ปฎิบัติการล่านักรบใด้ดิน ณ เรือนจำอินเส่ง

โดย ขิ่นหม่องโซ www.aappob.net

ณ ห้องหมายเลข 5 ห้องขังที่ 7 เรือนจำอินเส่ง ประเทศ พม่าปี พ.ศ. 2518

ในคืนหนาวเหน็บคืนหนึ่ง แม้ว่าพระจันทร์จะส่องแสง สว่างไสวอยู่ภายนอก แต่แสงจันทร์ก็ไม่อาจสาดแสงลอดผ่านกำแพงอิฐที่แน่นหนาเข้ามาถึงในห้องขังของเราได้ บริเวณพื้นห้อง จึงเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้าง ที่ห้องหมายเลข 5 แบ่งออกเป็นห้องขัง ย่อยขนาด 9 x 7 x 13 ฟุต จำนวน 22 ห้อง ช่องประตูลูกกรงเหล็กเป็นเพียงช่องทางเดียวที่ยอมให้อากาศและแสงสลัว ๆ ผ่านเข้ามาได้


ในแต่ละห้องขังจะมีนักโทษจองจำจำนวน 3 คนซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในสภาพร่างกายทรุดโทรมไม่ต่างกัน เพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมานานร่วม 4 เดือน อาหารของเราที่นี่คือข้าวหัก ปลาเน่าที่หนอนขึ้นแล้วกับน้ำซุปที่ โชยกลิ่นตุ ๆ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่พวกเราไม่เคยได้สัมผัสกับ แสงแดดอีกเลย ผิวพรรณแต่ละคนก็ซีดเซียวลงเรื่อย ๆ เมียวตานก็ไอค้อก ๆ แค้ก ๆ เพราะเป็นหวัด ทุนอองกอก็ ผอมแห้งลงทุกวัน ๆ ส่วนฉันเองก็แทบไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่คิด อยู่ในใจว่าเราต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแล้ว

ในขณะที่ความเงียบกำลังปกคลุมอยู่ทั่วห้องขัง ฉันก็ พูดขึ้นออกมาว่า “เราต้องพึ่งนักรบใต้ดินกันแล้วหละ”

ที่ห้องขังจะมีหนูอยู่เยอะมาก เราเรียกพวกมันว่า “นักรบใต้ดิน” ที่นี่พวกมันมีค่าพอ ๆ กับบุหรี่เลยทีเดียว ซึ่งเป็น สิ่งที่นับว่ามีค่าและหรูหรามากในคุกแห่งนี้ หนูสามารถนำไปแลก เป็นเงินสดมาได้ง่าย ๆ แต่เวลานี้มันกลายเป็นของหายาก ไปเสียแล้วเพราะกำลังเป็นที่ต้องการของทุกคน

พวกเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามซึ่งมีเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับอนุญาตให้มาหาเราได้ ที่นี่มีระบบความปลอดภัยที่สูงมาก ราวกับพวกเราเป็นคนสำคัญระดับวีไอพีเลยทีเดียว แต่ภายใต้พื้น ห้องขังจะเป็นที่อาศัยของพวกหนู โดยแต่ละห้องจะมีทางเข้า สำหรับหนูโดยเฉพาะ ในห้องของเราก็มีทางเข้าสำหรับหนู กว้าง ประมาณ 5 นิ้วอยู่ตรงมุมห้อง พวกมันจะไม่ออกมาเพ่นพ่าน ตอนกลางวัน และก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาที่จะทำให้เรารู้ว่า พวกมันอยู่ใต้พื้นห้องขัง แต่พอหลัง 3 ทุ่มไปแล้วซึ่งเป็นเวลาที่ ทั้งห้องขังเริ่มเงียบลงจึงถึงเวลาออกหาอาหารของพวกมัน พวกมันจะทำเสียงดังเวลาหาอาหารหรือไม่ก็เวลาที่กัดกันเอง พวกมันจะวิ่งข้ามเท้าเราไปมาโดยที่ไม่เคยสนใจใยดีพวกเราเลย แต่ก็มีบางครั้งที่มันแอบกัดนิ้วเรา หนูบางตัวตัวใหญ่มาก กะด้วยสายตาแล้วน่าจะหนักประมาณ 3 ปอนด์เห็นจะได้ ขนมัน หลุดหายไปเป็นหย่อม ๆ มันคงแก่เต็มทีแล้วแต่ก็ยังดูแข็งแรงอยู่

ช่วงนั้น(พ.ศ. 2518) ในประเทศพม่า นอกจากนายพล เนวินและพรรคพวกแล้วก็เห็นจะมีแต่พวกหนูนี่แหละ ที่มี อิสรภาพติดตัวมาตั้งแต่เกิด จะไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบ จะต่างกันก็ตรงที่นายพลเนวินกับพรรคพวกมักจะเดินทางไป ต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ แต่เจ้าหนูพวกนั้นกลับเลือกที่จะอยู่แต่ใน ห้องขัง สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งคือนายพลเนวินสามารถเลือก รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ พวกหนูก็สามารถเลือกกินข้าว บูด ๆ ที่พวกมันชอบได้เช่นกัน ทว่า อนาคตของพวกมันกำลังจะ พลิกผันไปในไม่ช้า

ตอนแรกพวกเราถกเถียงกันเรื่องอนาคตของพวกมันอยู่พักหนึ่ง ทุนอ่องบอกว่ามันโหดร้ายเกินไปและในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เขาคิดว่ามันเป็นการกระทำที่บาป ส่วนเมียวตานก็กลัวว่าพวกมัน จะเป็นโรค แต่พอฉันให้เหตุผลว่าที่เราทำก็เพื่อความอยู่รอด เท่านั้น เมียวตานก็เลยหันมาเข้าข้างฉัน ตามหลักประชาธิปไตย ที่ตัดสินจากเสียงส่วนใหญ่ แผนการดังกล่าวจึงได้รับการอนุมัติ ทันที ทีนี้เมื่อไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอของฉันแล้ว ฉันก็เริ่ม ดำเนินการตามแผนโดยการต่อรองกับผู้คุมกะกลางคืน ข้อตกลง มีอยู่ว่า เราจะส่งมอบหนูให้ผู้คุมในตอนเช้าก่อนที่เขาจะออกเวร และกลับเข้าเวรอีกครั้งในตอนกลางคืนพร้อมกับหนูทอดกรอบ จานเด็ด

ในคืนนั้น “ปฏิบัติการล่านักรบใต้ดิน” จึงเริ่มขึ้น อ่างเคลือบดินเผาที่ทุกคนจะได้รับแจกสำหรับใช้เป็นห้องน้ำ ส่วนตัวของพวกเราถูกทำความสะอาด เราหาเชือกยาวประมาณ 6 ฟุตมามัดเข้ากับปลายของแท่งไม้ยาว 6 นิ้ว หลังจากนั้น คว่ำอ่างเคลือบดินเผาลง แล้วเอียงเปิดปากอ่างขึ้นด้านหนึ่งเพื่อ นำแท่งไม้เข้าไปค้ำไว้สำหรับให้หนูวิ่งเข้าไปกินข้าวซึ่งโรยไว้เป็น เหยื่อล่ออยู่ด้านในของอ่างเคลือบ เรานำกับดักที่ทำกันอย่าง ง่ายๆ นี้ไปตั้งไว้ตรงปากทางเข้าของพวกมัน และเมื่อหนูวิ่งเข้ามา กินข้าวที่โรยไว้ด้านในเราก็จะดึงเชือกออก เจ้าหนูโชคร้ายตัวนั้น ก็จะถูกขังอยู่ข้างในทันที

เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้ว แต่ยังไม่มีหนูตัวไหน โชคร้ายมาติดกับพวกเราเลย ขณะที่พวกเราต่างเริ่มง่วงกันแล้ว แล้ว ในที่สุดเหยื่อรายแรกที่พวกเรารอคอยก็เข้ามาติดกับจนได้ มันพยายามดิ้นรนจะออกจากภาชนะที่ครอบมันไว้ แต่ฉันรีบ วิ่งไปเอาเท้าเหยียบบนภาชนะไม่ให้มันหนีไปได้ ทุนอ่องพยายามจับ หางมันอยู่ และเขาก็จับมันได้ เขาจับหางมันฟาดกับพื้นเราได้ยิน เสียงกระดูกสันหลังของมันที่กระทบกับพื้นซีเมนต์ดัง “กึก!...”

คืนนั้นเราจับได้ทั้งหมด 5 ตัวสำหรับเป็นอาหารเย็นมื้อ ใหญ่ในวันถัดไป ข่าวเรื่อง“ปฏิบัติการล่านักรบใต้ดิน”ของพวกเรา แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนในเรื่องรสชาตินั้น “เหนือคำ บรรยาย”จริงๆ หนูทอดกับพริกไทยและขิง ตรงซี่โครงจะอร่อย ที่สุดเพราะมันจะกรอบมาก เป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตของฉัน ที่เคยกินมาก็ว่าได้
“ไม่ได้โม้..!!”

เท่าที่รู้ เราจับ“นักรบใต้ดิน”ในคุกอินเส่งไปทั้งหมด น่าจะ เกิน 3,000 ตัว หนูได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้ มันได้นำพลังและความ กล้าหาญกลับคืนมาสู่พวกเราอีกครั้ง ฉันคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่ได้หนู พวกนั้นช่วยไว้ เพื่อน ๆ ที่ติดคุกด้วยกันหลายคนต้องเสียชีวิตไป เพราะขาดสารอาหาร ขอบคุณ“นักรบใต้ดิน”

ถึงแม้ว่าตอนนี้เวลาจะล่วงเลยไป 25 ปีแล้ว แต่ฉันก็ ไม่เคยลืมพวกมันเลย โดยเฉพาะตอนที่กินซี่โครงบาร์บีคิว เพราะฉะนั้นหากคุณรับประทานซี่โครงบาร์บีคิวอันแสนโอชะ ครั้งใด จงระลึกไว้เสมอว่ายังมีนักโทษที่น่าสงสารกำลังเคี้ยว ซี่โครงหนูทอดกรอบประทังชีวิตอยู่ภายในกรงเหล็กแคบ ๆ แล้วคุณจะรู้สึกว่านักโทษการเมืองในพม่าเหล่านั้นน่าเห็นใจ ขนาดไหน

“โอว...กลิ่นของซี่โครงทอดกับพริกไทยและขิงยังคงหอมกรุ่น อยู่ในห้วงคำนึงของฉันอยู่ทุกขณะ”


ประวัติผู้เขียน

ขิ่นหม่องโซ เกิดที่กรุงย่างกุ้งเมื่อปีพ.ศ. 2497 ถูกคุมขัง หลังจากเหตุการณ์เคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2517 เขาหันไปถีบสามล้อหาเงินเลี้ยงชีพ เพราะไม่ต้องการ ทำงานราชการ ต่อมาปีพ.ศ. 2521 ได้ทำงานเป็นช่างภาพ หนังสือพิมพ์ ภาพของเขาจำนวนมากปรากฏอยู่ตามหน้าปก นิตยสารพม่าชั้นนำอยู่หลายฉบับ

เขาได้เข้าร่วมในการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อปีพ.ศ.2531 และสนับสนุนนางอองซานซูจี จากนั้นได้ผลิต นิตยสารเกี่ยวกับภาพข่าววีดีทัศน์ฉบับแรกในประเทศพม่าเมื่อปี พ.ศ.2534 ในชื่อ“มอนิเตอร์”จนกระทั่งออกจากประเทศพม่าในปี พ.ศ.2536 ปัจจุบันทำงานที่สถานีวิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia) ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคม สื่อมวลชนพม่า (Burmese Media Association)