โดย สนิทสุดา เอกชัย
คนเราไม่ว่าจะเกิดมามีผิวสีอะไร แต่ท้ายที่สุดเมื่อร่างกายถึงคราวที่จะต้องย่อยสลายลง ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพที่แทบไม่แตกต่างกัน นี่คือสิ่งที่ร่างไร้วิญญาณที่เรียงรายอยู่ในวัดย่านยาวกำลังบอกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงยังถกเถียงกันถึงเรื่องเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันอยู่?
ไม่ว่าจะยากดีมีจน ความรู้สึกของคนเราที่เกิดขึ้นเมื่อสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปนั้นไม่ต่างกัน และในเมื่อเราต่างคนก็เหมือนกันแล้ว ผู้ที่ประสบภัยจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มที่ภาคใต้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมาทุกคนไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือที่เท่าเทียมกันอย่างนั้นหรือ ?
น่าเศร้าใจที่เจ้าหน้าที่ไทยไม่ได้คิดเช่นนั้นกับผู้ประสบภัยที่เป็นแรงงานพม่า ในขณะที่คนไทยกำลังซาบซึ้งใจกับความช่วยเหลืออันท่วมท้นจากคนไทยทั้งประเทศที่หลั่งไหลไปสู่ผู้ประสบภัยคลื่นสึนามิ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่นั้น ในเวลาเดียวกันประเทศไทยกลับเพิกเฉยต่อชะตากรรมของแรงงานต่างด้าวที่น่าสงสารเหล่านั้น ซึ่งต่างก็ได้รับความสูญเสียจากภัยธรรมชาติครั้งนี้เช่นกัน
พวกเขาก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกัน แต่เรากลับไม่ใส่ใจว่าพวกเขาสูญเสียอย่างไร มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเท่าไหร่ เราไม่ได้ให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่พวกเขา และที่เลวร้ายไปกว่านั้นเรากลับทำร้ายพวกเขาโดยส่งพวกเขากลับประเทศพม่า ที่มีแต่อันตราย ซึ่งปฏิเสธแม้กระทั่งประชาชนของตัวเอง
พวกเราเป็นอะไรกันหมด?
มีแรงงานต่างด้าวจากประเทศพม่าที่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อทำงานในสาขาอาชีพ การประมง งานก่อสร้าง สวนยาง และอื่น ๆ มากกว่า 120,000 คน ซึ่งกระจายอยู่ตามจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่และสตูล ซึ่งจำนวนที่แท้จริงอย่างต่ำแล้ว อาจจะมากถึงสองเท่าของตัวเลขดังกล่าวด้วยซ้ำ
ในจำนวนคนเหล่านั้นเชื่อว่าเสียชีวิตไปแล้วหลายพันคนเมื่อคลื่นยักษ์ถล่มจังหวัดดังกล่าว ข้อมูลจากผู้ที่รอดชีวิตพบว่ามีแรงงานต่างด้าวสูญหายอย่างน้อย 1,000 คน เฉพาะในจังหวัดพังงาแห่งเดียวเท่านั้น
ผู้ที่รอดชีวิตเหล่านั้นเชื่อว่าญาติมิตรอันเป็นที่รักของเขาจำนวนมากอยู่ในจำนวนศพนิรนามที่เก็บไว้ในวัดย่านยาว แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะไปตามศพของญาติมิตรกลับมาได้เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับและจะถูกส่งกลับประเทศ ความกลัวที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นมีที่มาที่ไป
ขอบคุณสื่อและประวัติศาสตร์ชาตินิยม ที่ทำให้คนไทยเกิดอคติที่ฝังลึกต่อคนพม่าว่าจะต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยม ไม่น่าไว้ใจ เป็นผู้ร้ายทำลายเมืองหลวงของเราเมื่อครั้งอดีต แย่งงานคนไทย ปล้นนายจ้าง และเป็นพาหะที่นำโรคติดต่อมาสู่เรา
ภายหลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ มีนักแสดงที่เป็นอาสาสมัครในหน่วยกู้ภัยท่านหนึ่งบอกกับสื่อว่า เขาสงสัยว่ากลุ่มคนที่เข้าไปขโมยทรัพย์สินของผู้เสียหายจะเป็นกลุ่มแรงงานพม่า ความระแวงสงสัยที่เกิดขึ้นนี้ได้ปลุกอคติที่มีต่อคนพม่าที่ฝังลึกอยู่ในใจคนไทยส่วนใหญ่อยู่แล้วให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมแรงงานพม่ากลุ่มหนึ่งที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินของผู้ประสบภัยในทันที เพื่อเป็นการยืนยันความระแวงสงสัยดังกล่าว สื่อมวลชนต่างออกมาประกาศว่าคนพม่าได้เข้ามาซ้ำเติมคนไทยอีกครั้งในเวลาที่เรากำลังประสบภัยพิบัติ
และแทนที่จะนำตัวพวกเขาไปดำเนินการตัดสินในชั้นศาลซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พวกเขาควรจะได้รับ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับถูกส่งกลับประเทศทันที ในเวลาต่อมาทางเจ้าหน้าที่จึงเริ่มกวาดต้อนแรงงานต่างด้าวโดยอ้างว่าจำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมในภาวะ
ฉุกเฉิน
จะมีใครสนใจบ้างไหมว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้ลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายกับทางราชการแล้ว ซึ่งควรจะได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับแรงงานคนไทยคนอื่นๆ ? จะมีใครใส่ใจไหมว่าการส่งพวกเขากลับประเทศนั้นจะเป็นการซ้ำเติมชะตากรรมของพวกเขาให้เลวร้ายลงไปอีกซักเท่าไหร่ ? จะมีใครใส่ใจบ้างว่า พวกเขาจะประสบภัยอันตรายใดบ้างในประเทศพม่า ซึ่งประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิเช่นเดียวกัน ข้อมูลจากเอ็นจีโอกลุ่มต่างๆ ที่ทำงานในพื้นที่ดังกล่าวพบว่ามีแรงงานพม่าถูกส่งตัวกลับประเทศมากกว่า 1,000 คน ซึ่งทางเกาะสองของประเทศพม่าได้ปฏิเสธที่จะรับแรงงานที่ถูกส่งกลับเหล่านั้น พวกเขาจึงถูกทิ้งไว้ในเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
พวกเขาจึงต้องหนีขึ้นไปหลบซ่อนตัวอยู่ตามภูเขา เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวกลับ ซึ่งต้องอยู่อย่างอดอยากหิวโหย ท่ามกลางความหวาดกลัว และหมดหนทางทำงานแลกเงิน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ช่วยอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องไปขโมยของชาวบ้าน
มีคนไทยจำนวนมากที่เห็นด้วยกับมาตรการส่งกลับประเทศ เนื่องจากเห็นว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดในยามฉุกเฉินควรจะนำไปช่วยเหลือสำหรับคนไทยเท่านั้น
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอาจจะปรบมือชื่นชมกับความมีน้ำใจของคนไทย แต่สำหรับเพื่อนบ้านของเราแล้ว สิ่งที่พวกเขาจะเล่าให้ลูกหลานฟังเกี่ยวกับคนไทยในอนาคตอาจจะแตกต่างออกไป พวกเขาจะบอกเล่าถึงเรื่องราวของการเหยียดเชื้อชาติ ความโหดร้าย และความไร้หัวใจรวมทั้งอคติทางเชื้อชาติที่ฝังรากลึกในใจของคนไทยชนิดที่มหันตภัยธรรมชาติอันรุนแรงที่แสดงให้เห็นถึงความไม่จีรังยั่งยืน ความไม่แตกต่างของชีวิต รวมถึงอคติที่ไร้สาระทั้งหลายของมวลมนุษย์ ครั้งนี้ยังไม่อาจลบเลือนได้
แล้วเมื่อไหร่เราจะเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้กันเสียที ?
*แปลจากบทความเรื่อง "Do our prejudices know no bounds?" น.ส.พ.บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 13 มค 48 หน้า 13