มนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนหรือแผ่นดินใดก็ตาม เมื่อลืมตาดูโลกและเติบโตขึ้นมา ต่างคนก็ต่างคงต้องมีความใฝ่ฝันของตัวเองและอยากให้ความฝันใฝ่ของตัวเองนั้นเป็นจริง แต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสสานฝันนั้น ๆ จนสำเร็จ และเป็นจริง ผมคนหนึ่งที่โชคร้ายและไม่มีโอกาสเช่นเพื่อน ๆ ของผมอีกหลายคนเพราะพวกเขาเกิดมาท่ามกลางหมอกควันแห่งสงคราม การแย่งชิงอำนาจ ผืนแผ่นดิน และการกีดกันทางเชื้อชาติ
ผมมีชื่อเรียกแบบภาษาไทยใหญ่ว่า“จายอ่าจี่งนะ” เป็นชนเชื้อชาติไทยใหญ่ ผมเกิดและเติบโตที่บ้านเวียงกอง จ.เมืองสาด รัฐฉาน (ประเทศพม่า) ถ้ามองย้อนกลับไปดูเรื่องราวชีวิตของตนเองในอดีต ชีวิตของผมก็คงไม่แตกต่างจากชาวไทยใหญ่ทั่วๆ ไปในรัฐฉานมากนัก มีทั้งทุกข์ โศก เศร้า ขมขื่นและเจ็บปวด แต่ก็พอได้รู้จักและเคยได้ลิ้มรสของคำว่า“สุข”อยู่บ้างในช่วงหนึ่งของชีวิต เนื่องจากผมได้มีโอกาสเกิดมาในครอบครัวที่พอมีอันจะกินและหมู่บ้านเกิดที่ไม่ค่อยห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก จึงได้มีโอกาสเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนของหมู่บ้านจนจบชั้น 5 (เทียบเท่า ป. 5) และมีโอกาสไปเรียนต่อที่เมืองตองจี (เมืองหลวงของรัฐฉาน) จนจบชั้น 9 (เทียบเท่า ม. 3)
ชีวิตช่วงเด็ก ๆ นั้น ผมจำได้ว่า ผมเคยวิ่งหนีทหารพม่าที่เข้ามาหมู่บ้านเพื่อจับผู้ชายในหมู่บ้านไปเป็นลูกหาบ ขณะนั้นผมมีอายุแค่เพียง 7 ขวบ และตามประสาเด็ก ๆ เป็นช่วงที่ชอบเล่นและซน ช่วงเย็นเวลาประมาณ 6 โมงกว่า ๆ ผมและเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมักจะชวนกันเล่น “ชักเย่อ” กันตรงหน้าบ้านเสมอ ๆ แต่วันหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีทหารวิ่งพรวดพราดเข้ามาไล่จับผู้ชายตามบ้านแล้วยัดใส่รถทหารไว้ มีเสียงปืนดังลั่นทั่วหมู่บ้านและตามมาด้วยเสียงฝีเท้าพลุกพล่านเต็มหมู่บ้านไปหมด ผมและเพื่อน ๆ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องรีบพากันหยุดเล่นและวิ่งกลับบ้านใครบ้านมัน หมดโอกาสเล่นสนุกไป เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ผมต้องจดจำและเจ็บปวดไปตลอดชีวิตก็คือตอนที่ผมขึ้นป. 5 ตอนอายุ 10 ขวบ ผมจำได้ขึ้นใจว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ผมและเพื่อน ๆ อีก 5 คนได้ชวนกันไปเที่ยวงานบวชลูกแก้ว หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยใหญ่ว่า“ปอยส่างลอง” เวลานั้นประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว มีทหารเข้ามาในงานประมาณ 10 กว่าคน แต่ไม่ได้ผิดสังเกตอะไร และไม่มีทีท่าอะไรให้เห็นว่าจะมาจับลูกหาบ พวกทหารพม่าเหล่านั้นทุกคนได้ทำทีมาซื้อเหล้าสุราและของกินบางอย่างแล้วก็ออกไปจากงาน แต่ออกไปไม่ถึง 20 นาที พวกทหาร 10 กว่าคนนั้นได้ชวนพรรคพวกอีกหลายสิบคนกลับเข้ามาไล่จับผู้ชายทุกคนในงาน ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะผมและเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กอายุเพียง 10 ขวบก็ถูกเขาไล่จับไปด้วย โดยให้เหตุผลว่าสามารถแบกหามข้าวสารอาหารแห้งประมาณ 30-40 กิโลได้ หรือลูกกระสุนปืนใหญ่สักลูกสองลูกได้ ผมและเพื่อน ๆ หวาดกลัวและผวามาก
พวกเราถูกพาขึ้นรถและพาไปยังค่ายทหารแห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าค่าย 49 ขณะที่รถทหารกำลังพาพวกเราหลายสิบชีวิตไปยังค่าย 49 นั้น เพื่อนผมคนหนึ่ง ผมเรียกเขาว่า “กันนะ” ได้กระโดดลงรถพร้อม ๆ กับผู้ใหญ่ประมาณ 10 กว่าคน และพยายามวิ่งหนี ภายในรถมีความชุลมุนวุ่นวายและเสียงด่าทอของพวกทหารดังไปหมด แต่แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายสิบนัด ตามมาด้วยเสียงโอดครวญจากผู้คนที่ถูกยิงเพราะความเจ็บปวด ต่อมาพวกเรารู้ว่าทุกคนที่กระโดดหนีลงจากรถนั้นถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัสทุกคน รวมทั้งเพื่อนผมคนนั้นด้วย ส่วนพวกผมถูกพาเข้าไปในค่ายและขังไว้ในโรงเก็บข้าวและอีกด้านหนึ่งเก็บพวกเกลือ ที่นั่นผมและเพื่อนๆ ได้เจอเด็กๆในวัยเดียวกันอีกประมาณ 10 กว่าคน วันรุ่งขึ้นพวกผู้ใหญ่ถูกพาไปเป็นลูกหาบ ส่วนพวกผมเขาได้ติดต่อผู้ใหญ่บ้านและแม่กับยายนำเงิน 5,000 จ๊าต (208 บาท) ไปไถ่พวกผม (เสมือนจับไปเรียกค่าไถ่) วันนั้นพอมาถึงบ้าน แม่ผมได้ด่าว่าผมและบอกว่าเพื่อนผมถูกยิงเข้าที่โหนกแก้มจนต้องหามส่งโรงพยาบาล ตอนนี้เพื่อนผมก็ยังคงเป็นอัมพาตอ่อน ๆ คือไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนข้างหนึ่งได้เท่าที่ควร นั่นคือฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนผมอยู่
ทุกวันนี้ หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ผมถูกพ่อและแม่ส่งไปเรียนที่ตองจีหลังจากจบ ป.5 และผมถูกสั่งให้มาเที่ยวบ้านได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น บางปีสถานการณ์ชายแดนวุ่นวาย ผมก็จะไม่ได้กลับมาเที่ยวบ้านเลย จนกระทั่งถึงป ค.ศ.1988 เหตุการณ์ภายในพม่าเกิดความวุ่นวาย ผมและทุกคนในโรงเรียนถูกส่งตัวกลับ พอถึงบ้านก็อยู่ที่บ้านไม่นาน ผมกับเพื่อนได้ชวนกันเข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยได้เข้ามาทำงานที่อำเภอแม่อาย (งานก่อสร้าง)จ.เชียงใหม่ แต่เนื่องจากพวกผมไม่มีบัตรจึงไม่สามารถหางานทำที่ดีและเงินเดือนสูง ๆ จึงระหกระเหไปมาวัน ๆ ประกอบกับเศรษฐกิจของพม่าก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ความหวังผมที่จะหาเงินส่งกลับไปให้ทางบ้านนั้นก็ไม่มี สุดท้ายพอเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งได้มาชักชวนไปทำงานกับเขา ซึ่งเขาเสนอว่าเงินดี ซึ่งผมรู้ภายหลังว่ามันคือการค้ายาเสพติดตอนแรกผมก็ปฏิเสธทันที แต่ด้วยความคะยั้นคะยอและบอกว่าเสี่ยงเพียงครั้งเดียว ถ้ารอดก็ร่ำรวยเงินมหาศาล ผมรู้ว่าผมไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก หรืออาจเป็นเพราะความโลภมันบังตาจึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก็ได้ จึงได้ตัดสินใจเสี่ยงสักครั้งหนึ่ง แต่โชคร้าย งานแรกก็โดนตำรวจจับได้และถูกส่งฟ้องศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต เสียใจและสำนึกผิดมากที่ได้ทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังในตัวผม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว และถึงแม้ตอนนี้อยากบอกแม่และพ่อว่า “ขอโทษครับ” สักคำก็ไม่มีโอกาส ผมจึงอยากฝากคอลัมน์นี้เป็นสิ่งเตือนใจพี่น้องเครือไตในเมืองไทยนี้และเพื่อนๆ ทุกคนที่ได้อ่านว่า หากคิดจะทำสิ่งผิดกฎหมายอยู่ก็จงเลิกคิด และที่ทำอยู่ก็จงเลิกตั้งแต่ยังไม่สายเหมือนผมเสียเถอะ เพราะอิสรภาพนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
เมื่อก่อนตอนเรียนอยู่พม่า ผมหวังจะได้เป็นหมอรักษาคนไข้ในหมู่บ้าน เพราะหมู่บ้านผมห่างไกลโรงพยาบาลและไม่มีคลินิก แต่เพราะเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ในพม่าและการแบ่งแยกเชื้อชาติในสังคมของพม่า พวกเราคนไต(ไทยใหญ่) ส่วนมากก็ไปไม่ถึงดวงดาวและไม่มีโอกาส ฉะนั้นจุดเริ่มต้นปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเผด็จการหรือ SPDC ตอนนี้ผมถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำกลางคลองไผ่แดน 2 และตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามทำตามภาษิตที่ว่า “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” โดยการเรียนหนังสือ เรียนวิชาชีพต่าง ๆ และรวมไปถึงการเข้ารับอบรมด้านจิตใจโดยได้รับเอาคำสอนในพระคัมภีร์ใบเบิ้ลและองค์พระผู้ช่วยให้รอดคือองค์พระเยซูมาเป็นผู้ช่วยชำระความผิดและชี้แนะแนวทางต่าง ๆ ซึ่งผมเชื่อสนิทว่าพระองค์ช่วยผมได้ และทุกวันนี้ผมได้สัมผัสกับความรักของพระองค์ ภายหลังจากผมพ้นโทษ ผมอยากจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐและรับใช้พระองค์ตามสถานที่ที่พระองค์ทรงนำผมไป
ถ้าผมเรียนจบปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ที่ผมอยากเรียนมากที่สุดขณะนี้ เวลาผมออกไป ผมก็อยากทำงานตอบแทนสังคมคืนบ้างโดยการว่าความให้ฟรีแก่ผู้ยากไร้เงินทอง และแนะนำช่วยเหลือด้านกฎหมายให้แก่ผู้สนใจฟรี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอันดับแรกเหนือสิ่งอื่นใดก่อน ผมก็อยากกลับไปขอขมากราบไหว้พ่อและแม่สักครั้งหนึ่ง อยากกลับไปเช็ดน้ำตาให้ท่านทั้งสองด้วยมือของตัวเอง อยากบอกแม่ว่าผมรักแม่มากที่สุดรองจากพระเจ้า อยากบอกพ่อว่าผมขอโทษ อยากบอกทุกคนดังๆ ว่า ผมกลับมาแล้วนะ....ผมต้อง ขอกราบขอบคุณสาละวินโพสต์ที่ทำให้โอกาสนักโทษอย่างพวกเราได้มีโอกาสใช้คอลัมน์นี้เป็นสื่อผ่านระหว่างสังคมภายนอกกับภายในให้ได้รับรู้ว่าพวกเราคิดอ่านอย่างไรและอยากเป็นอยากทำ อะไร “ขอกราบขอบคุณครับ” ขอพระเจ้าทรวงอวยพระพร สวัสดีปีใหม่ 2548 ครับ
ด้วยความจริงใจ
จายอ่าจี่งนะ(Kyaw Soe) เมืองสาด