"เราต้องมองการเมืองในมุมใหม่โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง"
อาจกล่าวได้ว่า พื้นที่ชายแดนไทย-พม่า โดยเฉพาะในเขตที่มีการสู้รบฝั่งพม่าถือเป็นพื้นที่เสี่ยงตายที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ตรงกันข้าม มีแต่ผู้คนไหลทะลักข้ามพรมแดนมายังฝั่งไทย จึงเป็นเรื่องไม่ปกตินักที่จู่ๆ วันหนึ่ง นักศึกษาไทยระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาวายอิ ประเทศสหรัฐอเมริกาเลือกที่จะเดินทางเข้าสู่สมรภูมิรบและบริเวณต่างๆ ตามชายแดน เพื่อเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์จนสามารถเรียนจบปริญญาเอกได้ดังตั้งใจ
นับตั้งแต่เรียนจบปริญญาเอกและได้กลับมาทำงานในฐานะอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาได้กลายเป็นนักวิชาการไทยคนแรกที่ทำงานวิจัยในประเด็นเรื่องความน่าสะพรึงกลัวของรัฐและยังเป็นนักวิชาการไทยเพียงไม่กี่คนที่เดินทางไปสอนหนังสือใต้ร่มไม้ในพื้นที่ชายแดน สลับกับการสอนนักศึกษาในห้องแอร์ของเมือง เพราะเหตุใดเขาจึงเลือกทำในสิ่งที่เป็นอยู่ คำตอบอยู่ในมือท่านแล้ว
เริ่มสนใจชีวิตของคนชายแดนตะวันตกได้อย่างไร
ผมสนใจเรื่องชาวเขามาตั้งแต่เด็กและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ไปเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮาวายอิ สหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1993 ตอนนั้นประเด็นเรื่อง Indigenous Politics หรือ การเมืองของชนพื้นถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังมาแรงมาก โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยนี้ ความรู้สึกที่เคยสนใจเรื่องชาวเขาก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นมามากขึ้น ประมาณปี ค.ศ. 1998 อาจารย์ของผม Michael Shapiro ผลักดันให้เกิดหลักสูตรปริญญาโททางด้าน Indigenous Politics ในคณะรัฐศาสตร์ แรกๆ นั้น หัวข้อวิทยานิพนธ์ของผมเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องนิเวศน์วิทยา ข้อเสนอแรกเป็นประเด็นปัญหาในทางปรัชญา ข้อเสนอที่สองเน้นไปที่กรณีเรื่องการแย่งชิงน้ำในอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเมืองเรื่องนิเวศน์วิกฤติ แต่เมื่อผมค้นคว้าข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ตระหนักว่า การใส่ใจเรื่องนิเวศน์วิกฤตินั้น ควรจะไปเริ่มที่บริเวณสายน้ำสาละวินดีกว่า เพราะมีความเข้มข้นกว่า และซับซ้อนกว่า เมื่อหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ตระหนักว่ามีปัญหาเรื่องความเป็นความตายซึ่งมันเร่งด่วนกว่าการเมืองนิเวศน์วิกฤติ หัวข้อวิจัยของผมจึงเปลี่ยนมาเป็นเรื่องความโหดร้ายทารุณ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาสัมผัสประเด็นพม่าอย่างจริงจัง
ความรู้สึกหลังจากได้ลงพื้นที่ชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง
ผมมีเวลาเก็บข้อมูล 11 เดือนสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ ทำให้ผมมีโอกาสสัมภาษณ์คนกะเหรี่ยงหลายระดับ ตั้งแต่ชาวบ้านจนถึงผู้นำ ตอนแรกผมสนใจศึกษาเรื่องชีวิตเปลือยเปล่า ณ ชายแดน โดยใช้วิธีศึกษาวิจัย 3 ชุดใหญ่ คือ ชุดที่หนึ่ง เป็นการศึกษาทางมนุษยวิทยาในเรื่องผู้ลี้ภัยและการพลัดถิ่น เรื่องชายแดน และเรื่องความน่าสะพรึงกลัวของรัฐ ชุดที่สอง เป็นวัฒนธรรมศึกษา และชุดที่สาม เป็นแนวคิด ปรัชญาการเมืองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจอธิปไตยกับชีวิตมนุษย์
อยากให้ช่วยขยายความคำว่า "ชีวิตที่เปลือยเปล่า"
มีสองมุมที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มุมแรกคือ เปลือยเปล่าในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่ (zoe ในภาษากรีก) นี่คือสภาพพื้นฐานของทุกชีวิต จนกระทั่งเรามีอาภรณ์ต่างๆ สวมใส่ทับเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ทางวัฒนธรรม (เช่น ความเป็นคนไทย) หรือ ทางกฏหมาย (เช่นการมีสัญชาติ) กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีอาภรณ์บางอย่างสวมใส่อยู่แล้วในตอนที่เติบโตขึ้นมา ความเปลือยเปล่าในฐานะข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่จึงไม่ปรากฏ จนกระทั่งมุมที่สอง คือ องค์อธิปัตย์ประกาศสภาวะยกเว้นและสามารถทำอะไรกับเราก็ได้รวมทั้งฆ่า ในสภาวะดังกล่าวนั้นเอง อาภรณ์ต่างๆ ที่เรามีก็ถูกฉีดขาด ข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่ก็ ปรากฏ แต่เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการการปกป้อง เราจึงพาตัวเองเข้าไปอยู่ใต้อำนาจของใครก็ได้ที่เราเชื่อว่าปกป้องเราได้ แต่องค์อธิปัตย์ก็มีสองหน้า หน้าหนึ่งกด หน้าหนึ่งกอด คนรักก็เป็นองค์อธิปัตย์ของเราผู้นำทางศาสนาก็เป็นองค์อธิปัตย์ของเรา ถ้าเขาประกาศภาวะยกเว้น ชีวิตเราก็ตกอยู่ในสภาวะที่ลำบาก กระทั่งอันตราย
ดังนั้น ถึงที่สุดแล้วมนุษย์เราเกิดมาไม่เปลือยเปล่า เรามีอาภรณ์หลายๆ แบบสวมใส่อยู่ เราเป็นนักเรียน เป็นนักวิจัย แต่คนที่เราศึกษาที่ชายแดนนั้น ส่วนใหญ่แล้วสัญชาติก็ไม่มี เขาอยู่ในป่าลึก สิ่งที่เขามี คือเขาเป็นกะเหรี่ยง แต่มีบางสถานการณ์ในสมรภูมิรบที่ความเป็นคนกะเหรี่ยงก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขา เวลาเขาเดินคนเดียวหรือกับเพื่อนกะเหรี่ยงสองสามคน เจอกับทหารพม่า ความเป็นกะเหรี่ยงก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขา เพราะพื้นที่ตรงนั้นคือพื้นที่ยกเว้น เป็นพื้นที่ free-fire zones คือ ยิงก่อนแล้วถามที่หลัง ผมศึกษาชาวกะเหรี่ยงในอาณาบริเวณชายแดนทั้งในสมรภูมิรบ พื้นที่พักพิงชั่วคราว และหมู่บ้านของเขา
ผมสนใจการเคลื่อนย้ายของคนพลัดถิ่น ซึ่งจริงๆ แล้วมีทั้งแบบสมัครใจและไม่สมัครใจ แต่ผมเลือกศึกษาคนที่ถูกบังคับให้พลัดถิ่น ผมสนใจการเมืองและปมอำนาจของการถูกบังคับ คนที่ไม่ถูกบังคับ คือ คนที่พลัดถิ่นหรืออพยพด้วยความสมัครใจของตัวเองเพื่อหางานทำ ซึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยจากพม่าที่มาจากพื้นที่ที่เราอาจตัดสินลำบากว่าเขาถูกบังคับให้พลัดถิ่นหรือไม่ มันก็ตัดกันไม่ขาด ที่สำคัญคือ ผมสนใจพัฒนาการการเคลื่อนย้ายและตั้งคำถามว่า ทำไมการปกป้องเขาจึงแทบเป็นไปไม่ได้
ภาพหรือเหตุการณ์ที่กระทบใจมากที่สุดคือเรื่องใด
การเดินทางครั้งนั้นเป็นการเข้าไปสัมผัสชีวิตของผู้หนีภัยสงครามด้วยตาตัวเอง ภาพที่ฝังใจมีหลายภาพมาก ภาพที่แรงที่สุด คือ เรากำลังจะเดินกลับชายแดนไทยแล้ว ขณะที่นั่งพักอยู่ริมน้ำ บนลำธารมีซุงท่อนใหญ่พาดเป็นสะพาน เราหันไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเดินข้ามมา แล้วพี่สาวอายุมากกว่าประมาณปีสองปีจูงมือจากด้านหลัง บนหลังพี่สาวมีน้องคนเล็กอายุไม่กี่เดือน แล้วก็มีพี่ผู้ชายคนโตอายุมากกว่าพี่สาวสักสองสามปีเดินตามมา แล้วพ่อก็เพิ่งเอาแม่วางไว้ริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม แล้วน้องชายของพ่อก็มีน้องอีกคนอายุประมาณสี่ขวบ อยู่ในกระบุงที่แบกขึ้นบนหลังมา เด็กคนนั้นเดินไม่ได้ เหมือนกับแม่ที่เดินไม่ได้หลังจากคลอดลูกบ่อยๆ เพราะลูกได้เอาแคลเซียมจากแม่ไปหมด ตอนหลังเพิ่งมาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงในสมรภูมิรบเป็นอย่างนี้เยอะ เพราะช่วงท้อง เด็กจะดึงแคลเซียมไปจากแม่เยอะ แม่ก็จะเดินไม่ไหว ยิ่งถ้ามีลูกหลายคน ลูกคนสุดท้ายจะมีปัญหาเรื่องขาดแคลเซียม เพราะถ้าแม่ได้รับอาหารไม่สมบูรณ์ ลูกคนเล็กก็ไม่สมบูรณ์เพราะแคลเซียมไม่พอ
เรานั่งคุยกับเขา เขาบอกว่ามาจากเมืองไทยเพราะเมียไม่อยากอยู่ ปลูกอะไรกินก็ไม่ได้ เมียขี่บนหลังตั้งแต่ออกค่ายมาเลย ลงเรือล่องสาละวิน แล้วแบกเมียข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ลูกที่สูงที่สุดสูงเกือบเท่าตึก 400 ชั้น ลองคิดถึงภาพที่สามีแบกเมียข้ามเขาเพื่อกลับบ้านสิ แค่เดินคนเดียวก็ ลำบากแทบตายแล้ว ถามเขาว่า ถ้าเจอทหารพม่าล่ะ พวกเขาบอกว่าจะ หลบซ่อน ถามว่าถ้าหลบไม่ได้หละ พวกเขาบอกว่าจะสู้จนตัวตาย พวกเขาเดินมาครอบครัวเดียว ส่วนกลุ่มคนที่เราเจอกลุ่มที่มีจำนวนน้อยที่สุด คือ สามคน สำหรับครอบครัวนี้เป็นการเดินทางกลับจากเมืองไทยเพื่อกลับเข้าไปอาศัยอยู่ในสมรภูมิรบ
คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองว่าคนจากฝั่งพม่าพยายามข้ามมาฝั่งไทย แต่ภาพที่เห็นนี้กลับตรงกันข้าม
ใช่ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามีคนที่ต้องการข้ามมาฝั่งไทยมาก และคนที่กล้าตัดสินใจกลับไปอาจมีไม่เยอะ เวลาเจอคนที่เดินสวนกลับเข้าไป ได้ยินประโยคที่เขาพูดมันรู้สึกเศร้า มีฉากทีแรงมากอีกหลายฉาก เช่น มีเด็กคนหนึ่งอายุเจ็ดแปดเดือน แต่ขนาดตัวใหญ่กว่าฝ่ามือของผมนิดเดียว
ภาพที่เห็นทำเอาใจจะสลาย แววตาของของหลายคนที่เราพบในสมรภูมิรบดูว่างเปล่า ไม่รู้อนาคตของตนเองเป็นยังไง ในค่ายแม้ว่าชีวิตจะเลวร้ายยังไง ก็ยังดีกว่าฝั่งโน้น
แนวคิดของวิทยานิพนธ์คืออะไร
งานชิ้นนี้มีชื่อว่า Imperceptible Naked Life เป็นการนำความคิด ของนักปรัชญาสองคนมารวมกัน นักปรัชญาคนหนึ่งทำให้เข้าใจเรื่องชีวิตที่เปลือยเปล่า นักปรัชญาอีกคนหนึ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องการไม่ถูกรับรู้ เราจึงตั้งคำถามกับเส้นแบ่งเขตแดน ตั้งคำถามกับการเมืองโลกแบบที่เอารัฐเป็นศูนย์กลาง งานชิ้นนี้จึงเป็นเรื่องของคนที่ไม่ถูกรับรู้ ตอนก่อนผมเข้าพื้นที่ผมก็ตั้งคำถามนะว่า ทำไมคนไทยค่อยสนใจปัญหาของคนที่ถูกกระทำความรุนแรงตามชายแดนไทย-พม่า หลังจากออกจากพื้นที่ก็ตระหนักชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า ผู้คนทุกคนล้วนถูกครอบครองด้วยชีวิตประจำวันของตนเองเกินกว่าที่จะมีเวลาไปใส่ใจเรื่องของคนเหล่านี้ แต่กระนั้นก็ต้องถามต่อว่า การเข้าใจเช่นนี้จะหมายถึงการยอมจำนนต่อความเป็นจริงเหล่านี้ด้วยหรือไม่
การทำวิทยานิพนธ์เปลี่ยนชีวิตเรายังไง
เปลี่ยนมากเลย ตั้งแต่ผมออกจากสมรภูมิรบ เราเริ่มเราอ่านโลกเปลี่ยนไป ความรู้สึกถึงสภาวะความฉุกเฉินของชีวิตมันสูงมาก กลุ่มคนที่พา เราเข้าสมรภูมิรบยังส่งอีเมล์การเดินทางเข้าไปช่วยเหลือผู้คนในนั้นให้ผม อยู่เรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่งขณะเขียนวิทยานิพนธ์ เปิดอีเมล์ขึ้นมาก็เจอภาพคนตายนอนเรียงกันอยู่ในป่าประมาณ 12 คน ทำให้ผมทำงานไม่ได้ไปสามสี่วัน
มุมมองต่อประเทศพม่ากับชนกลุ่มน้อยเป็นอย่างไรหลังได้สัมผัสประสบการณ์จริง
มันเป็นความรู้สึกที่ผสมกัน รู้สึกว่า เราได้ไปรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยถูกทำให้รู้และสังคมไทยไม่เคยได้รู้ ถามว่า มุมมองต่อปัญหาเป็นยังไง ถ้าเอาคำพูดของหัวหน้าทีม FBR* บอกว่า คุณเป็นคนไทยคนแรกในรอบสามสิบ สี่สิบปีที่เข้ามาลึกขนาดนี้ มันไม่ได้ทำให้เราภูมิใจ แต่กลับทำให้เรารู้สึกปวดร้าว เพราะมันสะท้อนว่าการทำความเข้าใจความซับซ้อนและรุนแรงของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับชนชาติพันธุ์ของคนไทยเรายังน้อยมาก
ตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า เราจะทำอะไรได้บ้าง
อย่างแรก ต้องเขียนวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ และขณะเดียวกัน ต้องถ่ายทอดข้อมูลออกไปสู่โลกภายนอกให้มากขึ้นในมุมของนักวิชาการเท่าที่จะทำได้ ผมได้มีโอกาสเสนอบทความตามเวทีวิชาการใหญ่ๆ ในหลาย ประเทศ เพราะข้อมูลของเราเป็นข้อมูลทางวิชาการจากสมรภูมิรบและพื้นที่อื่นๆ ที่จนถึงตอนนั้น นักวิชาการไม่ได้เข้าไป
สิ่งที่ได้จากการนำเสนอผลงานตามเวทีวิชาการเหล่านี้คืออะไร
มันทำให้โลกวิชาการต้องเข้ามามองปัญหานี้จากมุมที่เปลี่ยนไป นั่นคือข้อเสนอของเรา ตราบใดที่คุณยังมองรัฐเป็นศูนย์กลาง ตราบนั้นชีวิตคนก็เป็นเพียงแค่ตัวเลข แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย เขาก็กลายเป็นคนไร้นาม สิ่งที่เรากำลังนำเสนอคือวิธีการอ่านปรากฏการณ์แบบใหม่มากกว่า การมองการเมืองโดยเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง
คิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า "นักวิชาการนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง" หรือคุณได้ปริญญาเอกนั่งทำงานในห้องแอร์ แต่คนที่ทำให้คุณเรียนจบยังอยู่ในสมรภูมิรบ
สิ่งที่พูดก็เป็นความจริง แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับ คือ หนึ่ง ของแบบนี้ พูดเหมารวมไม่ได้ สอง ถึงที่สุดแล้ว เราต้องแบ่งงานกันทำ หน้าที่ของนักวิชาการมันคือการพยายามสร้างองค์ความรู้ที่ถึงที่สุดแล้วมันก็เป็นการพยายามเปิดพื้นที่ให้กับมนุษย์ด้วย อย่างเรื่องพม่า คนไทยก็มองว่าเป็นปัญหาพม่า แต่สำหรับผมมองว่า มันคือปัญหาของชุมชนนานาชาติเพราะการเน้นย้ำที่เส้นแบ่งเขตแดนคือการทำให้เราติดกับดักที่มองรัฐเป็นศูนย์กลาง การเสนองานของเรา คือ การเสนอมุมมองการเมืองที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ต้องมองว่า หน้าที่ของนักวิชาการมิใช่การลงไปปฏิบัติในพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยนการมองโลก และสุดท้าย ผมไม่ได้อยู่ในห้องแอร์อย่างเดียว ผมทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ผมยังคงไปสอนหนังสือที่ชายแดนเกือบทุกสัปดาห์ๆ ละประมาณ 3 วัน นับตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2008 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เรียนจบว่า ตราบใดที่เรายังพอมีแรงและมีปัญญา เราจะต้องกลับไปทำอะไรให้กับพวกเขาและเธอบ้าง
มองการศึกษาในพื้นที่ชายแดนอย่างไร
ในช่วงที่เก็บข้อมูลภาคสนามนั้น ผมพบว่าประเด็นที่ยังพูดถึงกันน้อยมาก คือ หากพม่าได้ประชาธิปไตยแล้ว ช่วงสิบปีแรกต้องทำอะไร ในช่วงนั้นผมมีโอกาสได้คลุกคลีอยู่กับเยาวชน เห็นความแหลมคมของนักศึกษาบริเวณชายแดน เลยเสนอให้ผู้นำของชาวกะเหรี่ยงคิดเรื่องการศึกษาระดับวิทยาลัย แล้วมันก็เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เพื่อนที่ชายแดน บอกว่า ตอนนี้วิทยาลัยที่คุณยุเกิดแล้วนะ คุณต้องมาช่วยสอนแล้วล่ะ เป็นหลักสูตร 4 ปี LMTC (Leadership and Management Training College) สถานที่เรียนอยู่บริเวณชายแดนไทย - พม่า ตอนนี้เปิดมา 4 ปีแล้ว มีนักศึกษาทั้งหมด 140 กว่าคน รุ่นปี 4 ซึ่งเป็นรุ่นแรกและกำลังจะจบปีนี้มี 10 คน แบ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์และสายศิลป์ มีวิชาหลักๆ เช่น วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และวิชาเสริมตามความรู้ความสามารถของอาจารย์ ซึ่งมีทั้งอาจารย์ในพื้นที่และอาสาสมัครจากต่างประเทศ บางช่วงอาจมีหลักสูตรพิเศษจากวิทยากรต่างประเทศซึ่งเป็นเพื่อนๆ ของผม เช่น หลักสูตรการสอนโยคะในแค้มป์ หรือดนตรี ผมเคยพานักดนตรีแบนโจชาวไอริช ซึ่งเคยเป็นมืออันดับหนึ่งของโลก และพามือฮาร์ปแบบไอริช ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของไอร์แลนด์ไปเล่นในพื้นที่นี้ด้วย คนแรกนั้นยังเป็นศาสตราจารย์ทางดนตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เขาหาเงินบริจาคมาช่วยทำห้องอัดเสียงให้ด้วย ทำให้พวกเขาได้รับองค์ความรู้และประสบการณ์หลากหลายมากขึ้น
คิดว่าตนเองเป็นนักวิชาการที่แตกต่างจากนักวิชาการคนอื่นอย่างไร
ผมคิดว่า ตนเองเป็นนักทฤษฎีการเมืองที่มองเห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องเข้าไปฟังเสียงและสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ ด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการอย่างนักมานุษยวิทยา แม้ว่าผมจะไม่ใช่นักมานุษยวิทยาที่ได้รับการอบรมมาตามหลักสูตรการเรียนตามปกติก็ตาม ผมได้เข้าไปในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสามฤดู หน้าหนาวก็หนาวจัด หน้าร้อนก็ร้อนจัด หน้าฝนก็เละเทะ ผมถามตัวเองว่า พื้นที่แบบนี้ใครจะ อยากอยู่ มันไม่ใช่แค่เสียงที่เราได้ยิน แต่การได้ลองไปใช้ชีวิตแบบเขาถึงได้รู้สึกถึงความยากลำบากแบบเขา ซึ่งนั่นคือมานุษยวิทยา นี่เป็นการทำงานแบบวิชาการอีกแบบหนึ่ง
ปริญญาเอกที่ได้รับมีความหมายอย่างไร
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการเรียนจบปริญญาเอก คือ จุดสูงสุดทางการศึกษา แต่จริงๆ แล้ว การเรียนจบปริญญาเอกเป็นเพียงการเริ่มต้นการเดินทางที่ใหญ่กว่า เพียงแต่เป็นการเดินทางเพียงลำพัง ไม่มีใครมาควบคุม การเรียนจบปริญญาเอกหมายความว่า หนึ่ง คุณควรจะรู้เรื่องหนึ่งดีที่สุดกว่าใคร สอง ต่อไปคุณสามารถทำวิจัยโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุมอย่างใกล้ชิด
นักศึกษาไทยรุ่นใหม่มีความสนใจเรื่องพม่ามากน้อยแค่ไหน
ผมเริ่มเปิดสอนวิชาเกี่ยวกับคนพลัดถิ่น หรือ ชายแดนศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 คนที่จบไปส่วนหนึ่งก็ไปทำงานเอ็นจีโอเรื่องพม่า หรือทำงานชายแดน หรือไปเรียนต่อต่างประเทศในเรื่องลักษณะนี้ ในแต่ละปีมีนักศึกษาที่มาขอทำวิทยานิพนธ์หรือลงพื้นที่ชายแดนมากขึ้น
ความสุขที่ได้จากการทำงานตรงนี้
ผมได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก นับตั้งแต่ผมได้ลงพื้นที่ 11 เดือน เมื่อปีพ.ศ. 2543 - 2544 ผมรู้สึกว่ามีเสียงบางอย่างบอกให้เราทำอะไร ความสุข ของผมคือการได้ทำตามเสียงนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ .