โดย อานไตย ไคข่ายฟ้า
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 47 ที่ผ่านมา สถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่และองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ร่วมกันจัดงาน “คอนเสิร์ตชนเผ่ารวมใจต้านภัยสังคม” บริเวณลานจอดรถหน้า สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการให้ชนเผ่าต่างๆ ได้เข้าใจถึงปัญหาภัยสังคมรวมทั้ง รู้จักหาวิธีป้องกัน
ในงานนี้ผู้จัดได้รวบรวมศิลปินนักร้องนักแสดงจากชนเผ่า ต่างๆ มากกว่า 100 คน จากชนเผ่า7 ชนเผ่า ประกอบด้วย ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง ลาหู่ ม้ง เมี่ยน(เย้า) ลีซู และอาข่า
มีผู้สนใจเข้าชมทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศ และชนเผ่าต่างๆ ที่เดินทางมาเข้าชมและให้กำลังใจนักร้องของเผ่าตัวเองกว่า 4,000 คน ในจำนวนนี้มีหลายชนเผ่าและหลายกลุ่มถึงกับเช่าเหมารถ มาจากชายแดนเพื่อชมคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ นอกจาก นั้นบางคนเข้าไปรอชมตั้งแต่เที่ยงวันเลยทีเดียว โดยคอนเสิร์ตได้ เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00น.-24.00น. และถ่ายทอดสดผ่านทางสถานี โทรทัศน์ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
เมื่อคอนเสิร์ตเริ่มขึ้น นักร้องนักแสดงของชนเผ่าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากฝั่งประเทศพม่าต่างสลับกัน ออกมาขับร้องบทเพลงด้วยภาษาของเผ่าตัวเอง พร้อมทั้งทักทาย ผู้ชมทำให้ผู้ชมโดยเฉพาะชนเผ่าต่างๆ ที่ต่างสวมชุดของเผ่า ตัวเองมาอวดโฉมในงานได้ส่งเสียงเชียร์นักร้องของตนอย่างกึกก้อง
เนื่องจากคอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ ต่อต้านภัยสังคม บรรดานักร้องจึงคัดสรรเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ปัญหาภัยสังคมและการชักชวนให้เผ่าตัวเองอย่าลืมวัฒนธรรม ดั้งเดิม รวมทั้งบทเพลงที่สอนให้รู้จักหลีกเลี่ยงจากภัยของสังคม อาทิเช่น เพลง “ภัยของยาเสพติด” ร้องโดยจายเจิงหาญ นักร้อง ไทยใหญ่ โดยจายเจิงหาญให้สัมภาษณ์ว่าแต่งเพลงนี้เพื่อนำมา ร้องในคอนเสิร์ตนี้โดยเฉพาะ ส่วนเพลงถัดไปได้แก่เพลง “อย่า ไปเลยเชียงใหม่-บางกอก” ร้องโดยตือโพ นักร้องชาวกะเหรี่ยง เพลง “สงสารคนติดเอดส์” ร้องโดยกองชาย นักร้อง อาข่า เพลง “กลับบ้านเราเถิด” ร้องโดยตอนลิ่น แซ่จ้าว นักร้องเมี่ยน เพลง “เพราะเหตุยาบ้า” ร้องโดยไหมเน่งท่อ นักร้องเผ่าม้ง เพลง “อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ร้องโดยอาซาผะ งัวผะ นักร้องเผ่าลีซู
และในช่วงที่กำลังมีการถ่ายทอดสด กลุ่มนักเรียนจาก ชนเผ่าต่างๆ ซึ่งมารวมตัวกันได้ออกมาถือป้ายเพื่อเรียกร้อง ให้รัฐบาลแก้ปัญหา เช่น ให้รัฐบาลโอนสัญชาติให้แก่เด็กที่เกิดใน ประเทศไทย ถึงแม้พ่อแม่ของเด็กจะไม่เป็นคนไทยก็ตาม รวมทั้ง ให้ทางรัฐบาลให้ความสำคัญแก่เด็กโดยให้สิทธิคุ้มครองเด็ก และ ให้เด็กที่เกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีสัญชาติไทยมีโอกาสศึกษา เท่าเทียมกับเด็กทั่วไป
อีกการแสดงหนึ่งที่น่าประทับใจไม่น้อยไปกว่าการแสดงอื่นๆ บนเวทีนั้นก็คือการแสดงละครสั้นของกลุ่มเยาวชนลาหู่ ซึ่งบทของ ละครเรื่องนี้สื่อความหมายถึงภัยการค้ามนุษย์ ที่เด็กบ้านนอกถูก หลอกเข้ามาทำงานในเมืองกรุงและถูกบังคับให้ค้าประเวณีจาก แม่เลี้ยง ทำเอาผู้ชมในงานบางคนถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเลยทีเดียว
ผู้ชมแสดงความเห็นต่อการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ว่า ประทับใจมาก และดีใจที่มีโอกาสได้เข้าชมคอนเสิร์ตนี้ แม้กระทั่ง นักแสดงจากหลายชนเผ่าต่างๆ หลายคนได้บอกเช่นกันว่า ตั้งแต่ เกิดมาเพิ่งจะได้สัมผัสกับงานรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก และต่าง บอกว่าตื่นเต้นมาก และพวกเขาได้เล่าให้ฟังอีกว่ามีการเตรียม การฟ้อนเพื่อที่จะมาแสดงในงานนี้กันเกือบเดือนเลยทีเดียว นอกจากนั้นคุณเกษร บุญมุน แม่ค้าขายน้ำในงานที่มาจากอำเภอ สารภี บอกว่าภูมิใจมากกับการที่มีโอกาสได้พบเห็นชนเผ่าต่างๆ มากมาย และได้ฟังเสียงเพลงรวมทั้งชมการแสดงที่หลากหลาย ในโอกาสเดียวกัน
หากมองดูแล้วการจัดคอนเสิร์ตในครั้งถือได้ว่าทางผู้จัด ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ดร.เชลดรอน เซฟเฟอร์ประธาน องค์การยูเนสโก ถึงกับออกมากล่าวภายหลังการจัดงานว่าจะจัด งานในรูปแบบนี้ต่อไปทุกปี จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและภูมิใจ กับความสำเร็จของคณะผู้จัดที่อุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยกันมานาน หลายเดือน และความสำเร็จที่ได้จากงานนี้คงไม่ใช่เพียงทำให้ สังคมชนเผ่าได้ตระหนักถึงพิษภัยของสังคม หากยังทำให้ชนเผ่า แต่ละชนเผ่าได้รู้จักเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของชนเผ่าอื่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ