เล่าสู่กันฟัง : เหตุเพราะไม่มีใบอนุญาตทำงาน

เรื่องเล่าจากผู้อ่าน

เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านที่ชายแดนไทย - พม่า ประมาณต้นเดือนกันยายน 2548 ผู้คนส่วนใหญ่พากันไปไร่ไปสวน บ้างก็ไปรับจ้างในสวนส้ม เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านเป็นสวนส้มของนายทุน มีแรงงานหลักเป็นชาวไทยใหญ่ สวนส้มใหญ่แต่ละแห่งมีแรงงานประมาณ 200 - 300 คน ทุกคนต่างใจดีที่ได้มีงานทำแม้ตนเองจะไม่สามารถเลือกงานได้

คนงานคนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า แม้จะทำงานหนักกว่าตอนที่อยู่ในรัฐฉาน แต่ที่ในสวนที่เรามาทำงานก็นอนหลับสบาย ไม่ต้องกลัวทหารพม่าจะมาจับไปเป็นลูกหาบ ไม่ต้องกลัวว่าลูกหลานจะถูกจับไปเป็นทหาร จึงไม่แปลกที่หมู่บ้านติดชายแดนแห่งนี้มีแรงงานชาวไทยใหญ่พากันเข้ามาทำงาน และยิ่งเมื่อรัฐบาลเปิดโอกาสให้มีการทำใบอนุญาตทำงาน แรงงานที่อยู่ในสวนจะถูกบังคับให้ทำ มิเช่นนั้นจะไม่ให้ทำงานในสวน แต่สำหรับชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไม่นิยมทำใบอนุญาต เพราะมีการจ้างงานที่ไม่แน่นอน เมื่อเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวก็จะมีการจ้างชาวบ้านเป็นครั้งเป็นคราว เช่นเดียวกับนายหม่องเพราะไม่ได้รับจ้างอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่ได้รับจ้าง เขาก็ไปเก็บผัก หาปูหาปลามาเลี้ยงแม่ ส่วนพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร จะมีก็แค่จักรยานยนต์ คันเก่าที่ผมเห็นแกขี่ไปซ่อมอยู่บ่อย ๆ


วันหนึ่ง หลังจากกลับจากการทำงาน ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่านายหม่องถูกตำรวจจับไประหว่างที่ขี่จักรยานยนต์ไปซื้อเบ็ดที่อำเภอฝาง เขาถูกตั้งข้อหาว่าไม่มีใบอนุญาตทำงาน ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงบัตรสำรวจชุมชนบนพื้นที่สูงสีเขียวขอบแดงมาโดยตลอดก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนมาถึงคราวนี้ถูกตำรวจจับเพราะไม่มีใบอนุญาตทำงาน เขาถูกฟ้องศาลและถูกจำคุกอยู่ที่อำเภอฝางอยู่ประมาณเดือนครึ่งก็ถูกส่งตัวไปให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองอำเภอฝางปล่อยตัว นายหม่องถูกส่งตัวไปปล่อยที่ด่านกิ่วผาวอก บ้านอรุโณทัย ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว

นายหม่องไม่รู้จะไปทางไหนจึงออกเดินเท้าจากด่านมาที่บ้านปุ่งป่าแขมต่อมาถึงบ้านนากองมู จากนั้นก็ร่วมเดินทางมาที่ชายแดนไทยกับคนอื่น ๆ ที่นายหม่องพอจะรู้จัก รวมกันแล้วทั้งนายหม่องมี 4 คนด้วยกัน มาถึงที่ชายแดน ผ่านด่านทหารว้าแล้วเดินทางต่อจนกระทั่งเวลาประมาณ 16 นาฬิกาก็มาถึงที่ชายแดนไทย กำลังทหารม้าลาดตระเวนชุดหนึ่งกดระเบิดเครโมใส่ ทำให้นายหม่องและเพื่อนจำนวน 3 คนเสียชีวิตทันที ส่วนอีกคนหนึ่งที่เดินช้ากว่าได้รับบาดเจ็บที่แขนแล้ววิ่งหนีกลับไปฝั่งพม่าเพื่อโทรศัพท์บอกให้ญาติที่อยู่ฝั่งไทยทราบ ทางญาติจึงได้แจ้งไปยังทางอำเภอฝาง ทางอำเภอได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถามทหารที่ฐานปฏิบัติการปางตองก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 13 นาฬิกา ทหารได้ลาดตระเวนมาพบกับคาราวานขนยาเสพติด โดยกลุ่มคนร้ายได้ยิงต่อสู่ก่อน เจ้าหน้าที่จึงได้ยิงโต้ตอบจนฝ่ายที่เหลือหนีถอยไป เห็นอาวุธและกระเป๋าวางเกลื่อนกลาด แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย จนถึงวันรุ่งขึ้นได้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ ไม่พบของกลาง พบเพียงลูกระเบิด 2 ลูกกับเป้ใส่ของที่มีเสื้อผ้าสบู่และของใช้ส่วนตัว คาดว่าพวกที่หนีไปจะย้อนกลับมาเอาอาวุธและของกลางไป นี่คือคำให้การของเจ้าหน้าที่ทหารชุดดังกล่าว ซึ่งขัดแย้งกับคำบอกเล่าของผู้ที่โทรศัพท์มาเล่าให้ญาติที่อยู่ฝั่งไทยฟัง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงได้ดีไปกว่าทหารชุดลาดตระเวนชุดนั้นและผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ แต่มีข้อที่น่าสงสัยอยู่สองสามอย่างคือ ทำไมคาราวานยาเสพติดถึงใส่รองเท้าแตะและสวมชุดชาวบ้านทั่วไป ทำไมเมื่อเกิดการต่อสู้แล้วเห็นของกลางว่ามีอาวุธปืน กระเป๋าเป้ที่สงสัยว่าจะเป็นยาเสพติด แล้วไม่ไปยึดทั้งที่เวลาที่ปะทะกันนั้นแค่ 16 นาฬิกา แดดยังสูงอยู่ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะมืด และสุดท้ายทำไมเมื่อคนร้ายยิงต่อสู้ เจ้าหน้าทำไมไม่เห็นปลอกกระสุนของคนร้ายสักนัดเดียว หรือว่าคนร้ายที่เหลือนั้นแอบมาย่องเก็บไปในตอนกลางคืน

ชีวิตสามชีวิตที่มาตายอย่างคลุมเครือโดยเฉพาะนายหม่อง ใครจะหาเลี้ยงแม่เขา ชีวิตนายหม่องคงมีความสุขหากวันนี้เขาได้มาพบแม่ หาเลี้ยงเขาตามมีตามเกิด ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้ตัดบทว่าใครถูกใครผิด ตำรวจก็ทำตามนโยบายปราบปรามแรงงานต่างด้าว ทหารก็ทนลำบากห่างไกลครอบครัวเพื่อเฝ้ากับยาเสพติดไม่ให้ทะลักเข้าสู่ประเทศและลูกหลานเรา ส่วนนายหม่องก็หาเลี้ยงชีวิตตนเองและแม่ ก็คงจะต้องคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรม ใครทำกรรมดีก็ได้ดี ใครทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว และขอภาวนาให้อย่าเกิดเหตุการณ์น่าสะเทือนใจเช่นนี้ ในหมู่บ้านของผมอีกเลย