โดย ธันวา สิริเมธี
อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนตัวนายกพม่าคนใหม่แทนพลเอกขิ่น ยุ้นต์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามด้วยคำสั่งยกเลิกหน่วยข่าวกรองซึ่งเคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกท่านนี้มาตลอดเวลา 20 ปี นับเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาไม่ใช่น้อย เพราะหน่วยข่าวกรองภายใต้การนำของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ ไม่ได้มีบทบาทเป็นแค่หน่วยงานเล็ก ๆ หน่วยงานหนึ่ง แต่มีทั้งอำนาจ ยศ ตำแหน่งสูงเทียบเท่ากับหนึ่งเหล่าทัพ จนเรียกได้ว่า ประเทศพม่ามี 4 เหล่าทัพ คือ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ และทัพข่าวกรอง การปลดพลเอกขิ่น ยุ้นต์พร้อมกับยกเลิกหน่วยข่าวกรองที่เขาเป็นผู้วางรากฐานมาตลอดเวลา 20 ปีจึงเรียกได้ว่าเป็นการล้างบางสายใยอำนาจของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ชนิดถอนรากถอนโคนกันเลยทีเดียว
หน่วยข่าวกรองยุคแรก
ประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1948 แต่เริ่มให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองอย่างจริงจังหลังจากนายพลเนวินขึ้นปกครองประเทศปี พ.ศ. 1962 มีเรื่องเล่าลือกันว่า บุคคลที่ทำให้นายพลเนวินเริ่มให้ความสำคัญต่องานข่าวกรอง คือ ผู้หญิงที่มีนามว่า “ขิ่น เหม่ ตาน” ภรรยาของเขานั่นเอง เธอผู้นี้ทำให้สามีสุดที่รักรอดพ้นจากการถูกปลดออกจากตำแหน่ง ผบ. สูงสุด และก้าวขึ้นเป็นผู้นำปกครองประเทศพม่าในเวลาต่อมา เนื่องจากเธอชอบคบค้าสมาคมกับกลุ่มแม่บ้านทหารและเก็บข้อมูลที่บรรดาแม่บ้านซุบซิบนินทาคนในแวดวงทหาร จนกระทั่ง เธอแอบได้ยินมาว่าอูนุ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นมีแผนจะปลดสามีของเธอออกจากตำแหน่ง ผบ. สูงสุด เนื่องจากนำเงินหลวงไปใช่จ่ายส่วนตัวมากเกินไป รวมทั้งเบี้ยวการประชุมเป็นประจำ และเธอได้ยินว่า หากสามีเธอเบี้ยงการประชุมครั้งหน้า ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองมิถิลา ที่ประชุมจะเตรียมลงมติปลดสามีของเธอ
นางขิ่น หม่อง ตาน รีบนำข่าวดังกล่าวมาเล่าให้สามีฟัง นายพลเนวินจึงไม่กล้าเบี้ยวการประชุมครั้งต่อไป และเขาก็ได้พบว่าข่าวที่ภรรยานำมาเล่าให้ฟังมีมูลความจริง โดยระหว่างนั่งเครื่องบินจากย่างกุ้งไปเมืองมิถิลา นายทหารที่โดยสารมาในเครื่องบินลำเดียวกันเล่าให้เขาฟังว่า นายอูนุวางแผนที่จะปลดเขาในวันนี้ หากเขาไม่มาประชุม ขณะนี้มีทหารบางส่วนไม่ชอบการทำงานของนายอูนุที่ผ่านมา และกำลังวางแผนยึดอำนาจจากนายอูนุ โดยต้องการให้เขาเป็นผู้นำในการก่อรัฐประหารครั้งนี้ เมื่อได้ฟังดังนั้น นายพลเนวินจึงเชื่อรีบตอบตกลงและวางแผนยึดอำนาจจากนายอูนุก่อนที่ตนเองเขาจะถูกนายอูนุเล่นงานในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2505
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้นายพลเนวินเริ่มให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองมากยิ่งขึ้น โดยมีนางขิ่น เหม่ ตาน ภรรยาและ สั่น ต่า วิน บุตรสาวช่วยสอดส่องข้อมูลและชักใยอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการสรรหาบุคคลขั้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ตัวอย่างที่ยืนยันในเรื่องนี้ คือ การผลักดันให้ ขิ่น ยุ้นต์ เพื่อนสนิทของ สั่น ต่า วิน ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแทนคนเก่าซึ่งถูกปลดหลังจากเหตุการณ์นายกเกาหลีใต้ถูกกลุ่มเกาหลีเหนือลอบวางระเบิดระหว่างการเยือนพม่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นายพลเนวินรู้สึกเสียหน้าและเร่งพัฒนาประสิทธิภาพหน่วยข่าวกรองใหม่ จนทำให้ชื่อเสียงของหน่วยข่าวกรองในยุคที่นายพลเนวินเป็นรัฐบาลได้รับการยกย่องว่ามีประสิทธิภาพเป็นอันดับสี่ของโลก และอันดับสองของเอเชียเลยทีเดียว
อำนาจและความขัดแย้ง
หลังจากนายพลเนวินเริ่มหันมาให้การสนับสนุนงานข่าวกรองจนทำให้ทหารในสายงานนี้มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ความขัดแย้งระหว่างทหารที่รบแนวหน้ากับทหารนั่งโต๊ะ (หน่วยข่าวกรอง) จึงเริ่มเกิดขึ้น และขยายตัวจนเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกเขม่นซึ่งกันและกัน นายพลเนวินต้องหาทางไกล่เกลี่ยด้วยการให้ทั้งสองฝ่ายมีความสามารถในงานทั้งสองด้าน โดยคนที่เคยสู้รบแนวหน้าก็ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศได้ คนที่นั่งออฟฟิศก็ต้องทำงานแนวหน้าได้ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสงบลงระยะหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นความไม่กินเส้นกันก็ยังคงเหลือเชื้อไฟอยู่ภายในและพร้อมจะขยายตัวจนถึงจุดระเบิดได้เสมอ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป
นับจากปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา กลุ่มทหารแนวหน้ากับทหารนั่งโต๊ะแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่าเริ่มมีการแข็งขันอย่างรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากนายพลเนวินใช้หน่วยข่าวกรองในการสอดส่องดูแลคุมกิจการของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะคอยสอดส่องพฤติกรรมนายทหารระดับสูงไม่ให้คอยโค่นล้มอำนาจของตน ทำให้ฝ่ายทหารแนวหน้าไม่พอใจ เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้าน เขม่นกันหนักขึ้น
แม้ว่านายพลเนวินต้องลงจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1988 แต่เขายังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการปกครองของประเทศมาหลังจากนั้นอีกเป็นเวลาหลายปี จนได้ชื่อว่าเป็น “รัฐบาลเงา” ของสภาทหารหรือสลอร์ค (SLORC ชื่อเดิมของ SPDC) ผู้ปกครองประเทศชุดใหม่ ดังเช่น การเสนอให้ยกบทบาทแผนกหน่วยข่าวกรองเป็นหน่วยงานที่มียศและตำแหน่งเท่าเทียมกับอีกสามเหล่าทัพ ทำให้ขิ่น ยุ้นต์ ซึ่งเป็นเสมือนลูกบุญธรรมของเขาขึ้นมามีตำแหน่งเทียบเท่ากับหม่อง เอ ผู้บัญชาการกองทัพบก อันเป็นจุดกำเนิดของความเกลียดชังลึก ๆ ในใจของหม่อง เอนับจากนั้นเป็นต้นมา และความเกลียดชังนี้ขยายตัวมากขึ้นตามอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ของหน่วยข่าวกรอง
ในยุคแรกของงานหน่วยข่าวกรอง หรือ MI (Military Intelligence) แบ่งหน่วยงานออกเป็น 27 หน่วยกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าสังเกต คือ แม้ว่าจำนวนหน่วยข่าวกรองทั้งหมดจะมีเพียง 27 หน่วย แต่หมายเลขของหน่วยข่าวกรองสุดท้ายกลับสิ้นสุดลงที่เลข 28 เนื่องจากผู้นำทหารถือว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคล ดังนั้น หน่วยข่าวกรองหมายเลข 13 จึงเว้นข้ามไปเป็นหมายเลข 14 แทน หากพิจารณาพื้นที่การกระจายกำลังหน่วยข่าวกรองทั้ง 27 หน่วยทั่วประเทศจะพบว่า ผู้นำพม่าให้ความสำคัญกับการจับตามองความเคลื่อนไหวในพื้นที่รัฐฉานมากที่สุด เห็นได้จาก ประเทศพม่าแบ่งออกเป็น 14 เขตใหญ่ จึงควรมีหน่วยข่าวกรองเฉลี่ยไม่เกิน 2 หน่วยต่อหนึ่งพื้นที่ แต่รัฐฉานกลับมีหน่วยข่าวกรองมากถึง 5 หน่วย ซึ่งในเวลาต่อมา หน่วยข่าวกรองจำนวนมากในรัฐฉานนี้เองที่กลายทั้งฐานอำนาจที่สำคัญของขิ่น ยุ้นต์ และเป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่การปลดเขาลงจากอำนาจเมื่อไม่นานมานี้
หน้าที่ของหน่วยข่าวกรอง คือ การหาข่าวทุกอย่างที่จะเป็นภัยต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งเล็งกลุ่มเจรจาหยุดยิง การดูแลความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ประชาชน กลุ่มชาวนา นักศึกษา ข้าราชการ รวมไปถึงในกองทัพและกรมตำรวจ การตรวจสอบข่าวดังกล่าวทำให้หน่วยข่าวกรองกลายเป็นผู้กุมความลับของประเทศ และกลายเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจและอิทธิพล ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงกระทรวงต่าง ๆ ของคณะรัฐบาล
ตัวอย่างเช่น สภานโยบายการพาณิชย์ (Commerce Policy Council) ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตการส่งสินค้าเข้าออก เช่น น้ำมันปาล์ม หรือ รถยนต์นำเข้าจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย รวมไปถึงการขอจดทะเบียนติดตั้งบริษัทต่าง ๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยข่าวกรองก่อนออกใบอนุญาตเหล่านี้ ขณะเดียวกันหน่วยข่าวกรองมีอำนาจโดยตรงในการขอใบอนุญาตจากสภาแห่งนี้ได้ทันที นั่นหมายความว่า หน่วยข่าวกรองมีอำนาจสูงกว่าสภานโยบายการพาณิชย์ซึ่งควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองภายใต้การควบคุมของพลเอก ขิ่น ยุ้นต์ ยังมีบทบาทควบคุมกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เจรจาหยุดยิง โดยเป็นผู้อนุญาตให้ผู้นำกลุ่มเจรจาหยุดยิงต่าง ๆ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และส่งส่วยผลประโยชน์ให้กับสภาทหารเป็นจำนวนไม่น้อย ผลงานของหน่วยข่าวกรองยังรวมไปถึงการวางนโยบายความสัมพันธ์ต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา พลเอกขิ่น ยุ้นต์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการลดแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและสมาชิกอาเซียนได้เป็นอย่างดี
นอกจากหน่วยข่าวกรองจะกระจายฐานอำนาจของตนไปทั่วประเทศแล้ว ในปี ค.ศ. 1994 นายทหารสายวิชาการได้ก่อตั้งสำนักงานการศึกษายุทธศาสตร์ หรือ OSS (Office of Stategic Study) ขึ้นมา เพื่อรวางนโยบายในการบริหารประเทศทุกด้าน หน่วยงานนี้ได้กลายเป็นขุมอำนาจที่สำคัญของหน่วยข่าวกรองและมีบทบาทสำคัญในการบริหารประเทศมากที่สุด รวมทั้งเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ความไม่กินเส้นระหว่างหม่องเอและขิ่น ยุ้นต์บานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากตอนแรกหน่วยงานนี้อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีพลเอกตาน ฉ่วย และพลเอกหม่อง เอ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ภายหลังจากปี 2002 พลเอกขิ่น ยุ้นต์ได้นำ OSS มารวมกับ MI ซึ่งมีฐานกำลังกระจายไปทั่วประเทศและตั้งชื่อใหม่ว่า Office of Military Intelligence Chief หรือ OMIC หน่วยงานนี้ได้ตัดขาดจากการควบคุมกระทรวงกลาโหม และแยกการดำเนินงานต่างหากภายใต้การควบคุมของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ ผู้มีอำนาจสั่งการพลเอกขิ่น ยุ้นต์จึงเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ พลเอกตาน ฉ่วย
ด้วยเหตุนี้ หากพลเอกหม่อง เอ จะกำจัดพลเอกขิ่น ยุ้นต์ให้พ้นทาง เขาจะต้องทำให้พลเอกตาน ฉ่วย ไม่พอใจพลเอกขิ่น ยุ้นต์มากขึ้นและส่งสัญญาณไฟเขียวให้เขากำจัดศัตรูให้พ้นทาง แต่ดูนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากพลเอกขิ่น ยุ้นต์ไม่ค่อยเปิดช่องโหว่ให้กับเขามากนัก แถมยังทำงานหนักจนเรียกว่าเป็น “workaholic”หรือพวกบ้างาน เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ตรงกันข้ามกับเขาซึ่งชอบกินเหล้าหัวราน้ำ ซ้ำร้ายยังป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ทว่า...ในที่สุด สิ่งที่เขารอคอยก็มาถึง
ล้างบางขุมอำนาจขิ่น ยุ้นต์
หากพิจารณาบทเรียนจากอดีตจะพบว่า ในหมู่ผู้นำพม่ามักมีความขัดแย้งซ่อนอยู่ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องคอยหาข้อมูลของกันและกันอยู่เสมอ หากคู่อริหรือศัตรูเริ่มเพลี่ยงพล้ำเมื่อใดจะต้องรีบเผด็จศึกทันที เพราะไม่เช่นนั้น อาจเป็นฝ่ายถูกเผด็จศึกแทน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปี 1983 นายพลเนวินสั่งปลดอธิบดีหน่วยข่าวกรอง พล.จัตวาติ่น อู เพราะได้ข่าวว่าเขาเริ่มมีอำนาจในสายงานข่าวกรองมากเกินไปจนได้รับฉายาว่า “หมายเลขหนึ่งครึ่ง” ซึ่งขณะนั้น นายพลเนวินได้รับฉายา “หมายเลขหนึ่ง” เพื่อป้องกันไม่ให้ “หมายเลขหนึ่งครึ่ง” เลื่อนตำแหน่งเป็น “หมายเลขหนึ่ง” นายพลเนวินจึงต้องเร่งเผด็จศึกสั่งปลดพลจัตวาติ่น อู พร้อมกับนายทหารในสายงานนี้ตั้งแต่ยศพันเอกขึ้นไปทั้งหมด
เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์สั่งปลดพลเอกขิ่น ยุ้นต์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมาและตามด้วยการสั่งยกเลือกหน่วยข่าวกรองทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเสมือนแขนขาของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ โดยมีเจ้าหน้าที่ถูกจับกุมทั้งหมดกว่า 180 คน ซึ่งล้วนแต่มียศตำแหน่งสูง ๆ ทั้งสิ้น
ชนวนอันนำไปสู่การล้างบางขุมอำนาจของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ครั้งนี้ เริ่มจากความไม่พอใจในอำนาจและอิทธิพลของหน่วยข่าวกรองซึ่งเพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ว่ากันว่า นายทหารรุ่นใหม่ต่างพยายามสอบเข้าทำงานในสายงานข่าวกรอง เพราะนอกจากตำแหน่งหน้าที่การงานจะมีอำนาจเหนือหน่วยงานอื่นแล้ว โอกาสในการร่ำรวยทั้งจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว และการสร้างรายได้พิเศษยังมีมากกว่าหน่วยงานอื่น ๆ ดังเช่น การขอใบอนุญาตนำเข้าส่งออกสินค้า ซึ่งหน่วยข่าวกรองมีอำนาจโดยตรง ใครได้ทำงานในหน่วยข่าวกรองก็เหมือนกับได้ทำธุรกิจขอใบอนุญาตเหล่านี้ไปด้วยในตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศจึงมีธุรกิจส่วนตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาบ อบ นวด โรงแรม คาราโอเกะ รวมไปถึงธุรกิจตลอดชายแดนและธุรกิจระหว่างประเทศ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ บริษัทบากันไซเบอร์เทคของนาย เย หน่าย วิน บุตรชายคนเล็กของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ บริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทานขยายเครือข่ายการติดตั้งระบบโทรคมนาคมทั่วประเทศพม่า รวมทั้งได้รับการเซ็นสัญญาข้ามประเทศกับบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของไทย เครือข่ายธุรกิจเหล่านี้ได้แผ่ขยายอาณาจักรไปทั่วประเทศจนคล้ายกับเป็น “รัฐบาลที่มองไม่เห็น” ของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ ซึ่งหากพลเอกตาน ฉ่วย และพลเอกหม่อง เอ ยังคงนิ่งเฉยต่อไป โอกาสที่ “รัฐบาลที่มองไม่เห็น” จะกลายเป็น “รัฐบาลที่จับต้องได้” ก็จะกลายเป็นความจริง ดังนั้น การเผด็จศึกพลเอกขิ่น ยุ้นต์จึงเกิดขึ้น
การเผด็จศึกครั้งนี้เริ่มจากการจับกุมเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจำนวน 70 คนบริเวณชายแดนอำเภอหมู่เจ้ รัฐฉาน ติดกับมลฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นขุมอำนาจและขุมทรัพย์ที่สำคัญของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ เนื่องจากเขามีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้นำชนกลุ่มน้อยในบริเวณนี้และผู้นำจีน พลเอกหม่องเอได้ส่งกองกำลังเข้าจับกุมและยึดทรัพย์ในสำนักงานหน่วยข่าวกรอง และพบทองคำและทรัพย์สินซุกซ่อนไว้จำนวนมาก และจากนั้นจึงส่งกำลังปิดล้อมสำนักงานหน่วยข่าวกรองในกรุงย่างกุ้ง และควบคุมตัวพลเอกขิ่น ยุ้นต์ ระหว่างรอเดินทางกลับจากกรุงมัณฑเลย์สู่กรุงย่างกุ้ง ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครพบตัวพลเอกขิ่น ยุ้นต์ว่าถูกควบคุมไว้ที่ใด โดยคาดกันว่า ถูกควบคุมไว้ในบ้านพักกลางกรุงย่างกุ้ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนางอองซานซูจี
สำหรับบุตรชายนาย เย หน่าย วิน เจ้าของบริษัทบากันไซเบอร์เทค มีข่าวว่าถูกจับตัวเข้าคุกและได้รับคำตัดสินใจลงโทษจำคุกหลายสิบปี ส่วนบริษัทของเขา ขณะนี้ยังเปิดดำเนินการต่อไป แต่อยู่ภายใต้การบริหารงานโดยกองทัพพม่า ซี่งมีพลเอกหม่องเอเป็นผู้บังคับบัญชา
ล่าสุด หน่วยงานที่ถูกยุบ คือ National Intelligence Bureau (NIB) ซึ่งมีหน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาประกอบด้วย หน่วยข่าวกรอง หน่วยตำรวจพิเศษ และสำนักงานสืบสวนสอบสวน ส่วนหน่วยงานอื่น ๆ ภายใต้ OMIC ซึ่งเป็นรวมหน่วยงานด้านข่าวกรองทุกหน่วยถูกย้ายไปอยู่ใต้สังกัดกองทัพพม่า โดยผู้คุมแผนกทั้งหมด 7 ของ OMIC จำนวน 5 คน ถูกจับซังเต ยกเว้นเพียงสองคนที่รอด คือ พลจัตวาจ่อ เตง และพลจัตวาเตง ส่วย บิดาของหุ้นส่วนหนังสือพิมพ์เมียนมาร์ไทม์ ซึ่งได้ทำการเกษียณตัวเองก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์โดยอ้างว่าเป็นโรค amnesia
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่จาก OCMI สองนายที่ถูกศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว คือ พลจัตวาตาน ทุน หัวหน้าหน่วยต่อต้านงานสืบราชการลับและการเมือง ถูกตัดสินใจจำคุก 21 ปี และพลจัตวามิ้น ซอ หัวหน้างานข่าวกรองและความมั่นคงชายแดน (หรือมีชื่อเรียกเป็นภาษาพม่าว่า “นะ ซะ คะ”) ถูกตัดสินใจจำคุก 40 ปี นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ของ OCMI อีก 186 นาย และมีข่าวว่าหมอดูประจำตัวของพลเอกขิ่น ยุ้นต์ก็ถูกส่งเข้าคุกเช่นเดียวกัน
ล่าสุดมีรายงานจากกรุงย่างกุ้งกล่าวว่าพลตรีมิ้น ส่วย ผู้บังคับบัญชาของกองบัญชาการทหารประจำกรุงย่างกุ้ง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวพลเอกตานฉ่วย และเป็นผู้นำปฏิบัติการจับกุมพลเอกขิ่น ยุ้นต์ อาจได้รับตำแหน่งผู้นำหน่วยข่าวกรองคนใหม่ภายใต้การดำเนินงานของกองทัพ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า โครงสร้างของงานข่าวกรองที่จะเกิดขึ้นใหม่มีหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้ คือ พลเอกหม่องเอ และพลโทโซ วิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้ควบคุมหน่วยข่าวกรองใหม่ โดยมีพลเอกตานฉ่วยเป็นผู้มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุด
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า พลตรีจ่อ วิน รองผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองเดิม อาจได้รับตำแหน่งใหญ่ในอนาคต เพราะเขาเป็นนายทหารระดับสูงของหน่วยข่าวกรองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกจับและถูกลงโทษ ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่า เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการรวบรวมข้อมูลหน่วยข่าวกรองและความเคลื่อนไหวของขิ่นยุ้นต์ และรายงานให้กับพลเอกตาน ฉ่วย จนการเผด็จศึกพลเอกขิ่น ยุ้นต์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
กล่าวกันว่า พลตรีจ่อ วิน เป็นเสมือนลูกบุญธรรมที่พลเอกตาน ฉ่วยปั้นขึ้นมาให้เป็นดาวดวงใหม่แทนที่เขาก่อนจะลงจากอำนาจตามวัยอันร่วงโรย เช่นเดียวกับที่นายพลเนวินเคยปั้นพลเอกขิ่น ยุ้นต์ ขึ้นมาสานต่อสายใยแห่งอำนาจก่อนลงจากบัลลังค์
ด้วยเหตุนี้ การปลดพลเอกขิ่น ยุ้นต์และยุบหน่วยข่าวกรองครั้งนี้อาจไม่ได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในประเทศพม่า เพราะอาจเป็นเพียงแค่ “การผลัดแผ่นดิน” ของจากเผด็จการคนเก่าสู่เผด็จการคนใหม่เท่านั้นเอง