตอบกลับไปว่าทหารกะเหรี่ยง ไม่เคยเข้ามาในหมู่บ้าน ถ้าไม่เชื่อ ฉันจะลาออก(จากการเป็นแม่หลวง) ถ้าไม่พอใจคำตอบของฉัน ก็ฆ่าฉันซะ” เธอรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดแต่ หูข้างหนึ่งสูญเสียการได้ยินเพราะทหารยิงปืนขู่ใกล้ๆ หูข้างนั้นหลายครั้ง
แม่หลวงมักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าในการติดต่อและให้ ความช่วยเหลือแก่ทหารกะเหรี่ยง ส่วนหญิงชาวบ้านที่ถูกจับได้ว่าเป็น เมียของทหารกะเหรี่ยงก็จะถูกทรมานด้วยการจับกดน้ำและข่มขืนซ้ำ แล้วซ้ำเล่าเพื่อให้บอกความลับของสามี จนในที่สุดเธอถูกฆ่าตาย นอกจากนี้ การเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกจับตัวไป สอบสวนก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของแม่หลวง แต่ก็มักจะถูกกล่าวหาว่า เป็นสายสืบของทหารกะเหรี่ยงเสียเอง บางคนถูกทำร้ายระหว่างการ สอบสวนเพราะทหารพม่าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด การเข้าไปในค่ายทหารเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาต่างๆ นั้น ไม่ต่างกับการวิ่งเข้าสู่วงล้อมของ หมาป่าที่จ้องจะกัดกินฉีกร่างกายเธอได้ทุกเมื่อ
“พวกเขาทุบตีฉันและเอาถุงพลาสติกคลุมหัวฉันไว้ พร้อมทั้ง เทน้ำลงไปช้าๆ จนอากาศที่จะหายใจน้อยลงทุกทีจากนั้นฉันก็ถูก ส่งไปขังในคุกมืดนาน 1 เดือน”
แม้พวกเธอจะตระหนักอยู่เสมอว่า การเข้ามาเป็นหัวหน้า หมู่บ้านเท่ากับการขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถต่อสู้กับ ทหารที่มีอาวุธอยู่ในมือ แต่แม่หลวงหลายคนก็รับหน้าที่นี้ไม่น้อยกว่า 5 ปี บางคนยาวนานถึง 20 ปี พวกเธอยืนหยัดที่จะเสียสละเพื่อปกป้อง ชุมชนและดูแลชาวบ้าน ดังเช่น ดอว์ ทิน โอน วัย 44 ปี เธอให้เหตุผลสั้นๆ ว่า “คนในครอบครัวไม่อยากให้ฉันเป็นหรอก แต่ฉันเลือกที่จะทำ เพราะสิ่งเดียวที่นึกถึงคืออนาคตของชุมชนของฉัน”
หน้าที่ของแม่หลวงหลายคนสิ้นสุดลงพร้อมกับความตายด้วย น้ำมือทหารพม่า สถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม่หลวง จำนวนไม่น้อยจำใจหนีตายอพยพมาอยู่ตามแนวชายแดน บ้างก็ข้าม มาฝั่งไทยและอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ชีวิตบั้นปลายของหญิงผู้กล้าที่ต่อสู้กับ ทหารพม่าด้วยสองมือเปล่า ต้องลงเอยด้วยการอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เคยได้รับรางวัลทรงเกียรติใดๆ ทั้งสิ้น แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่พวกเธออยาก ได้เพราะความสงบสุขบนผืนแผ่นดินต่างหากคือสิ่งที่ต้องการ
ข่าวภาคค่ำจบลงแล้ว แต่ชีวิตของผู้หญิงอีกหลายชาติพันธุ์ ในแผ่นดินพม่ายังถูกทำร้ายไม่จบไม่สิ้น ผู้หญิงที่น่าชื่นชมยกย่อง เชิดชูเกียรติในวันสตรีสากลนี้ หนึ่งในนั้นอยากให้เป็นเธอ “แม่หลวงของชาวกะเหรี่ยง”