บนเส้นทางเชียงใหม่-ฝาง จุดหมายปลายทางของคน ส่วนใหญ่คือการได้ไปสัมผัสอากาศหนาวบนยอดดอยสูง ชื่นชม กับดอกไม้สีสันสวยงามที่ผลิบานรับฤดูหนาว ณ ดอยอ่างขาง แต่จะมีใครสังเกตบ้างไหมว่า เส้นทางเมืองงาย-เมืองนะที่แยกจาก ถนนสายหลักก่อนจะถึงดอยอ่างข่างนั้นมีหมู่บ้านของชาวคะฉิ่น (หรือกะฉิ่น)ตั้งอยู่ ซึ่งคนไทยน้อยคนนักจะรู้จักเรื่องราวของ พวกเขา
ชนเผ่าแห่งดินแดนอัญมณี
ชาวคะฉิ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐคะฉิ่นดินแดนทางภาค เหนือของประเทศพม่าซึ่งมีชายแดนติดต่อกับประเทศจีนและ พม่า รัฐคะฉิ่นได้รับการยกย่องว่าเป็น “Land of Jade” หรือ ดินแดนแห่งอัญมณี ทั้งยังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีแม่น้ำ สองสายที่ไหลมาบรรจบกันที่เมืองมิตจีนา(เมืองหลวงของรัฐ คะฉิ่น)อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำอิรวดี นอกจากชาวคะฉิ่นจะ อาศัยอยู่ในรัฐคะฉิ่นแล้ว ยังมีชาวคะฉิ่นบางส่วนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ในรัฐฉานของประเทศพม่า บางส่วนได้อพยพเข้าไปอยู่ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน และในบริเวณอรุณาจาล ประเทศแคว้นอัสสัม ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย
ชาวคะฉิ่นมีอยู่ด้วยกัน 6 เผ่าหลัก คือ จิ่งเผาะ ราวัง ลีซู อาซิ ลาชิและมารู เผ่าที่มีจำนวนมากที่สุดคือจิ่งเผาะ รองลงมา คือราวัง แต่ละเผ่ามีภาษาพูดและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แต่สามารถเข้าใจกันได้โดยใช้ภาษาจิ่งเผาะในการติดต่อสื่อสาร สำหรับภาษาเขียนนั้นมีขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2444 ซึ่งคิดค้น โดยมิชชันนารีชาวอเมริกันเชื้อสายสวีดิชชื่อโอลา อันเซ่น(0la Hansen) ประยุกต์ใช้ตัวอักษรโรมันแทนเสียงในภาษาคะฉิ่น สำหรับการนับถือศาสนานั้น ในอดีตชาวคะฉิ่นมีความเชื่อเรื่อง ผีและวิญญาณ แต่ด้วยอิทธิพลการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้ชาวคะฉิ่นเปลี่ยนมานับถือศาสนา คริสต์แทน
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แม้พม่าจะตกอยู่ใต้อาณานิคม ของอังกฤษ แต่อังกฤษได้เข้ามาปกครองรัฐคะฉิ่นแบบหลวมๆ โดยไม่ได้แทรกแซงการปกครองภายในรัฐคะฉิ่นแต่อย่างใด ชาว คะฉิ่นนับเป็นชนชาติที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติ ตนเองสูง และได้รับการศึกษาค่อนข้างดีเพราะมีโอกาสได้เรียน หนังสือจากโรงเรียนและวิทยาลัยของหมอสอนศาสนา นอกจากนี้ ชาวคะฉิ่นยังเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่มายาวนาน จึงมีความผูกพันกับ การปกครองตนเองมาโดยตลอด ในช่วงปี พ.ศ.2468 เจ้าฟ้าและ ผู้นำคะฉิ่นได้แสดงความจำนงต่อรัฐบาลอังกฤษที่จะขอเป็น เอกราชแต่ได้รับการปฎิเสธ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อชาวพม่าเริ่มเคลื่อน ไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษซึ่งนำโดยนายพลอองซาน ชาวคะฉิ่นก็ได้เข้าร่วมด้วยโดยมีข้อตกลงตามสนธิสัญญาปางโหลง ที่จะให้มีการรวมประเทศและการปกครองแบบสหภาพ โดยหาก ชาวคะฉิ่นอยู่ร่วมกับสหภาพครบ 10 ปี ชาวคะฉิ่นมีสิทธิแยกตัว ออกไปปกครองตนเอง แต่ผู้นำพม่ากลับเพิกเฉยสัญญาฉบับนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพม่าและคะฉิ่นขัดแย้งอย่างรุนแรงจน กลายเป็นสงครามกลางเมืองยาวนานหลายทศวรรษ
ช่วงทศวรรษ 1950 นักศึกษาและปัญญาชนคะฉิ่นที่ได้ รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งและมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ ได้ร่วมกันเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องเอกราชให้รัฐคะฉิ่น ต่อมานักศึกษากลุ่มนี้ได้พัฒนาเป็นกองกำลังรบอิสระ เรียกว่า องค์กรคะฉิ่นอิสระ(Kachin Independence Organization หรือ KIO)ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารจัดการด้านการเมือง และมีฝ่าย การทหาร(Kachin Independence Armyหรือ KIA) กองกำลัง ทหารคะฉิ่นอิสระได้ทำการสู้รบกับกองกำลังทหารรัฐบาลพม่า
มายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายจึงได้เจรจา หยุดยิงเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 เพื่อให้รัฐคะฉิ่น ได้รับการพัฒนาและประชาชนมีโอกาสในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ทว่า การเจรจาหยุดยิงที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ได้ทำให้ประชาชนชาวคะฉิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากนัก เพราะชาวคะฉิ่นยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร ของผู้นำพม่าซึ่งยังขาดสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตทุก ๆ ด้าน ทั้งสิทธิเสรีภาพในการทำมาหากิน โอกาสทางการศึกษาและการ พัฒนาปัจจัยการดำเนินชีวิตขั้นพื้นฐานที่จำเป็น
การอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของชาวคะฉิ่นซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ สงครามกลางเมืองจึงยังดำเนินต่อไป ปลายทางการอพยพของ พวกเขาคือประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสงบสุขรออยู่ และหนึ่งใน ปลายทางที่พวกเขาจะไปถึงได้ก็คือบนดอยสูงของประเทศไทย
จากรัฐคะฉิ่นสู่ถิ่นเชียงดาว
ณ บ้านใหม่สามัคคี(คะฉิ่น) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านคะฉิ่นเพียงแห่งเดียวใน ประเทศไทยที่มีชาวคะฉิ่นอาศัยอยู่รวมกันมากว่า 20 ปี แต่กว่า พวกเขาจะรวมตัวกันได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา ยาวนาน
ผู้นำฝ่ายวัฒนธรรมของหมู่บ้านคะฉิ่นเล่าให้ฟังว่า ชาว คะฉิ่นกลุ่มแรกที่เข้ามาในเมืองไทยเป็นทหารในประเทศพม่า ที่เข้ามาร่วมรบในสงครามปราบคอมมิวนิสต์สมัยก๊กมินตั๋ง เมื่อ สงครามสิ้นสุดลง พวกเขาไม่ได้กลับสู่ภูมิลำเนาที่รัฐคะฉิ่นแต่ ตัดสินใจอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแทน และแต่งงานกับ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ตามบริเวณเทือกเขาตามแนว ชายแดนไทย-พม่า ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย และ เชียงใหม่ การตั้งถิ่นฐานของชาวคะฉิ่นในประเทศไทยจึงเริ่มขึ้น ท่ามกลางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง
“พวกเราไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเป็นคนคะฉิ่นเพราะไม่มี ใครรู้จัก เนื่องจากประเทศไทยไม่มีชาวเขาเผ่าคะฉิ่น เราจึงบอก ว่าเป็นชาวเขาเผ่าอื่น ๆ และทำตัวให้กลมกลืนกับชุมชนชาวเขา ที่เราอาศัยอยู่ด้วย เช่น ชาวคะฉิ่นที่แต่งงานกับชาวลาหู่ อาข่า หรือกะเหรี่ยงก็จะทำตัวกลมกลืนกับชนเผ่านั้น ๆ ”
การปกปิดความเป็นชาติพันธุ์ของตนเองและการพยายาม ผสมกลมกลืนกับชนเผ่าท้องถิ่น ทำให้ชาวคะฉิ่นพลัดถิ่นต้อง เผชิญกับการสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นคนคะฉิ่นไปทีละน้อย โดยเฉพาะอัตลักษณ์ทางภาษาในหมู่เด็ก ๆ ที่เป็นลูกครึ่งระหว่าง พ่อหรือแม่คะฉิ่นกับชาวเขาในประเทศไทย เด็กเหล่านี้ไม่ สามารถพูดภาษาคะฉิ่นได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในชุมชนไม่มี ใครใช้ภาษานี้

การรวมตัวกันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2519 มีชาวคะฉิ่นเพียง 7 ครอบครัวเท่านั้นที่ตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน ที่หมู่บ้านปางมะเยา ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว โดยอาศัยรวมกับชาวลาหู่ แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิด ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวน จึงต้องอพยพ โยกย้ายมาตั้งชุมชนใหม่ในเขตพื้นที่โครงการหลวงหนองเขียว ซึ่งขณะนั้นโครงการหลวงเพิ่งเข้ามาตั้งได้เพียง 2 ปี
จากการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรตามเขตแนว ชายแดน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ในปี พ.ศ. 2527 พระองค์ท่านได้พระราชทานที่ดินให้ กับชาวคะฉิ่นเพื่อใช้เป็นที่ทำกินและอยู่อาศัย หมู่บ้านใหม่สามัคคี (คะฉิ่น)จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมี เจ้าหน้าที่โครงการหลวงคอยให้การดูแล ทั้งในด้านการพัฒนา หมู่บ้าน การส่งเสริมการเกษตรและชีวิตความเป็นอยู่
เมื่อชาวคะฉิ่นที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในเมืองไทย ทราบข่าวว่ามีหมู่บ้านคะฉิ่นตั้งขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจมาอยู่ รวมกันที่นี่มากขึ้น จำนวนครอบครัวชาวคะฉิ่นจากจุดเริ่มต้นเพียง 7 ครอบครัว จึงเพิ่มเป็น 70 ครอบครัว ปัจจุบันบ้านใหม่สามัคคี คะฉิ่น นอกจากชาวคะฉิ่นกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาบุกเบิกตั้งรกราก ในประเทศไทยแล้วยังมีชาวคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ในรัฐฉาน และรัฐ คะฉิ่นในประเทศพม่าเดินทางอพยพเข้ามาพึ่งพาญาติพี่น้อง คะฉิ่นในไทยมากขึ้นอีกด้วย
จากการพูดคุยกับชาวคะฉิ่นทั้งคนคะฉิ่นในรัฐฉานและ รัฐคะฉิ่นในพม่าที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยหลาย ๆ คนพวก เขาบอกว่าสาเหตุสำคัญที่ตัดสินใจอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยว่า เพราะถูกกดขี่จากระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหารใน หลายรูปแบบ อาทิ ถูกขูดรีดภาษี ถูกบังคับใช้แรงงาน ขาดโอกาส ในการศึกษา และขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ การแสดงออกทางวัฒนธรรมของตนเอง
“ถ้าที่โน่นไม่ลำบากก็คงไม่มีใครอยากเข้ามาอยู่ที่นี่หรอก เพราะที่โน่นยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ดินดีน้ำดี ปลูกอะไร ก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ลงแรงมากแต่ลงทุนน้อย ได้ผลผลิตดี แต่ปัญหา สำคัญก็คือพวกเราไม่มีอิสระในการดำรงชีวิตเท่าที่ควร และถูก กดขี่จากรัฐบาลทหาร”
บ้านใหม่สามัคคีหลังนี้จึงเป็นทั้งบ้านหลังแรกของเด็ก คะฉิ่นรุ่นใหม่ที่เกิดในไทย เป็นบ้านหลังที่สองของชาวคะฉิ่นใน พม่าที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยมานาน และเป็นที่พักพิงชั่วคราว ของชาวคะฉิ่นที่ได้รับความเดือดร้อนจากที่ต่าง ๆ
แม้ว่าชาวคะฉิ่นสามารถรวมตัวกันตั้งหมู่บ้านได้สำเร็จ แต่ยังมีปัญหาและสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาแก้ไข พัฒนาและรื้อฟื้น อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันของลูกหลานคะฉิ่น และการสร้างความภาคภูมิใจ ของความเป็นคนคะฉิ่น
ภาษา..เสามะหน่าวและการรื้อฟื้นวัฒนธรรม
ด้วยชาวคะฉิ่นที่อยู่ในเมืองไทยต้องอาศัยปะปนกับชนเผ่า อื่น ๆ มาเป็นเวลานาน และพวกเขานับเป็นคนส่วนน้อยใน ชุมชนเหล่านั้น ภาษาที่ใช้สื่อสารในหมู่บ้านจึงเป็นภาษาของชน เผ่าหลักในชุมชนนั้น ลูกหลานของชาวคะฉิ่นซึ่งเป็นลูกครึ่ง ระหว่างพ่อหรือแม่คะฉิ่นกับชนเผ่าอื่น จึงพูดภาษาคะฉิ่นไม่ได้ และนี่คือปัญหาใหญ่ท้าทายผู้นำคะฉิ่นที่ต้องการรื้อฟื้นและรักษา วัฒนธรรมคะฉิ่นให้สืบทอดถึงคนรุ่นลุกรุ่นหลานเพราะตราบใด ที่เด็ก ๆ พูดภาษาคะฉิ่นไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เข้าใจความเป็น ตัวตนของชาวคะฉิ่น
หนึ่งในผู้ริเริ่มการฟื้นฟูวัฒนธรรมคะฉิ่นให้กับเด็กใน หมู่บ้านเล่าว่า
“ตอนแรกพี่ต้องพูดทั้งสองภาษา ทั้งภาษาคะฉิ่นและ ภาษาชนเผ่าอื่นๆ เพื่อให้ทั้งแม่และเด็กเองเคยชิน ต่อมาก็เปิด สอนภาษาคะฉิ่นให้กับเด็ก ๆ ในช่วงปิดเทอม เราอยากให้เด็ก คะฉิ่นที่นี่พูดภาษาคะฉิ่นได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะให้ พวกเขาเปลี่ยนมาใช้ภาษาคะฉิ่นในการติดต่อสื่อสาร ตอนนี้มี ลูกหลานคะฉิ่นที่เกิดจากพ่อแม่คะฉิ่นมากขึ้น อาจเป็นเพราะเมื่อ ก่อนคงหากันไม่เจอ ถ้าเด็ก ๆ พูดภาษาคะฉิ่นได้ เขาก็จะรักใน ความเป็นคะฉิ่นมากขึ้น”
นอกจากกิจกรรมที่ชาวคะฉิ่นในบ้านใหม่สามัคคีได้ร่วม กันปลูกฝังเยาวชนคะฉิ่นแล้ว ชาวคะฉิ่นที่เข้าไปทำงานในตัว เมืองเชียงใหม่และบางส่วนที่ได้ตั้งรกรากที่นั่น ได้ร่วมกันจัด กิจกรรมและปลูกฝังให้เด็กคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองรู้จักและ เข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมคะฉิ่นมากขึ้นเช่นกัน
ทุกเช้าวันอาทิตย์ชาวคะฉิ่นในบ้านใหม่สามัคคีจะมารวมตัว กันที่โบสถ์ประจำหมู่บ้าน เช่นเดียวกับชาวคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ใน เมืองเชียงใหม่ได้มารวมตัวกันที่“โบสถ์คะฉิ่น” บริเวณหมู่บ้าน บ่อหิน อำเภอสันทราย เพื่อร่วมกันทำศาสนพิธีตามแบบศาสนา คริสต์ซึ่งชาวคะฉิ่นส่วนใหญ่นับถือ และร่วมกันฟังเทศน์เป็น ภาษาคะฉิ่น เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเด็กๆ เป็นการเปิดโอกาส ให้พี่น้องคะฉิ่นพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ ร่วมกัน หากพี่น้องชาวคะฉิ่นคนใดเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถปรึกษาหารือกันได้ สิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของชาวคะฉิ่น แนบแน่นขึ้นไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองหรืออยู่ในหมู่บ้าน
ก็ตาม

บริเวณลานหญ้าในหมู่บ้านใหม่สามัคคี(คะฉิ่น) เสา คอนกรีต 10 ต้นตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสนาม เสาแต่ละต้น ถูกวาดเป็นลวดลายทรงเลขาคณิตสีสันสดใส มุมด้านซ้าย ของฐานเสาทั้ง 10 ต้นเป็นรูปหัวนก ส่วนอีกมุมหนึ่งเป็นรูป หางนกลักษณะคล้ายนกเงือก บริเวณโคนเสากลมต้นที่สอง และแปดจะมีเสาลักษณะเว้า 2 ต้นพาดตัดกันทั้งสองข้าง ไม่ว่าชาวคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ในพม่าหรือในประเทศไทย เรียกเสานี้ว่า “เสามะหน่าว” หรือ “มะหน่าวซาดุง”เป็น สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวคะฉิ่น
เสามะหน่าวในบ้านใหม่สามัคคีได้ถูกสร้างขึ้นมาเหมือน กับเสามะหน่าวในรัฐคะฉิ่น โดยเสานี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสองปี ก่อนซึ่งนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แสดงความจงรักภักดีและ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานที่ดินให้กับชาวบ้านแล้ว เสามะหน่าวนี้ยังเป็น สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือร่วมใจของชาวคะฉิ่นที่ช่วยกันตั้ง หมู่บ้านคะฉิ่นขึ้นมา ทำให้ลูกหลานคะฉิ่นได้ภาคภูมิใจในความ เป็นคะฉิ่นของตน เพราะเมื่อก่อนเด็กคะฉิ่นจะมีความน้อยใจ อยู่ลึก ๆ ว่าตนเองเป็นคนกลุ่มน้อย ทั้งคนกลุ่มน้อยในหมู่คนไทย และคนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวเขาของไทย
เสามะหน่าวแต่ละต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเพศหญิง และเพศชาย ซึ่งบนหัวเสาโค้งกลมคล้ายลึงค์หมายถึงเสาเพศชาย ส่วนเสาที่มีลักษณะเว้าคล้ายพระจันทร์เสี้ยวหมายถึงเพศหญิง ซึ่งเป็นเสมือนพระมารดาของชนเผ่าคะฉิ่นที่ชื่อว่า “หนิ่ง กอนจะนูน” สีต่าง ๆ ที่ปรากฏบนเสาล้วนแล้วแต่มีความหมาย โดยสีแดงหมายถึงความกล้าหาญ สีขาวหมายถึงศาสนาและ จิตใจที่บริสุทธิ์ สีเขียวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ สีฟ้าหมาย ถึงความสวยงาม และสีเหลืองหมายถึงความอบอุ่น ความสุข และความสงบ ในส่วนของเสาที่ไขว้กันอยู่และเส้นลวดลาย บนตัวเสา เปรียบเสมือนการรวมตัวกันและความรื่นเริงปรีดาของ ชาวคะฉิ่น ฐานที่มีลักษณะคล้ายนกเงือกชาวคะฉิ่นเชื่อว่านกเงือก เป็นราชาของนก มีความอดทน รักเดียวใจเดียวและปกป้องผู้ที่ อ่อนแอกว่า ชาวคะฉิ่นจึงยกย่องเอานกเงือกเป็นสัญลักษณ์ ของการอยู่เป็นคู่
แม้ว่า ชาวบ้านได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณ ส่วนหนึ่งจากส่วนราชการในการสร้างเสามะหน่าวและบ้านคะฉิ่น จำลอง เพื่อให้หมู่บ้านคะฉิ่นกลายเป็นจุดขายสำหรับการ ท่องเที่ยวแล้ว แต่งบประมาณดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ ชาวคะฉิ่น จึงช่วยกันเรี่ยไรเงินจากชาวคะฉิ่นทั่วทุกสารทิศ เพื่อให้ความฝัน ที่จะเห็นเสามะหน่าว สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาว คะฉิ่นตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่บ้านเป็นความจริง
คุณมะก่ำผู้นำวัฒนธรรมของหมู่บ้านบอกว่า “พวกเรา ต้องเรี่ยไรเงินจากพี่น้องคะฉิ่นในหมู่บ้าน และจากพี่น้องชาวคะฉิ่น ที่อาศัยในพม่าและต่างประเทศเพื่อสร้างเสามะหน่าวและ บ้านคะฉิ่นจำลองขึ้นมา เราอยากให้คนไทยรู้จักคนคะฉิ่นมากขึ้น เพราะถ้าเขารู้จักพวกเรา เขาก็จะไม่มองพวกเราเป็นคนอื่น”
น้ำใจจากการบริจาคของพี่น้องชาวคะฉิ่นจากที่ต่างๆ ทำให้สัญลักษณ์ของความเป็นคะฉิ่นเป็นรูปธรรมขึ้น สิ่งนี้ แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าไม่ว่าชาวคะฉิ่นจะอยู่ที่ใดพวกเขา จะคอยช่วยเหลือกันตลอดเวลา เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขา เป็นญาติพี่น้องกันและความเป็นพี่น้องของเขาไม่มีพรมแดน มาปิดกั้น
หลายปีที่ผ่านมา ในช่วงปิดเทอม เด็กคะฉิ่นไม่ว่าจะอยู่ใน หมู่บ้านใหม่สามัคคีหรืออยู่ในตัวเมือง จะได้เรียนภาษาคะฉิ่นซึ่ง เป็นภาษาประจำเผ่าของตนเอง จนทุกวันนี้ ปัญหาด้านภาษาซึ่ง เคยเป็นอุปสรรคในการรื้อฟื้นวัฒนธรรมคะฉิ่นจึงเริ่มลดลง เพราะ เด็ก ๆ คะฉิ่นส่วนใหญ่ในหมู่บ้านสามารถพูดภาษาคะฉิ่นได้และ เริ่มใช้ภาษาคะฉิ่นในการติดต่อสื่อสารกันในหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้ บรรดาพ่อแม่เริ่มหมดห่วงว่าลูกของตนจะพูดภาษาคะฉิ่นไม่ได้อีกต่อไป
ทว่า ความพยายามในการรื้อฟื้นตัวตนคนคะฉิ่น ไม่ได้ยุติ ลงเพียงแค่การรื้อฟื้นภาษา แต่พวกเขายังมีความฝันอื่น ๆ ในการ ปลูกฝังความเป็นคะฉิ่นให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่อีกมากมาย โดยเฉพาะ นำเครื่องแต่งกายและประเพณีสำคัญของชาวคะฉิ่นออกมาแสดง ให้ลูกหลานคะฉิ่นและคนภายนอกได้เห็น จนลูกหลานคะฉิ่นเกิด ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง
เอนันและนิงมาย เด็กสาวชาวคะฉิ่นสองคนเล่าให้ พวกเราฟังว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมาเธอได้มีโอกาสไปเผยแพร่ วัฒนธรรมคะฉิ่นในงานมหกรรมชนเผ่าที่จ.เชียงราย มีคน จำนวนมากให้ความสนใจคอยซักถามตลอดว่าพวกเธอเป็นใคร มาจากไหนมีวัฒนธรรมอย่างไรบ้าง เมื่อปีที่ผ่านมาพวกเธอได้มี โอกาสแสดงวัฒนธรรมคะฉิ่นต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จ พระราชินีด้วย
หากเป็นเมื่อก่อนพวกเธอจะรู้สึกอายที่บอกใครว่าเธอเป็น คนคะฉิ่นเพราะเวลาบอกก็จะไม่มีใครรู้จัก บางคนถามซักไซร้ มากจนพวกเธอรำคาญ แต่มาตอนนี้พวกเธอไม่อายอีกต่อไป เพราะพวกเธอมีวัฒนธรรม มีภาษาคะฉิ่นเป็นของตนเอง มีพี่น้อง คะฉิ่นที่คอยช่วยเหลือกันมีความภาคภูมิใจในความเป็น คนคะฉิ่น ถึงแม้ว่าพวกเขายังมีปัญหาในเรื่องสัญชาติก็ตามที
ความหวังของชาวคะฉิ่นในเมืองไทย
ปัจจุบันชาวคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใหม่สามัคคี ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิงและคนสูงอายุ เนื่องจากเด็กวัยรุ่นได้ เข้าไปทำงานในเมือง ชาวคะฉิ่นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยจะปลูกพืชตามคำ แนะนำและการส่งเสริมของโครงการหลวง ไม่ว่าจะเป็นการ ปลูกข้าว แกลดิโอลัส เสาวรส แก้วมังกรและผักต่างๆ นอกจากนี้ ผู้หญิงในหมู่บ้านยังได้รับการสนับสนุนจากทหารในการจัดตั้ง กลุ่มทำตุ๊กตาและทอผ้าเพื่อสร้างอาชีพเสริมให้กับชาวบ้านด้วย
ส่วนคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่เรียนจบในระดับมัธยมแล้วจะ ไม่มีโอกาสเรียนต่อ และไม่ได้รับวุฒิการศึกษาเนื่องจากยังไม่ได้ รับสัญชาติไทย เมื่อเรียนจบพวกเขาจึงตัดสินใจเข้าไปทำงานใน เมือง ซึ่งตัวเลือกในการทำงานของพวกเขาก็มีไม่มากนัก งาน ส่วนใหญ่ที่ทำจึงเป็นเพียงงานรับจ้างคอยเสิร์ฟอาหาร เป็นแม่บ้าน ทำงานในอู่รถ ซึ่งได้ค่าจ้างเพียงวันละไม่กี่บาท และต่ำกว่าค่าจ้าง ที่คนไทยด้วยกันได้รับ
เส่ง หนุ่มคะฉิ่นคนหนึ่งพูดด้วยความน้อยใจกับสิ่งที่ เกิดขึ้นว่า “แน่นอนว่าชาวคะฉิ่นอย่างเราไม่มีสิทธิ์อะไร เปรียบ เทียบกับคนไทยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เงินเดือน ความเป็นอยู่ หรือการมีสิทธิ์เรียกร้องต่างๆ บางครั้งเรามีความ สามารถในการทำงานสูงกว่าคนไทยบางคน แต่เราเรียกร้องอะไร ไม่ได้เพราะเขารู้ว่าเราไม่มีทางที่จะไป การไม่มีบัตรก็เหมือนไม่มี สิทธิ์”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เขา ยังคงยืนยันที่จะทำงานในเมืองต่อไปเพราะคิดว่ารายได้ดีกว่า ทำงานในหมู่บ้าน
สำหรับชาวคะฉิ่นในหมู่บ้านบางส่วนไม่อยากเข้าไปทำงาน ในเมืองเพราะกลัวปัญหาเรื่องบัตรประชาชน บางคนเห็นว่าการ ทำงานในเมือง ชาวเขาส่วนใหญ่จะถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับ ความเป็นธรรมจากการทำงาน พวกเขาจึงตัดสินใจทำงาน ในหมู่บ้าน เพราะเชื่อว่าแม้จะไม่ร่ำรวยมากก็สามารถอยู่ได้ อย่างพอมีพอกิน หากเหนื่อยก็สามารถหยุดพักได้ไม่ต้องทำ ตามคำสั่งใคร และไม่มีใครบีบบังคับ
แม้ว่าโครงการของรัฐหลายโครงการได้เข้ามายกระดับ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นี่ให้ดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าสถานะภาพ ของชาวคะฉิ่นที่ถูกระบุไว้ในบัตรสีฟ้าว่า “ชาวคะฉิ่นไม่ใช่ชาว เขาในประเทศไทย” กลับลดสถานภาพของพวกเขาลง
“การที่พวกเราถูกระบุว่าไม่ใช่ชาวเขา เราก็จะมี สถานภาพเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีโอกาสโอนสัญชาติเป็นคนไทย ทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่ได้เรียกร้องให้กับ ตัวเอง เราพยายามเรียกร้องให้กับลูก ๆ ของเราที่เกิดที่นี่ซึ่ง พวกเขาควรมีสิทธิ์ในการได้สัญชาติไทย ถ้าพวกเราอยากได้ สัญชาติไทยโดยไม่คำนึงความเป็นคนคะฉิ่นก็คงจะโกหก เจ้าหน้าที่ไปนานแล้วว่าพวกเราเป็นคนเผ่าอื่นๆ แต่เราไม่อยาก ทำเช่นนั้น เพราะเราต้องการรักษาความเป็นคะฉิ่นเอาไว้ และถ้า ทำอย่างนั้น วันนี้ก็คงจะไม่มีคนคะฉิ่นในเมืองไทย ทุกวันนี้ เราอยากได้สัญชาติที่ระบุว่าเป็นเชื้อชาติคะฉิ่นแบบถูกต้องตาม กฎหมายโดยไม่ต้องโกหกเชื้อชาติตัวเองหรือยัดเงินให้กับ เจ้าหน้าที่”
สิ่งที่ชาวคะฉิ่นในหมู่บ้านกำลังกระทำกันอยู่ พวกเขา ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียวแต่พวกเขาคิดถึง ผลประโยชน์ที่ชาวคะฉิ่นทั้งหมดจะได้รับร่วมกัน ถ้าตอนนั้น ชาวคะฉิ่นทุกคนเห็นแก่ตัว หวังเพียงให้ตัวเองได้รับสัญชาติไทย ตอนนี้ชาวคะฉิ่นที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยก็อาจกลายเป็นชาวเขา เผ่าอื่นๆ ไปหมดแล้ว ด้วยความยืนหยัด ชาวคะฉิ่นรุ่นบุกเบิก ที่ระบุตัวเองชัดเจนว่าเป็นคนคะฉิ่น จึงทำให้คนไทยรู้จักชาว คะฉิ่นมากขึ้น
ความคาดหวังของชาวคะฉิ่นในหมู่บ้านใหม่สามัคคี ตอนนี้คือการรอคอยว่าสักวันหนึ่งลูกหลานของพวกเขาที่เกิด บนผืนแผ่นดินธงไตรรงค์แห่งนี้จะได้รับสัญชาติไทยสามารถพูด กับคนอื่นได้อย่างเต็มปาก และภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ และสิ่งต่าง ๆ ที่พ่อแม่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ปลูกฝังไว้ ถึงแม้ ชาวคะฉิ่นรุ่นพ่อแม่จะถูกประทับตราว่าไม่ใช่ชาวเขาในประเทศไทย แต่อย่างน้อย เด็ก ๆ ที่เกิดที่นี่ก็ควรได้รับการดูแลและมีสิทธิ เฉกเช่นเด็กไทยทั่วๆ ไป
บนเส้นทางจากดินแดนรัฐคะฉิ่น เทือกเขาเหนือสุด ของประเทศพม่าสู่ดอยสูงประเทศไทย ชนเผ่าคะฉิ่นจำนวน ไม่น้อยกำลังเดินทางเสาะหาปลายทางแห่งความฝันที่จะได้ อาศัยอยู่บนดินแดนที่สงบสุข ปราศจากสงคราม และได้มีโอกาส รักษาประเพณีวัฒนธรรมของคนคะฉิ่นเอาไว้ตราบจนชั่วลูก ชั่วหลาน แม้หลายคนฝันอยากให้ลูกหลานที่เกิดในประเทศ ไทยได้รับสิทธิขั้นพื้นฐาน ตราบเท่าที่ชีวิตเด็กคนหนึ่งควรจะมี แต่ยังมีอีกหลายคนที่ฝันอยากให้แผ่นดินคะฉิ่นบ้านเกิด พบกับ ความสงบสุขปราศจากการเข่นฆ่ากดขี่ข่มเหง เพราะหากวันนั้น มาถึงลูกหลานของชนเผ่าคะฉิ่นก็จะไม่ต้องพลัดพรากจาก ถิ่นฐานบ้านเกิดมาอาศัยเป็นผู้พลัดถิ่นบนแผ่นดินอื่นอีกต่อไป