สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นประสบการณ์การเดินทางไปพม่าเมื่อหลายเดือนก่อนกับเพื่อนอีกลายคน การเดินทางของพวกเราค่อนข้างต่างจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางไปพม่า คือพวกเราเดินทางไปเที่ยวกันเอง ไม่มีไกด์นำเที่ยว พวกเราเที่ยวพม่าด้วยหนังสือคู่มือนำภาษาอังกฤษเพียงเล่มเดียว และประโยคเพียงไม่กี่ประโยคในหนังสือเล่มนี้ได้เกือบพาพวกเราไปสู่จุดจบของชีวิต ผมจึงอยากเล่าประสบการณ์นี้ให้ทุกคนฟัง เพื่อให้คนที่จะเดินทางเข้าไปในประเทศพม่าต่อไป เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
พวกเราเดินทางไปประเทศพม่าทางเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองบินสู่กรุงย่างกุ้ง หลังจากนั้นจึงเดินทางท่องเที่ยวในประเทศพม่าโดยใช้ทางรถเป็นหลัก เนื่องจากทางอากาศและทางรถไฟมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่ารถไฟในพม่าแพงกว่าค่ารถเกือบสิบเท่า ตัวอย่างเช่น ค่ารถบัสจากเมืองย่างกุ้งไปมัณฑะเลย์ ระยะทางเทียบเท่ากรุงเทพฯ -เชียงใหม่ แค่ ๑๖๐ บาท ขณะที่ค่ารถไฟราคา ๑๒๐๐ บาท
แต่ด้วยความอยากนั่งรถไฟในชมวิวในพม่าสักครั้ง พวกเราจึงตัดสินใจนั่งรถไฟจากเมืองมัณฑะเลย์สู่เมืองล่าเสี้ยว ในเขตรัฐฉาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า เนื่องจากในหนังสือท่องเที่ยวบรรยายเอาไว้ว่า "แม้ว่าค่ารถไฟในพม่าจะราคาแพง แต่การนั่งรถไฟบนเส้นทางนี้ก็คุ้มค่า เพราะรถไฟจะวิ่งผ่านสะพานข้ามช่องเขาที่ยาวนับกิโลเมตร ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอังกฤษปกครอง" ข้อความเหล่านี้เองที่ทำให้พวกเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิต สาเหตุที่รถไฟราคาแพงหว่ารถบัวเกือบสิบเท่าไม่ใช่เพราะคุณภาพของรถไฟดีกว่ารถบัสแต่อย่างใด เพราะถึงแม้เราจะจ่ายราคาตั๋วชั้นหนึ่ง แต่รถไฟที่เราขึ้นก็เป็นโบกี้และขบวนเดียวกับรถไฟชั้นสามที่ชาวบ้านใช้โดยสารตามปกติ สิ่งที่แตกต่างมีเพียงพวกเราจะมีที่นั่งในขบวนรถไฟอย่างแน่นอน ไม่ว่าขบวนรถไฟนั้นจะมีคนยืนมาแน่นขนัดตั้งแต่สถานีก่อนก็ตาม เพราะเมื่อรถไฟมาถึง เจ้าหน้าที่ประจำสถานีจะขั้นไปไล่ชาวบ้านที่สามารถจับจองที่นั่งได้ก่อนลุกขึ้นยืน และยกที่นั่งดังกล่าวให้กับเราแทน
ตามกำหนดเวลาในตารางรถไฟ รถจะออกจากเมืองมัณฑะเลย์ตั้งแต่เช้า ผ่านเมืองสีป้อและสุดทางที่เมืองล่าเสี้ยวในหัวค่ำ พวกเราเริ่มต้นนั่งรถไฟด้วยความสนุกครื้นเครง ชมวิวสองข้างทางด้วยความรื่นรมย์ จนกระทั่งเวลาใกล้พลบค่ำ ความสนุกจึงเริ่มกลับกลายเป็นความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เมื่อได้ยินเสียงคนบนรถไฟร้องวี้ดว้ายกันลั่น พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงหวูดจากโบกี้คนขับดัง บอกสัญญาณเตือนภัย บางคนพาลคิดว่าอาจเกิดไฟไหม้เพราะเห็นแสงไฟวาบขึ้นมาจากโบกี้ด้านหน้า แต่เมื่อมองไปทางชาวบ้านในโบกี้เดียวกัน ก็เห็นคนก้มหน้าคล้ายกับหลบอะไรบางอย่างจากหน้าต่าง เราจึงพาลคิดไปว่าอาจมีการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่าเกิดขึ้นใกล้ๆ แน่ ดังนั้น พวกเราจึงก้มหัวตาม แต่ในที่สุด เราก็ได้คำตอบ เมื่อรถไฟค่อยๆชะลอจอดพร้อมกับเสียงกึกกังบริเวณล้อฝั่งซ้ายของโบกี้แรก ชาวบ้านหันมาบอกกับเราว่า รถไฟตกรางนั่นเอง ไม่ต้องกลัวเพราะ "ตกเป็นประจำ"นอกจากนี้ยังพยายามให้กำลังใจด้วยว่า "ยังดีที่ไม่ตกตอนผ่านช่องเขานะ เพราะถ้าอย่างนั้นคงตายกันหมดแล้วหละ" พวกเรากล่าวขอบคุณสำหรับกำลังใจพร้อมกับกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว เมื่อนึกภาพรถไฟตกรางระหว่างผ่านช่องเขา
สิ่งที่พิสูจน์ว่า รถไฟตกรางบ่อยแค่ไหนคงจะเป็นความรู้สึกเคยชินของพวกชาวบ้านทั้งขบวนรถไฟ ซึ่งหลังจากรถไฟจอดสงบนิ่งในความมืด หญิงคนหนึ่งก็เอื้อมมือไปหยิบเทียนไขขึ้นมาจุด หลังจากนั้นจึงหยิบตะกร้าหมากพลูขึ้นมาห่อเป็นก้อนกลม ใส่ถุงพลาสติกแล้วปิดปากถุงด้วยเทียนไขอย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มที่มาด้วยกันค่อย ๆ นำถุงหมากเรียงใส่ถาดจนเต็มแล้วออกเดินเร่ขายในความมืด ชาวบ้านต่างหยิบเงินออกมาซื้อหมากไปเคี้ยวกันจนเพลินแล้วเล่าเรื่องตลก หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่พวกเรากลับรู้สึกตรงกันข้าม ในสมองคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เราเริ่มหวาดกลัวว่าจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างไร เพราะรถไฟตกรางท่ามกลางป่า เงียบสงัด มองไม่เห็นว่าจะมีเจ้าหน้าที่จากสถานีใกล้ ๆ หรือใครมาช่วยเหลือ บนรถไฟมีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็ก ๆ พอให้อุ่นใจและเห็นหน้าคนที่เดินผ่านไปมา พวกเราเริ่มกังวลว่า หากพวกเราต้องนอนบนรถไฟในคืนนี้ พวกเราจะถูกขโมยข้าวของมีค่าและพาสปอร์ตซึ่งเป็นของสำคัญที่สุดของพวกเราหรือไม่ เพราะในความมืด เรามีรู้ว่าใครเป็นใคร แล้วถ้าเกิดคืนนี้มีทหารพม่าผ่านมา แล้วจับตัวพวกเพื่อนผู้หญิงของเราไปไว้ในป่าและทำมิดีมิร้ายพวกเราจะทำอย่างไร พวกเราได้แต่ภาวนาขอให้รอดชีวิตผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
หลังจากรถไฟจอดสนิทอยู่นานกล่าสองชั่วโมง เสียงหวูดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นพวกเรามีทั้งความรู้สึกดีใจและหวั่นใจปนกัน ดีใจที่ไม่ต้องนอนค้างคืนบนรถไฟและหวั่นใจหากรถไฟวิ่งต่อไปแล้วตกรางอีกครั้งพวกเราจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำได้ในเวลานั้นคือ พวกเราภาวนาให้รถไฟวิ่งช้า ๆ เพราะล้อจะได้อยู่บนรางอย่างมั่นคง
หลังจากนั่งลุ้นอยู่เกือบชั่งโมง รถไฟก็วิ่งมาถึงปลายทาง พวกเรากล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และบอกกับตัวเองว่า "ต่อไป อย่าให้คู่มือท่องเที่ยวเป็นพระเจ้าคอยนำทางให้พวกเราเพียงอย่างเดียว เราต้องมีสติและทบทวนให้รอบคอบว่า ประเทศที่เรากำลังเดินทางอยู่เป็นประเทศใด หากประเทศที่เรากำลงเดินทางเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสงครามกลางเมืองและมีปัญหาทางด้านการคมนาคมอย่างประเทศพม่า เราควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
การเดินทางไปพม่าครั้งนี้ แม้ว่าเราจะได้พบเรื่องราวที่น่ากลัวในชีวิต แต่พวกเราก็อยากจะกลับไปพม่าอีกครั้ง พวกเราได้แต่ภาวนาให้ประเทศพม่าสงบสุขในเร็ววัน เราจะได้ไปเที่ยวโดยไม่ต้องผวาสงครามกลางเมือง แต่ความสงบจะต้องมาพร้อมกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ใช่สงบเพราะฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ อำนาจ และอีกฝ่ายหนึ่งถูกกดขี่ลิดรอนสิทธิของการมีชีวิตอยู่.
ฉบับที่ 3 (กันยายน-ตุลาคม 2545) |