ชนเผ่าลาหู่และความเป็นมาวันปีใหม่

โดย อานไตย ไคข่านฟ้า

บ่อยครั้งเมื่อเอ่ยถึงชนเผ่า “ลาหู่” มักจะมีคำถามย้อนกลับมาเสมอว่าชนเผ่า “ลาหู่” คือชนกลุ่มใด? มีถิ่นฐานอยู่ที่ใด? มีการแต่งกายเป็นอย่างไร? ฯลฯ และในปัจจุบันนี้คิดว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักมักคุ้นหรือแม้แต่การพบเห็นชนเผ่าลาหู่ ดังนั้น สาละวินโพสต์ฉบับนี้ จึงขอเป็นสื่อนำเสนอเรื่องราวของชาวลาหู่ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น


ตามประวัติศาสตร์ของชนชาติ “ลาหู่” มีมานานไม่ต่ำกว่า 4,500 ปี โดยชาวลาหู่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในธิเบต ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ต่อมาได้ทยอยอพยพลงมาอยู่ทางตอนใต้ของจีนโดยแบ่งออกเป็นสองสาย คือส่วนหนึ่งอพยพเข้ามาในรัฐฉาน ประเทศพม่าและทางตอนเหนือของประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเข้าไปในประเทศลาวและเวียดนาม ทั้งนี้ ชนเผ่าลาหู่ได้แบ่งเป็นเผ่าย่อยอีกหลายเผ่า อาทิ ลาหู่ดำ ลาหู่แดง ลาหู่เหลือง ลาหู่ขาว ลาหู่แซแล ลาหู่ปะกิว ลาหู่ปะแกว ลาหู่เฮ่กะ เป็นต้น โดยแต่ละกลุ่มจะมีเอกลักษณ์รูปแบบกายแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่สีสันของเสื้อผ้าจะเน้นสีดำและสีแดงเป็นหลัก อาจมีสีอื่นประกอบเพื่อสร้างสีสันให้ดูสวยงามบ้าง

ปัจจุบันในประเทศไทยมีชนเผ่าลาหู่อาศัยอยู่ราว 1.5 - 2 แสนคน โดยกระจายอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวชายแดน ไทย - พม่ากว่า 800 หมู่บ้าน พื้นที่ที่มีชาวลาหู่อาศัยอยู่มากได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำปาง โดยเฉพาะตามพื้นที่ติดกับชายแดน ส่วนใหญ่แล้วชนเผ่าลาหู่มักจะอาศัยปะปนกับชนเผ่าอื่น ๆ หรือคนไทย มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่บ้าน

ด้านวิถีชีวิตของชนเผ่าลาหู่นั้น โดยปกติแล้วชนเผ่าลาหู่ชอบอาศัยอยู่บนที่สูง และเป็นชนเผ่าที่ไม่ชอบความวุ่นวาย มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เป็นชนเผ่าที่สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คนได้เป็นอย่างดี ส่วนภาษาที่ใช้สื่อสารไม่เหมือนกับชนเผ่าอื่น แต่จะไม่แตกต่างจากกลุ่มลาหู่เผ่าต่างๆ สำหรับภาษาเขียนจะใช้ตัวอักษรโรมัน

ในอดีตชนเผ่าลาหู่จะเคารพเลื่อมใสและบูชา “ผี” แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบันชนเผ่าลาหู่
ร้อยละ 60 - 70 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 20 ยังคงมีนับถือผีอยู่ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ10 นับถือศาสนาพุทธ

ส่วนเทศกาลงานประเพณีที่ชาวลาหู่ทุกคนให้ความสำคัญและพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจกันจัดอย่างยิ่งใหญ่ในแต่ละปีนั้นมีอยู่ 3 งานคือ งานคริสต์มาส งานกินข้าวใหม่ จัดในช่วงเดือนตุลาคมหลังจากเกี่ยวข้าว และงานที่สำคัญที่สุดคือ งานปีใหม่ ซึ่งงานนี้จะมีการจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าวันสำคัญอื่น ๆ

เดิมทีนั้น ชนเผ่าลาหู่ไม่มีวันปีใหม่ดังเช่นชนชาติหรือชนเผ่าอื่นๆ ต่อมาได้มีการปรึกษาหารือกันขึ้นเพื่อที่จะกำหนดวันปีใหม่ซึ่งจะเป็นช่วงสำหรับหยุดพักผ่อนจากการทำงานมาตลอดทั้งปี โดยได้กำหนดเอาช่วงเวลาที่ต้นสนและต้นสาลี่ออกดอกเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของชนเผ่าลาหู่ ส่วนสาเหตุที่ได้เลือกเอาช่วงนี้คือเพื่อให้จดจำได้ง่าย เนื่องจากในสมัยก่อนไม่มีปฏิทินกำหนดวันเดือนปี และที่สำคัญในช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะแก่การหยุดพักผ่อนและจัดงานปีใหม่เพราะเป็นช่วงที่เสร็จจากการเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวลาหู่จึงได้ถือเอาช่วงที่ต้นสนและต้นสาลี่ออกดอกกำหนดจัดงานวันปีใหม่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเทศกาลปีใหม่ของชนเผ่าลาหู่นี้ไม่มีกำหนดวันที่ชัดเจนและแน่นอน แต่จะขึ้นอยู่กับโอกาส โดยส่วนใหญ่จะนิยมจัดในช่วงเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นสนและต้นสาลีกำลังออกดอก

ตามประเพณีดั้งเดิมนั้นชาวลาหู่จะจัดงานปีใหม่เป็นระยะเวลา 3 วัน แต่ต่อมาได้มีการจัดเพิ่มขึ้นอีก 3 วัน รวมเป็น 6 วัน ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตเมื่อครั้งเกิดสงครามจากแย่งชิงดินแดนของแม่ทัพจีน ผู้ชายถูกจับไปเป็นทหาร คงเหลือไว้เพียงผู้หญิง เด็กและคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น เมื่อเทศกาลวันปีใหม่มาถึง ผู้หญิงที่รออยู่ทางบ้านจึงได้พากันจัดงานขึ้น ขณะที่ผู้ชายซึ่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารยังไม่กลับจากสนามรบ จนกระทั่งงานปีใหม่ได้ดำเนินไปจนถึงวันสุดท้ายผู้ชายที่ไปออกรบก็กลับมาพอดี ชาวลาหู่จึงจัดงานปีใหม่ต่อไปอีก 3 วันเพื่อเป็นเกียรติและต้อนรับการกลับมาของเหล่าทหาร แต่ในปัจจุบัน การดำรงชีพได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงมีเพียงบางแห่งเท่านั้นที่ยังคงจัดงานครบ 6 วัน

ชาวลาหู่จะประดับประดาตามหน้าบ้านของตนหรือในบริเวณที่มีการจัดงานด้วยต้นสน ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของงานปีใหม่ โดยก่อนถึงวันเทศกาลชาวบ้านจะต้องเตรียมสิ่งของเพื่อบูชาพระเจ้าและเลี้ยงแขกที่สำคัญ 4 อย่างด้วยกันคือ เนื้อหมู ซึ่งจะแขวนไว้ตามหิ้งที่ทำขึ้นมาโดยจะแขวนทิ้งไว้ตั้งแต่วันเริ่มงานไปจนถึงวันสุดท้าย อย่างที่สองคือ ข้าวปุ๊ก เป็นอาหารของชาวลาหู่ทำจากข้าวเหนียวบดละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกันและอัดเป็นแผ่นวงกลมขนาดประมาณ 4 นิ้ว(ประมาณแผ่นซีดี) มีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร โดยข้าวปุ๊กเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสามัคคีปรองดองของชนเผ่าลาหู่ เมล็ดข้าวเหนียวนึ่งที่ถูกบดละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกันนั้นเปรียบเสมือนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวลาหู่ ส่วนของที่ต้องเตรียมอีกอย่างคือ ฟืน เตรียมไว้ก่อไฟผิงเพื่อคลายความหนาว เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้เป็นช่วงหน้าหนาว และสิ่งสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้คือ ชุดประจำเผ่า ที่ต้องเตรียมไว้เพื่อสวมใส่ในงานปีใหม่ที่ปีหนึ่งจะมีเพียงแค่ครั้งเดียว

เทศกาลปีใหม่ของชาวลาหู่ นอกจากจะเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองและพักผ่อนจากการทำงานแล้ว ชาวลาหู่ยังใช้โอกาสนี้ในการขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่ โดยบรรดาคนหนุ่มอายุน้อยจะตระเวนไปตามบ้านของผู้อาวุโสหรือผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อแสดงถึงความเคารพและถือโอกาสขอขมาลาโทษในสิ่งที่อาจจะได้ล่วงเกินไว้โดยมิได้ตั้งใจ

ส่วนสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะของชนเผ่าลาหู่ซึ่งไม่เหมือนชนกลุ่มใดก็คือ การเป่าเครื่องดนตรีลักษณะคล้ายแคนของภาคอีสาน หรือที่พวกเขาเรียก หน่อ ที่ทำจากลูกน้ำเต้าอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวลาหู่ รวมไปถึงการตี กลองโท่งเท่ง กับการเต้นรำเป็นวงกลมที่เน้นการก้าวเท้าไปมาตามจังหวะเสียงหน่อและเสียงกลองโท่งเท่ง การเต้นรำของชาวลาหู่สำหรับผู้ที่เคยชมแต่ยังไม่เคยลองอาจมองว่าเต้นไม่ยาก แต่มีหลายคนที่ไม่ใช่ชนเผ่าลาหู่โดยกำเนิด ซึ่งเคยลองเต้นรำมาแบบลาหู่มาแล้วกล่าวว่าการเต้นรำแบบลาหู่สนุกแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

หากท่านใดอยากสัมผัสกับงานเทศกาลปีใหม่ของชาว ลาหู่ อยากชิมข้าวปุ๊ก และลองเต้นรำตามแบบสไตล์ของชนเผ่าลาหู่แล้วละก็ เมื่อถึงช่วงต้นสนและต้นสาลี่ออกดอกปีหน้า อย่าลืมมองหาหมู่บ้านลาหู่ และหากใครต้องการร่วมงานปีใหม่ชาวลาหู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ฝึกอบรมคริสตจักรภาคที่ 18 อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะจัดงานยิ่งใหญ่ทุกปี