สัมภาษณ์ : เตือนใจ ดีเทศน์

"ถ้าคนไทยเราให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่จะมีความสัมพันธ์กันต่อไปอย่างไร เราก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของประเทศอื่นๆ ที่มีชายแดนติดกัน แล้วเขาก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเราเหมือนกัน"



เมื่อเอ่ยถึงผู้ทำงานติดตามแก้ไขปัญหาเรื่องคนไร้รัฐไร้สัญชาติในสังคมไทย ชื่อของ เตือนใจ ดีเทศน์ จะต้องติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของบุคคลสำคัญที่มีส่วนผลักดันกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติและกฎหมายที่เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานหลายฉบับในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  นอกจากนี้ ท่านยังเคยมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศพม่า ได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพม่าจนเกิดความประทับใจนำเรื่องราวมาถ่ายทอดให้ฟังในคอลัมน์ครั้งหนึ่งในความทรงจำฉบับนี้



อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยเดินทางไปพม่า
เมื่อปลายปี 49มีโอกาสไปพม่า  9 วัน ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาที่สำคัญ 4  แห่ง  คือ  เจดีย์ชเวดากอง พระธาตุอินทร์แขวน  พระธาตุมุเตา  และพระมหามัยมุนี และยังได้ไปสถานที่สำคัญอื่นๆ  อีก  สิ่งที่ได้เห็นและประทับใจคือ  ประชาชนพม่าศรัทธาในพุทธศาสนามาก  คนไปวัดเหมือนไปงานมหกรรม  นอกจากนี้ประชาชนยังพึ่งตัวเองได้มาก  ผู้ชายยังคงนุ่งโสร่งและผู้หญิงนุ่งซิ่น  ใส่รองเท้าคีบ  แต่คนไทยตามอย่างฝรั่งกันหมด  ที่ประทับใจมากที่สุด  คือ  แม่น้ำอิระวดีซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเลย  พอเห็นอย่างนี้ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า  ทำยังไงที่เราจะทำให้ประเทศพม่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์  ซึ่งจะทำให้ประชาชนพม่ามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของประเทศในการดูแลจัดการทรัพยากร  และไม่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศเรา  คิดว่า พม่ามีความอุสมบูรณ์มาก  แต่น่าเห็นใจประชาชนของเขาที่อยู่ในประเทศของตนเองไม่ได้   เวลาไปคุยกับพระสงฆ์ท่านก็บอกว่า  รัฐบาลไม่สนใจประชาชน  ขนาดพระสงฆ์ยังพูดถึงรัฐบาลอย่างนี้  โดยเฉพาะพระศาสนา  รัฐบาลก็ยิ่งไม่สนใจใหญ่  การที่ศาสนาอยู่ได้เพราะประชาชนมีศรัทธา



ช่วงที่เข้ามาทำหน้าที่ ส.ว. และ สนช.มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกฎหมายด้านสิทธิหลายฉบับ  มองปัญหาเรื่องสิทธิของประชาชนจากพม่าที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างไร
เห็นความแตกต่างของการได้สถานะทางกฎหมายของคนที่มีรัฐที่อยู่ติดกับประเทศไทย  เช่น  รัฐฉาน  รัฐมอญ  หรือ  รัฐกะเหรี่ยง  กลุ่มชาติพันธุ์หลักที่อพยพมาจากรัฐเหล่านี้ เช่น  ชาวไทยใหญ่  ชาวมอญ  ชาวกะเหรี่ยง  จะได้รับการพัฒนาสถานะทางกฎหมายหรือสัญชาติยากมาก  เพราะกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มีกองกำลังที่ลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมของรัฐบาลพม่า  รัฐบาลไทยจึงเกรงว่าจะเกิดปัญหาความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารพม่า ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ  ที่ไม่มีรัฐเป็นของตนเอง  เช่น  ชาวอาข่า  ชาวลัวะ  จะได้รับการพัฒนาสถานะสัญชาติในประเทศไทยได้ง่ายกว่า  ตัวอย่างเช่นที่จังหวัดเชียงรายมีคนไทยที่กินค่าหัวคิวเป็นขบวนการรับคนจากพม่าเข้ามาในไทยทำงานอยู่ตามไร่ของนายทุน  ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมามีคนอพยพเข้ามาใหม่ๆ  แทบทุกวัน  และไม่นานก็ได้รับการสำรวจและพัฒนาสถานะสัญชาติไทย  นี่คือความแตกต่างที่เห็นว่า  คนที่เป็นชาติพันธุ์กลุ่มเล็กน้อย ไม่มีกำลังต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าจะไม่ถูกเข้มงวดเรื่องการได้สถานะในประเทศไทย  แต่คนที่มีรัฐอยู่ติดกันจะมีปัญหามาก  ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องดิ้นรนไปหาบัตรอื่นๆ เช่น  กลุ่มชาวกะเหรี่ยงแถบลุ่มน้ำสาละวินไปรับบัตรแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีนายจ้างรับรอง  เพื่อต้องการมีสถานะใดสถานะหนึ่งในประเทศไทย  ซึ่งเขาอาจไม่เข้าใจว่า  แต่ละบัตรสถานะไม่เท่ากัน  ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนกันของสถานะ



การพัฒนาทางด้านกฎหมายของคนไร้รัฐไร้สัญชาติในช่วงที่ผ่านมามีเรื่องอะไรบ้าง 
พรบ.ที่เกิดขึ้นใหม่ในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2  ฉบับที่มีผลมากต่อการแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ คือ พรบ. สัญชาติฉบับปรับปรุงแก้ไข2551และ พรบ. ทะเบียนราษฎร2551เพื่อแก้ปัญหาคนไร้รัฐ  โดยทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยจะได้รับการสำรวจ เด็กทุกคนจะมีใบเกิดและทุกคนมีสิทธิก่อตั้งครอบครัว  จดทะเบียนสมรสได้  ไม่ว่าจะมีบัตรประชาชนหรือไม่  ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ทะเบียนจะไม่จดทะเบียนให้ใครเลยถ้าไม่มีบัตรประชาชน  นี่คือความก้าวหน้าของระบบทะเบียนราษฎรไทย  ถ้าจะให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น  เราควรจะมีการทำทะเบียนราษฎรร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน  เพื่อที่ว่าถ้ามีการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทางได้  และสถานการณ์ของประเทศต้นทางดี  เขาก็กลับไปอยู่ประเทศของตนเองได้ โดยเป็นระบบที่มีการบันทึกไว้ว่า  นาย ก.  มาจากประเทศไหน  และไปอยู่ประเทศไทยในช่วงไหน  นี่เป็นจุดเกาะเกี่ยวทางทะเบียนราษฎร  และแก้ปัญหาคนไร้รัฐ  คือมีรัฐที่เขาอยู่  ณ  ประเทศนั้นๆ  ในช่วงเวลาใด  อันนี้เป็นประโยชน์มาก  การทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการผูกมัดว่ารัฐบาลไทยต้องให้สัญชาติกับทุกคนที่มีจุดเกาะเกี่ยวในประเทศไทย



คนไทยอาจคิดว่าทำไมต้องไปสำรวจ  และจะผูกพันกับการให้สัญชาติหรือเปล่า จริงๆ  แล้วเป็นผลดีกับประเทศไทย  เพราะการให้สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คือ  การให้การศึกษา  การอยู่โดยไม่ผิดกฎหมาย การได้ทำงาน  การเดินทางได้ในขอบเขต  การรักษาพยาบาล   และการก่อตั้งครอบครัว  มันจะเป็นความทรงจำที่ดีและเป็นความสัมพันธ์ที่ดีที่เขาคิดว่า  ในช่วงที่เขาได้อยู่ในประเทศไทยเขาได้รับการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันจะพึงมีได้จากโลกใบนี้  อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูแลคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นตามหลักสากลทั่วไป  ถ้าคนไทยเราให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน  ทั้งอดีต  ปัจจุบัน  และอนาคตที่จะมีความสัมพันธ์กันต่อไปอย่างไร  ไม่ว่ากับพม่า ลาว  กัมพูชา  หรือมาเลเซีย  เราก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของประเทศอื่นๆ ที่มีชายแดนติดกัน  แล้วเขาก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเราเหมือนกัน



อยากให้คนไทยมองคนไร้รัฐไร้สัญชาติอย่างไร
อยากให้คนไทยเอาใจใส่ในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน  เข้าใจปฏิญญาสากล อนุสัญญาที่ไทยทำกับสหประชาชาติแต่รัฐบาลไทยและคนไทยให้ความสำคัญน้อย  ควรทำให้คนไทยเข้าใจว่า  กติกาสากลระหว่างประเทศอาจไม่มีผลบังคับใช้ตายตัวเหมือนกฎหมาย  แต่เป็นอนุสัญญาที่ตกลงกัน  ตอนนี้ก็ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ  สีผิว  อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิความเป็นพลเมือง การไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง  อันนี้เป็นความก้าวหน้าในระดับโลก  ซึ่งรัฐบาลไทยมีหน้าที่ต้องทำให้คนไทยเข้าไจ  และปฏิบัติให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลที่ไทยเข้าไปเป็นภาคีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน



ย้อนกลับไปมองสิทธิเสรีภาพของประชาชนพม่าเป็นอย่างไง
เท่าที่เห็นดูเหมือนว่า ประชาชนไม่มีสิทธิในการต่อสู้อะไร  เวลาแวะกินน้ำชาข้างทางก็จะคุยกับเขา  เขาก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้มากเพราะรัฐบาลจะส่งคนมาสอดส่องตามร้านน้ำชา  สะท้อนให้เห็นว่าสิทธิในการแสดงความเห็นถูกปิดกั้นไปแล้ว  เคยได้คุยกับเจ้าหน้าที่ประชาคมยุโรปหรืออียูบอกว่า  มาตรการที่ทั่วโลกใช้อยู่คือกดดันรัฐบาลพม่าไม่น่าจะให้ผลดี  เพราะกดดันแล้วผลกระทบตกอยู่กับประชาชน  เช่น  การกีดกันทางการค้า ไม่มีการจ้างแรงงาน  ประชาชนขาดโอกาสในการทำงาน  คิดว่า  ประชาคมยุโรปน่าจะมีมาตรการอย่างอื่นในการกดดัน  เพราะในรอบสิบปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า  การกดดันไม่ได้เกิดขึ้นกับรัฐบาล  แต่เกิดกับประชาชน


คนไทยควรมองประชาชนพม่าอย่างไร 
คนไทยส่วนใหญ่มองคนพม่าไม่ค่อยดี  โดยเฉพาะเรื่องแรงงาน  มองว่ามาแย่งงานคน ไทย  เอาโรคที่หายไปแล้วกลับมาใหม่  ทั้งๆ  ที่สถาบันวิจัยประชากรของมหิดลเสนอผลการวิจัยออกมาแล้วว่า  ถ้าไม่มีแรงงานพม่าเศรษฐกิจไทยก็คงจะแย่  เพราะงานสกปรก งานเสี่ยง  งานราคาถูกใช้แต่แรงงานพม่า  ซึ่งจริงๆ  แล้ว  การมองแรงงานพม่าในแง่มุมนี้ไม่ค่อยดีนัก  เพราะแรงงานพม่าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา  ถ้าต้องทำงานด้วยความเสี่ยง เราไม่ควรปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น  สมัยเป็นส.ว. เคยไปดูสภาพที่อยู่ของคนงานพม่าในแม่สอดอยู่กันแออัดสกปรกมาก  ห้องน้ำหนึ่งห้องต่อห้าสิบคน  กระทรวงแรงงานควรออกมาดูแลเพราะไม่ว่าแรงงานจากประเทศไหนเขาก็ควรได้รับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  และควรได้รับการดูแลไม่ต่างจากแรงงานไทย อยากจะเห็นคนไทยมีความเข้าใจและได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านเราให้มากๆ  เพื่อความเข้าใจที่ดี  ทำให้ประชาคมในอาเซียนหรือประชาคมโลก เข้าใจประชาชนพม่าให้มากขึ้น  ทำให้รัฐบาลทหารที่ครอบงำประเทศพม่ามานานแล้วได้เปลี่ยนแนวคิดให้ประชาชนมีอำนาจในการบริหารประเทศ.