สัมภาษณ์ : องค์ บรรจุน ประธานชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ กับภารกิจสืบสานวัฒนธรรมมอญในไทย

จากความรู้สึกแปลกแยกกับความเป็นมอญในตัวเองสมัยเมื่อยังเด็กที่ถูกพ่อเคี่ยวเข็ญให้เรียนภาษามอญมาโดยตลอด จนมาค่อยๆได้เรียนรู้และซึมซับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติพันธุ์ด้วยตนเองจากการอ่าน   ทุกวันนี้นักเขียน และนักประวัติศาสตร์มอญหนุ่มจากสมุทรสาครผู้นี้  ไม่เพียงรับหน้าที่สืบสานวัฒนธรรมมอญในฐานะประธานชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯที่อายุน้อยที่สุดเท่านั้น หากเขายังเป็นหนึ่งในทีมผู้จัดทำเว็บไซต์ www.monstudies.com ที่เผยแพร่เรื่องราวทุกแง่มุมเกี่ยวกับชนชาติมอญให้คนทั่วไปได้รับรู้ และเป็นนักเขียนที่เขียนบทความเกี่ยวกับมอญลงในนิตยสารอยู่อย่างสม่ำเสมออีกด้วย ล่าสุดผลงานเขียนสารคดีท่องเที่ยวเรื่อง “ ต้นทางที่มะละแหม่ง” ของเขา ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของการเดินทางข้ามพรมแดนเข้าไปในรัฐมอญในพม่าโดยแฝงตัวเข้าไปในฐานะคนมอญคนหนึ่ง ได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดงานเขียนรางวัลนายอินทร์อวอร์ดประจำปี พ.ศ. 2549   ในเวลาเดียวกันกับที่ตัวเขาเองกำลังคร่ำเคร่งกับการเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโทสองบทสุดท้ายเรื่อง “ บทบาทสตรีมอญในราชวงศ์จักรี “ ไปด้วย



ประสบการณ์ 7 ปีกับการทำงานในแวดวงกิจกรรมมอญในเมืองไทย แม้อาจจะเป็นระยะเวลาที่ดูไม่มากนัก หากเมื่อบวกเข้ากับชีวิตที่ถูกหล่อหลอมมาให้ผูกพันยึดมั่นกับวิถีความเป็นมอญมาโดยตลอดแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใด องค์ บรรจุน  ประธานชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ หนุ่มคนนี้ถึงได้เอ่ยปากบอกกับสาละวินโพสต์ว่า เขาคงจะทำงานตรงนี้ตลอดไปเพราะนี่คือเส้นทางที่เขาได้ค้นพบและเลือกที่จะเดินแล้ว

คุณเป็นคนที่ไหน
ผมเป็นคนสมุทรสาคร เป็นคนเชื้อสายมอญแท้ ๆ ปู่ย่าตายายทวดเทียดก็เป็นมอญหมด แต่งงานในหมู่กันเองมาตลอด แต่ว่าเกิดในเมืองไทยมา 6-7 ชั่วอายุคนแล้ว มอญสมุทรสาครเป็นมอญกลุ่มชาวไร่ชาวนาที่อพยพมาจากพม่าเมืองมอญเก่าเมื่อ 300 ปีที่แล้ว ซึ่งทุกวันนี้ก็คือหงสาวดี เมาะตะมะ  มะละแหม่งทางภาคใต้ของประเทศพม่า  ตอนมาเรามาเป็นหมู่บ้านก็สัมพันธ์กันเองในหมู่บ้าน ไม่ค่อยได้สัมพันธ์กับคนภายนอก วิถีชีวิต ภาษาพูดก็ยังเป็นมอญอยู่  ทุกวันนี้ผมก็ยังพูด อ่าน เขียนมอญ กลับบ้านวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องพูดภาษามอญ ( หัวเราะ ) เพราะพ่อไม่ยอมพูดไทยด้วย

ทำไมถึงได้มาสนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมอญ
คือชีวิตผมเกิดมา เป็นมอญอยู่แล้วทั้งหมู่บ้าน  พูดแต่มอญ วิถีชิวิตประเพณีก็มอญไปหมด พอไปเรียนประถมก็รู้สึกว่าแปลกแยก ทั้งที่จริง ๆ โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนวัดมอญนั่นแหละ คนรอบโรงเรียน  90 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นมอญทั้งนั้น แต่พูดมอญที่โรงเรียนกลับถูกตี เพราะครูเป็นคนไทย ครูห้ามพูดมอญ  ก็อายไม่อยากพูด เพื่อนก็ล้อ  เลยเกลียดคนมอญ ไม่อยากเป็น เกลียดตัวเอง เกลียดพ่อ ช่วงนั้นพ่อเริ่มพยายามจะสอนให้เขียนภาษามอญ เราก็หนี แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องแบมือขอพ่ออยู่ดี  เลยเป็นข้ออ้างที่พ่อจะสอนภาษามอญเราได้  มันก็เกลียดมา  เรื่อย ๆ จนเข้ามาเรียนที่มัณฑนศิลป์ที่ศิลปากร  ได้อ่านหนังสือมากขึ้น  พอเรียนประวัติศาสตร์ก็เจอเกี่ยวข้องกับมอญเยอะ  อพยพเข้ามา มาช่วยรบ มาช่วยกู้ชาติบ้านเมืองอะไรบ้าง  ก็เลยเริ่มสนใจ เออ มอญเราก็มีบทบาทเหมือนกันนะ คนนั้นคนนี้ก็มีเชื้อสายมอญ  จนกระทั่งได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของคนเชื้อสายมอญเขียนเรื่อง “ มอญสิ้นแผ่นดิน”  เนื้อหาในหนังสือพูดถึง   อารยธรรมมอญในอดีตที่น่าภาคภูมิใจ เราเคยมีประเทศ ภาษา ศาสนา ต้นแบบของคนไทย คนลาว คนเขมร หลายชาติในย่านนี้  แล้วสิ้นแผ่นดินไปเห็นถึงความรันทด ถูกพม่าฆ่าฟัน เลือดนองแผ่นดิน  อ่านแล้วรู้สึกว่าเลือดมันก็พุ่งขึ้นมา ( หัวเราะ ) เลยเขียนจดหมายไปว่า “ ผมเป็นคนไทยเชื้อสายมอญคนหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้รากเหง้าของตัวเอง  อยากจะได้รับข้อมูลมากขึ้น” แต่ว่าติดต่อกันไม่ได้ต่อเนื่อง จนหลัง ๆ มาเจอหนังสืออีกเล่มหนึ่งของอาพิสัณห์ ปลัดสิงห์ ก็เขียนจดหมายไปอีกครั้งหนึ่ง อาพิสัณห์แกก็ตอบกลับ แล้วก็เชิญไปที่บ้าน เลยทำให้ได้เข้าชมรมเยาวชนมอญอย่างจริงจัง

งานของชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ มีอะไรบ้าง
งานของชมรมก็คืออนุรักษ์ภาษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม จริง ๆ ชื่อชมรมเยาวชนมอญ แต่คนที่ตั้งชมรมเป็นผู้ใหญ่อายุ 40 กว่าขึ้นไป ที่เขาตั้งชมรมขึ้นมามันมีความหมายแฝงอยู่  คือเพื่อรอให้เยาวชนเข้ามาเป็นเจ้าของชมรม  ซึ่งคนที่รู้จักชมรมเห็นสมาชิกก็จะขำ เพราะว่าชมรมเยาวชน แต่สมาชิกกลับอายุ 60-70  ทั้งนั้นเลย ตอนนี้เรามีสมาชิกประมาณ 1,000 เศษ ๆ  ทั่วประเทศ ตั้งมา 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518  ตอนนี้ผมเป็นประธานสมัยที่  2

มีการพูดถึงเรื่องการเมืองบ้างไหม
เมื่อก่อนมันก็เป็นจุดประสงค์หลักของชมรมอันหนึ่ง คือเดิมเรามีหน่วยงานอีกหน่วยคือสมาคมไทย- รามัญ ซึ่งทำเรื่องศิลปวัฒนธรรมอยู่แล้ว ชมรมเยาวชนนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อจะทำเรื่องการเมือง ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพรรคมอญใหม่ในฝั่งโน้น แต่หลังๆ สถานการณ์ทางการเมืองมันเปลี่ยนไปก็เลยไม่ได้ทำ

สมาชิกของชมรมส่วนใหญ่มาจากที่ไหนบ้าง
ก็ทั่วไป  อย่างเช่น มีงานวันชาติ หรือไปจัดงาน 5 ธันวา12 สิงหาที่สนามหลวง ก็มีคนมอญมาหาเป็นหมื่น หลายหมื่น เรามีโรงทานอาหารมอญ รอบเต็นท์เรา หลาย ๆ หมื่นน่ะคนมอญทั้งนั้นเลย จนตำรวจต้องมาขอร้อง คุณช่วยมาพูดให้หน่อย เพราะบางคนจะวนอยู่ที่เต็นท์เรา ไม่ยอมไปไหน อาหารที่ตั้งใจจะเลี้ยงคนทั่วไป ก็เลี้ยงแต่คนมอญด้วยกัน

ตอนนี้คนไทยเชื้อสายมอญมีประมาณสักเท่าไร
ตอบยาก ก่อนนี้เคยมีศาสตราจารย์นายแพทย์สุเอ็ด คชเสนี เคยศึกษาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2512  ก็สักประมาณแสน แต่สำรวจอย่างคร่าว ๆ ไม่ถึงกับทั่ว ซึ่งถ้าสำรวจอย่างหยาบ ๆ นะ  จริง  ๆ น่าจะมากกว่านี้หลายเท่า ผมคิดว่าถ้ารวมเชื้อสายด้วย ลูกครึ่งด้วย น่าจะสัก 3-4 ล้านได้ อย่างหลานผมนี่ผมก็ยังไม่อยากจะนับเลย คือหลานผมมอญแท้ก็จริง ลูกพี่ชายผม ซึ่งก็แต่งกับคนเชื้อสายมอญเหมือนกัน แต่ว่าเขาพูดมอญไม่ได้ คนพวกนี้ผมไม่นับให้ด้วยซ้ำไป  คือพี่สะใภ้ก็เป็นไทยมาแล้วค่อนหนึ่ง พีชายก็ครึ่งหนึ่งแล้ว คุยกันก็คุยด้วยไทยแล้ว ลูกหลานก็จะไม่ได้แล้ว คือแต่ยังรู้วัฒนธรรมมอญอยู่

ชุมชนมอญส่วนใหญ่อยู่ที่ไหนบ้าง
ส่วนใหญ่จะอยู่แถวภาคกลาง ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ท่าจีน  ป่าสัก เจ้าพระยา ถ้าเป็นภาคเหนือก็มีเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง  ใต้สุดก็เป็นสุราษฎร์ ชุมพร ประจวบ อีสานก็เป็นชัยภูมิ โคราช เท่าที่ผมสำรวจและค้นคว้า มันมีอยู่ประมาณ 34 จังหวัดที่มีคนมอญ ที่เป็นสมาชิกของเรา 1,000 กว่าคนนี่ก็สัก 20 กว่าจังหวัด แต่ว่าจังหวัดละน้อยบ้างมากบ้าง จังหวัดละสองสามคน ห้าคนสิบคนก็มี เวลามีงานอย่างเช่นงานรำลึกวันชนชาติมอญคนจะเยอะ แต่ที่สมัครเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการจะน้อย

อยากให้คุณช่วยเล่าถึงการเดินทางเข้าไปในรัฐมอญ ซึ่งเป็นที่มาของสารคดีที่ได้รับรางวัลให้ฟังหน่อย
คือเราทำกิจกรรมเรื่องมอญมาเยอะ ๆ ก็มีโอกาสรู้จักกับน้องๆคนมอญในประเทศพม่าหลายคนที่มาทำงานในเมืองไทย ปี 47 หลังเสร็จจากวันรำลึกชนชาติในเมืองไทยแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นหน้าเทศกาลของเขาพอดี บวชพระ งานศพ งานแต่งอะไรมีมาก เขาจะกลับบ้าน เราก็ตามเขาไปด้วย ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไปเที่ยวสักสิบวัน ก็เข้าไปทางด่านเจดีย์สามองค์  พอไปถึงฝั่งโน้นก็กลายเป็นพม่าไปเลย หยิบโสร่งขึ้นมานุ่ง พูดมอญตลอด สัญญากันว่าจะไม่พูดไทย พอข้ามไปถึงเราก็ไปขอหนังสือ เหมือนเราเป็นมอญคนหนึ่ง คือผมตั้งเป้าหมายว่าจะเดินทางไกล จะไปประชุมกับพรรคมอญใหม่ที่เมืองเย ทางตอนใต้ของประเทศพม่าด้วย  ทีนี้ไหน ๆ ก็จะไปแล้ว ก็แวะไปเที่ยวบ้านเพื่อนก่อนที่เมืองมะละแหม่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองมอญ ถิ่นที่อยู่ของมอญจำนวนมาก กะว่าไปเที่ยวสักสองสามวัน จากนั้นค่อยลงมาเมืองเย แล้วกลับเลย ทำไปทำมาก็ติดใจ อยากเที่ยวต่อ ประชุมเสร็จก็ย้อนกลับขึ้นไปอีก

ประสบการณ์จากการเดินทางในครั้งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ก่อนไปก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด อยากไปดูว่าเขาอยู่กันยังไง วัฒนธรรมประเพณีเหมือนกันไหม มอญเมืองไทยกับมอญเมืองมอญ จะคุยกันรู้เรื่องไหม  พอเข้าไปแล้วมันก็เริ่ม”อิน”มาก  ถึงมันจะไม่เหมือน แต่ว่ามันใช่เลย เขาก็ไม่ได้ลำบากเหมือนที่เราจินตนาการว่าจะต้องแร้นแค้น เขาก็อยู่ประสาเขาน่ะ มีความอบอุ่น เคร่งครัดในศาสนา อยู่กันสบาย สมถะ สนุกสนานประสาเขา เราจะไปสงสารเขาเกินเหตุมันก็ไม่ใช่  ที่พูดนี่คือเฉพาะที่มะละแหม่งนะ ซึ่งเป็นเขตเมืองที่มีคนมอญอยู่หนาแน่น ทหารพม่าไม่ได้เข้ามาควบคุมมาก เขาก็ปล่อยให้คนมอญอยู่แบบสบาย ๆ แต่ถ้าคนที่ทำธุรกิจใหญ่โต ก็อาจจะโดนภาษีมากหน่อย หรือถูกเพ่งเล็งได้ ชาวบ้านก็เลยไม่ค่อยทำอะไรมาก   จะต่างจากบางที่ที่มีข่าวว่าคนมอญถูกทหารพม่ากดขี่ข่มเหง ส่วนใหญ่นั่นจะเป็นพวกเมืองในเขตชนบท อย่างเมืองเย ทางภาคใต้ลงมาหน่อย ยังมีการข่มขืน มีการบังคับเอาข้าวจากชาวบ้าน  อันนี้ผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง  เคยแต่ได้ยินได้ฟังเขาเล่ามา

รวมเวลาที่ใช้อยู่ในเมืองมอญประมาณนานเท่าไหร่
เดือนหนึ่งพอดี ตอนแรกตั้งใจว่าสิบวัน  แต่แล้วก็เลยเถิด ไหน ๆ ก็ไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ

คุณยังจำความรู้สึกของตัวเองตอนที่อยู่ที่นั่นได้ไหม
อยู่ที่นั่นสนุกมาก ได้เรียนได้รู้อะไรใหม่ ๆ ทุกวัน เดินเล่นรอบหมู่บ้านจนจำภาพติดตาเลย นอนเล่นริมน้ำบ้าง เจออะไรแปลก ๆ ประเพณีเก่า ๆ อย่างแห่นางแมวขอฝน แต่แห่แบบเขาจะเป็นแห่หัวควายขอฝนแทน บางทีนอนเล่นอยู่ริมน้ำ มีคนพาวัวจะข้ามน้ำ เขาก็จะต้องมีทำพิธี มีไหว้ เหล้าเทริมฝั่งน้ำ สวดมนต์ เพื่อจะได้เอาวัวข้ามน้ำอย่างปลอดภัย ก็ได้เห็นอยู่อย่างนี้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนอื่นอาจจะไม่สนใจ แต่ผมชอบที่จะได้ดูได้เห็น


เวลาคุณคุยกับเขา ๆ รู้ไหมว่าคุณไม่ใช่คนที่นั่น
ก็รู้  ทุกที่ที่ไปก็จะมีคนถาม  แต่เขาจะสงสัยว่าคงเป็นมอญในเมืองนี้แหละ  เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาจากหมู่บ้านไหน เพราะแต่ละหมู่บ้านก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เขาจะเดาไปว่าบ้านนั้นบ้านนี้ใช่ไหม เสียงฟังดูแปร่ง ๆ  คือถ้าคุยไม่ลึกมากผมก็ไม่บอก  ให้เขาเดามั่วไปว่าบ้านนี้บ้านนั้น พยายามให้ดูห่าง ๆ เข้าไว้ แต่ถ้าได้คุยกันลึก ๆ ถึงจะบอกว่ามาจากเมืองไทย

ทำไมถึงไม่บอก
กลัวว่าเขาจะลำบากใจ  ถ้าเกิดทางการพม่าเข้ามาสอดส่อง

คุณต้องระวังตัวมากไหมตอนที่อยู่ที่นั่น
ผมไม่ระวังนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปถึงในเมืองเมาะตะมะ มะละแหม่งนี่เปิดเต็มที่เลย  บางคนก็เข้ามาคุยอวดว่า “ฉันก็เคยไปอยู่เมืองไทยนะ สนุกดี” คือตอนที่เข้าไปอยู่ในมะละแหม่งแล้วนี่ ผมสบายใจ ถิ่นเราแล้วน่ะ  เพราะเขตนี้พม่ายังเข้าไม่ถึงมากนัก คือพม่าก็เข้ามา แต่ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายนัก แล้วผมก็ถือว่าเราไปแบบเป็นคนในด้วย  จะไม่ได้พยายามทำอะไรที่มันดูผิดหูผิดตา แม้แต่จดก็ยังต้องแอบจด  กล้องที่ถ่ายรูปก็เป็นกล้องที่ยืมเอาในนั้น  เป็นกล้องคอมแพคเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว ผมไม่กล้าเอากล้องตัวเองไป  คือถ้าเราไปในฐานะนักท่องเที่ยวเราก็ถ่ายรูป ก็จดได้เต็มที่ แต่นี่เราไปในฐานะเป็นคนในคนหนึ่ง ก็ดู ๆ เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ กลับมาบ้านค่อยจดตอนมืด

ตอนนั้นตั้งใจไหมว่าจะกลับมาเขียนหนังสือ
ไม่ได้คิด คิดว่าอยากจะเก็บข้อมูลมาใช้ในวิทยานิพนธ์ของเราบ้าง อยากไปหาใบลานเก่า ๆ เอามาใช้ เอามาทำงาน เพราะคิดว่าเราจะต้องทำงานตรงนี้ตลอดไป ก็ยังได้ใบลาน ได้หนังสือพิมพ์ในโน้นมาเยอะเหมือนกัน แต่ก็ผิดหวัง เพราะพระหลายองค์ก็บอกเหมือนกันว่า หนังสือใบลานเก่า ๆ ที่นี่มันไม่มีแล้ว ไอ้ที่มีอยู่ก็คือคัดลอกมาจากเมืองไทย ไปหาในเมืองไทยเอาน่ะแหละ ( หัวเราะ ) เพราะที่นั่นมันถูกเผาถูกฝังไปหมดแล้ว พอกลับมาไปเจอนายอินทร์เขารับสมัคร คันไม้คันมือก็เลยอยากเขียน คืออยากได้รางวัล ก็ส่งไป คือเราก็เขียนเล่นอยู่ในเน็ต เขียนบทความลงศิลปวัฒนธรรมอยู่แล้ว ไม่ได้เขียนประจำ แต่ก็ส่งไปเรื่อย ๆ เห็นว่าเหมาะสมก็ได้ลง เป็นเรื่องมอญส่วนใหญ่  มีเขมรบ้างนิดหน่อย  อยากได้รางวัลก็เลยลองดู ใช้เวลาเขียน ๆ หยุด ๆ สัก 3 เดือน เขียนในแนวสารคดีท่องเที่ยว แล้วก็มียกตัวอย่างประวัติศาสตร์บ้าง ไปถึงที่ไหนก็เล่าเรื่องนั้น แล้วก็เล่าความแตกต่าง ว่ามอญเมืองไทยเป็นยังไง มอญเมืองพม่าเป็นอย่างนี้ เขียนด้วยอคติเป็นคนมอญเต็มที่ ไม่ได้เขียนแบบนักวิชาการ เขียนให้รู้เลยว่าฉันเป็นมอญ ฉันจะด่าพม่าให้เต็มที่เลยนะ ( หัวเราะ )  เขียนแบบคนมอญไปเที่ยวพม่า

คุณคิดอย่างไรกับการที่มีบางคนมองว่าคนมอญที่อยู่ในพม่าน่าจะรักษาวัฒนธรรมประเพณีแบบมอญแท้ๆ ไว้ได้มากกว่าคนมอญที่อยู่ในเมืองไทย เพราะที่นั่นเป็นดินแดนที่คนมอญอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณและอยู่มาจนทุกวันนี้
ผมว่าไม่ใช่เลย เพราะคนที่นั่นถูกกดดันอย่างหนัก ใครแสดงตัวตนความเป็นมอญแท้ ๆ ก็จะถูกหมายหัว บางคนอยากจะอยู่สบาย ๆ ก็แต่งตัวกลาง ๆ เป็นพม่า พูดพม่าไป ไม่พูดมอญ คัมภีร์ใบลานนี่ก็ถูกสั่งเผาเกือบหมด

คุณคิดว่าเอกลักษณ์ความเป็นมอญของคนมอญที่อยู่ในพม่ากับคนมอญที่อยู่ในเมืองไทยมีความเหมือนหรือแตกต่างกันไหม
ที่ผมไปเห็นมาก็รู้สึกว่าต่างกันพอสมควร แต่ก็พอบอกได้ว่าสิ่งไหนที่เชื่อมโยงกันอยู่ สิ่งไหนที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่นการรำผี หรือการเล่นเพลงทะแยมอญ ซึ่งเป็นของดั้งเดิม   มอญในเมืองไทยก็อาจจะมีเครื่องดนตรีบางชิ้นซึ่งหยิบจากคนไทยไปผสม ในพม่าก็เหมือนกันก็จะมีการหยิบเอาเครื่องดนตรีบางชิ้นของพม่าเข้ามาผสม มันก็จะฟังแปร่ง ๆ หูบ้าง แต่ฟังดี ๆ ก็ยังใช่อยู่  หรือเรื่องการแต่งกาย วัฒนธรรม การกินการอยู่ก็เหมือนกัน  ต่างฝ่ายต่างได้รับอิทธิพลจากประเทศที่ตนเองอยู่  แต่ในเมืองไทยผมว่าบางส่วนยังรับอิทธิพลน้อยกว่า บางชุมชนก็ยังค่อนข้างแท้อยู่ก็มี

คนมอญในพม่าเขามองคนมอญในเมืองไทยอย่างไร
เขาแปลกใจ ไม่นึกว่ายังมีคนพูดภาษามอญได้ บางคนที่มีการศึกษาหน่อย ก็อยู่กับตำนานว่ามอญเจ้าเขาหนีมาเมืองไทยหมดแล้ว มอญที่จะไปกู้ชาติได้ ก็ต้องไปจากเมืองไทยไปกู้ชาติ เพราะเชื้อพระวงศ์มาอยู่ที่นี่หมดแล้ว เขาก็ยังยึดติดกับตำนานมาก ยังคิดถึงเรื่องการกู้ชาติมากกว่ามอญเมืองไทยเยอะ พอเราไป เราก็จะดูเป็นความหวังของเขา  เขาก็ดีใจ

แล้วเรื่องสถานการณ์ทางกองทัพมอญเป็นอย่างไรบ้าง
สมัยพ่อนี่ยังแข็งแรงอยู่ คนมอญรู้สึกผิดหวังมานาน ตอนนั้นมีช่วงผู้นำพรรคมอญใหม่สองคน รู้สึกว่าจะขัดแย้งกัน มีการหนีไปฝรั่งเศส ทำให้มอญเมืองไทยไม่มั่นใจว่าเงินที่ส่งไปมาก เหมือนกับว่าจะได้ประเทศแล้ว มันไปทางไหน ไปใช้ทำอะไร ก็เลยแตกจากกันมอญเมืองไทยกับมอญเมืองมอญ ความเข้มแข็งมันก็ขาดด้วย ตอนนี้เหมือนกับไม่มีบทบาทแล้ว ไร้ความหวัง หลังจากพรรคมอญใหม่เจรจาสงบศึก ก็ทำอะไรไม่ได้ มีเหลือแต่กลุ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่ในป่าตามตะเข็บชายแดน ตามชายทะเล ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เท่าที่ผมได้ยินได้ฟังมานะ ที่มีอยู่ก็ดูจะเป็นการตั้งกลุ่มเพื่อรักษาที่มั่น ป้องกันตัวเองมากกว่า คือถ้าอยู่ลำพังพม่าก็มาข่มเหง กวาดล้าง ฉุดข่มขืน ขูดรีด

ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างคนมอญรุ่นใหม่ในเมืองไทย กับคนมอญรุ่นใหม่ในเมืองมอญ คุณคิดว่ามีความต่างกันไหมในแง่ของความกระตือรือร้นที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นมอญ
ต่างกันแน่นอน มอญเมืองไทยเขาไม่ค่อยเอาแล้ว มอญเมืองมอญที่มาทำงานในเมืองไทยนี่ด้วยภาวะจำยอมด้วย ห่างบ้านด้วย  หลาย ๆ อย่าง เขาก็มีการรวมกลุ่มกัน บางคนที่มาจากเมืองมอญก็พูดมอญไม่ได้ บางคนก็ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เลย รู้แต่ว่าตัวเองเป็นพม่า พอมาเมืองไทย เขาก็ตั้งกลุ่มมีการสอนหนังสือในกลุ่มคนมอญด้วยกัน เขาถึงได้รู้ว่าเขามีประวัติศาสตร์ เขาเคยมีกษัตริย์  บางกลุ่มก็มาขอความช่วยเหลือจากผม ช่วยกันก่อตั้งเป็นโรงเรียนสอนหนังสือภาษามอญ อังกฤษ ไทย  ทำให้ได้ทำกิจกรรม ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง

ชมรมในลักษณะนี้มีจำนวนมากน้อยแค่ไหน
ตรงไหนที่เขาอยู่กันเยอะ สมุทรปราการ พระประแดง มหาชัย เขาจะตั้งกลุ่มชมรมกันขึ้นมาเยอะ ตั้งเพื่อทำกิจกรรมด้านศาสนา ด้านอะไร คนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันก็ตั้งเป็นกลุ่มเดียวกัน อยู่ด้วยกันช่วยกัน คนเหล่านี้เราเข้าถึงพวกเขาได้เป็นบางกลุ่มเท่านั้น บางกลุ่มก็เข้าไม่ถึง บางทีเขาก็ยังหวาดระแวงเราก็มี มันมีการสำรวจโดยคร่าวๆ ทั้งโดยคนมอญ และโดยนักวิชาการไทยเอง สมมติว่าแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในเมืองไทยราวหนึ่งล้านคนที่คนเหมาว่าเป็นพม่า จริง ๆ 60-70 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนมอญนะ ไม่ใช่พม่า ไม่ใช่ไทยใหญ่ ไม่ใช่กระเหรี่ยง  โดยเฉพาะชุมชนมอญในเมืองไทยที่มาใช้แรงงาน แถวพระประแดง มหาชัย แทบจะไม่รับคนพม่าเลย เพราะอย่างคนไทยก็เกลียดพม่า ตามประวัติศาสตร์ที่เขาสอนให้เกลียดอยู่แล้วใช่ไหม แล้วยิ่งเป็นมอญเมืองไทย เขายิ่งเกลียดเป็นสองเท่า ถึงไม่เกลียดเลยไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เลยก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ อยู่กันเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน พม่ากับมอญ เพราะฉะนั้นแถวนี้จะไม่ค่อยมีหรอกพม่า  มีน้อยมาก อย่างโรงงานสองโรงงานอยู่ติดกันก็ต้องเลือกไปเลยว่าจะเอาพม่า หรือจะเอามอญ  ( หัวเราะ )  

อย่างหมู่บ้านมอญในพม่าที่ผมไป คนมอญ คนพม่า คนกระเหรี่ยงเขาก็อยู่ด้วยกันดี ตั้งหมู่บ้านอยู่ใกล้ กันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะต่างคนต่างถูกกระทำไง แต่พอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง อย่างมาอยู่เมืองไทย มันต้องการฟื้นฟูความเป็นชนชาติ เอกลักษณ์ขึ้นมาด้วย คนมอญที่อยู่ในพม่าก็มีชื่อพม่าทั้งนั้น ชื่อมอญไม่มีนะ เพื่อนผมก็ชื่อตุนเล อองมิน อองมาย อะไรไป แต่ทุกคนที่มาอยู่เมืองไทยแล้วเกือบทุกคนก็จะตั้งชื่อตัวเองใหม่เป็นภาษามอญ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่มีโอกาสเข้ากลุ่มเข้าชมรม ถ้าคนที่ทำงานต่างคนต่างอยู่ก็จะไม่เท่าไร

ถ้าเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ดูเหมือนว่ามอญจะค่อนข้างเข้มแข็งเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างนั้นหรือเปล่า 
มันจะหนักเรื่องวัฒนธรรม แต่ถ้ามอญเมืองนอก มอญเมืองมอญ หรือว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เขาอาจจะต่อสู้เรื่องชาติพันธุ์ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เราทำมันก็เป็นการเมือง อย่างเราไปทำเรื่องวัฒนธรรม ออกโรงทานอาหารมอญที่สนามหลวง แต่มอญในป่านั่นเขาได้เห็น มันก็เป็นการเมือง  มันก็มีการส่งข่าวถึงมอญออสเตรเลีย แคนาดา พวกนั้นเขาก็ดีใจ เขาก็ชอบ เขาก็เห็นว่ามอญเมืองไทยยังสู้อยู่ เราทำวัฒนธรรมแต่มันเป็นการเมือง ให้ชื่อมันออกไป ให้หงส์มันออกไป เขาก็ดีใจฮึกเหิมขึ้นมา

ในฐานะประธานชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ คุณวางแผนงานที่จะทำต่อไปอย่างไรบ้าง
จริง ๆ สมัยที่สองนี้ผมไม่อยากรับ เพราะว่าอยากรีบทำวิทยานิพนธ์ แต่หลาย ๆ คนไม่ยอม ก็เลยต้องรับมา  ผมเลยออกตัวไปว่า ขอผ่อนกิจกรรมลงมาหน่อยแล้วกัน แผนงานในสองปีข้างหน้านี้ จะเป็นเรื่องของการส่งเสริมเรื่องการศึกษา ซึ่งที่ผ่าน ๆ มา คือทำหลักสูตรภาษามอญ จะผลักดันให้เข้าในระบบโรงเรียนชุมชนให้ได้ ชุมชนในที่นี้หมายถึงที่เป็นชุมชนมอญทุกจังหวัด ในเมืองไทย  ซึ่งมีอยู่ 34  จังหวัด  หลักสูตรนี่ก็แล้วแต่ว่าโรงเรียนแต่ละโรงเรียนจะมีเวลาให้แค่ไหน สอนในเวลาเรียนอาทิตย์ละ 2 ชั่วโมง  ส่วนเรื่องบุคคลากร ก็ต้องสร้างด้วย แต่ตอนนี้คือใครพร้อมก็เอาเข้าไปก่อน อย่างวัดม่วง ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี มีคนเฒ่าคนแก่ที่พูดภาษามอญ โรงเรียนเห็นด้วยและชุมชนยอมรับก็เปิดสอนมา  4-5  ปีแล้ว แต่เพิ่งเข้าหลักสูตรได้ไม่นาน  หรืออย่างที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือแถวเขตพระประแดง ตรงนั้นก็มีอีกหลายที่ แต่ว่าสอนนอกเวลาเรียนบ้าง  เหมือนกับมันไม่ค่อยได้รับความสนใจ เด็กไม่ค่อยอยากเรียน เพราะไม่มีเกรด พ่อแม่ก็มองว่าเสียเวลา ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เราเลยต้องผลักดันให้เข้าในชั่วโมงเรียนให้ได้  พ่อแม่ก็จะสนับสนุนให้เด็กเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมมอญมากขึ้น

แล้วนอกจากเรื่องหลักสูตรแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกบ้างที่ตั้งใจว่าอยากจะทำ
คือหลักสูตรนี่มีสองส่วน ที่พูดมานี่คือหลักสูตรสำหรับมอญในเมืองไทย ส่วนที่ผมทำเสร็จไปแล้วคือหลักสูตรที่ทำร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการสำหรับมอญที่เป็นแรงงาน จัดสอนแรงงาน เพื่อให้สื่อสารกันได้ ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งทางการไทย ทั้งนายจ้าง....คือเราปฏิเสธการมีอยู่ของเขาไม่ได้ ไล่เขาออกไปก็ไม่ได้ ก็สอนให้เขารู้ภาษาไทยบ้าง โดยที่ไม่ทิ้งภาษามอญ อันนี้คือจะเป็นหลักสูตรที่เริ่มจากภาษามอญ เนื้อหาอะไรจะเหมาะสำหรับผู้ใหญ่หน่อย  เป็นระบบสองภาษา ที่กระทรวงฯ ให้ความสนใจ
นอกจากเรื่องหลักสูตรภาษามอญ ก็จะเป็นเรื่องของการเข้าหาชุมชน  เพราะชุมชนมอญทั่วประเทศนี่เรายังเข้าไปไม่ครบ พยายามจะเช็คประวัติศาสตร์ ให้ครบให้ถูกต้อง หาสมาชิกเพิ่ม ผมจะเข้าไปเยี่ยมเยียนชุมชนมอญตามที่ต่าง ๆ เวลามีงานเทศกาลหรือกิจกรรมของชุมชน เอานิทรรศการ ข่าวสารไปเผยแพร่ รับสมัครสมาชิกชมรม  ให้มารับรู้กิจกรรมของเรา  พยายามดึงเขามาเป็นพวกให้หมด  คือถ้าชุมชนเขาแข็งแรงแล้ว เราก็ไม่ต้องไป

คุณคิดว่าระหว่างชุมชนมอญแต่ละชุมชน แต่ละกลุ่มทุกวันนี้มีการสื่อสารกันอย่างทั่วถึงแล้วหรือยัง
ยังไม่พอหรอก ได้แค่กลุ่มเล็ก ๆ ยังไม่ทั่วถึง มอญเมืองไทยก็รังเกียจมอญเมืองมอญบางส่วนหาว่าหยาบ อย่างการกิน การอยู่การแต่งตัว มอญเมืองมอญก็จะไม่ชอบมอญเมืองไทยที่ว่า ลืมแล้วเรื่องกู้ชาติ     คล้าย ๆ ทัศนคติมันยังไม่ลงกันอยู่หลายส่วน อย่างที่ว่าหยาบเช่น เรื่องผู้หญิงมอญเมืองโน้นเขาจะไม่คาดเข็มขัด นุ่งโสร่ง นุ่งผ้าถุงง่าย ๆ เหน็บเอา เดินท่ามกลางผู้คนก็สะบัด ๆ เหน็บ การกินการอยู่ก็จะง่าย ๆ ของเขา มอญเมืองไทยเจอนี่ตาค้าง รับไม่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันจะต้องปรับ ปรับความคิดความรู้กันทั้งสองฝ่าย มอญเมืองไทยก็ควรจะเข้าใจเขา เขาเองก็ควรจะเข้าใจว่าอยู่ตรงไหน ควรจะทำอะไรแค่ไหน เจอมอญเมืองไทยก็ไหว้หน่อย คืออยู่ที่นั่นเขาไม่ไหว้ แต่มอญเมืองไทยนี่ ถ้าไม่ไหว้ ถือว่าหัวแข็ง  อย่างนี้ก็ต้องสอนต้องบอกให้เขารู้ ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเราด้วย เพื่อจะได้รู้จักและอยู่ด้วยกันได้ เข้าใจกัน

คุณคาดหวังไว้อย่างไรบ้างเกี่ยวกับงานวัฒนธรรมมอญในอนาคต
อย่างน้อยที่สุดของเมืองไทย ก็อยากให้แต่ละชุมชนมีความเข้มแข็ง เวลามีงานมีกิจกรรม ใน 34  จังหวัดนี้ โทรหาแค่ 34 คน แล้วเขาก็จัดการในชุมชนของเขาได้เสร็จ เราไม่ต้องไปเหนื่อย ไปจัดการ ส่วนกลุ่มมอญที่เป็นเมืองมอญขั้นแรกที่อยู่ในเมืองไทยด้วยกัน ก็ควรจะมีการติดต่อสื่อสารถึงกัน จะได้รับรู้ปรับทัศนคติเข้าหากัน

ในทัศนะของคุณคิดว่าคนไทยมองคนมอญอย่างไร
คนที่รู้จักก็มองว่ามอญเป็นชนชาติหนึ่งที่คลุกคลีสนิทสนมกับไทย โดดเด่นเรื่องภาษาศิลปวัฒนธรรม แต่จะไม่รู้จักมอญในแง่ของการกู้ชาติในฝั่งพม่าอะไรเท่าไร ถ้าใครมาพูดเรื่องเหล่านั้นก็จะกลัว ไม่อยากคุยด้วย แต่บางคนที่ไม่ได้ศึกษา ก็จะไม่รู้ว่ามอญคืออะไร  แต่จะไม่มีเหยียดหยาม ไม่มีคำล้อ แบบที่คนไทยพูดเหยียดคนลาว คนจีน

ตัวคุณเองมองเรื่องการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์มอญอย่างไร
ลึก ๆ แล้วผมเชื่อว่าคนมอญทุกคนคิดเหมือนกัน ถ้ากอบกู้ได้ ก็มีคนร่วมดีใจเยอะ ร่วมสนับสนุนเยอะ พูดถึงให้กลับไปอยู่คงมีไม่กี่คน แต่ก็อยากให้มี มันจะได้ทดแทนอะไรเก่า ๆ ที่เราเคยมีปมด้อยว่าเราไม่มีชาติอย่างประเทศอื่นเขา

คิดว่าความเป็นมอญกับความเป็นไทยในตัวคุณผสมกลมกลืนกัน หรือแยกจากกันอย่างไร
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไทย รักประเทศไทย  รักในหลวง รักอะไรหลายอย่าง ก็ไม่ได้แยก คิดว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไปทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน  ถึงแม้เราจะรักษาศิลปวัฒนธรรมมอญ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของศิลปวัฒนธรรมไทย.