กรณีพิสูจน์สัญชาติของชาวแม่อาย

โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร


ความนำ

ใสแดง แก้วธรรมเป็นหนึ่งในชาวบ้านแม่อาย 1,243 คน ที่ถูกถอนชื่อออกจาก ทร.14 โดยประกาศของอำเภอแม่อายเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2545 แต่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2548 เพื่อเพิกถอนประกาศการถอนชื่อของอำเภอแม่อายฉบับดังกล่าว และการเพิกถอนนี้มีผลทำให้อำเภอแม่อายมีหน้าที่ที่จะต้องนำเอาชื่อของชาวบ้านแม่อายทั้ง 1,243 คน กลับเข้าสู่ ทร.14 และยอมรับให้มีสถานะของคนสัญชาติไทย ดังที่ได้รับการยอมรับก่อนที่จะถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎรเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2545 ทั้งนี้ จนกว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า การพิสูจน์สัญชาติไทยของชาวบ้านแม่อาย 1,243 คนก่อนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2545 นั้น เป็นไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายสัญชาติ

ปัญหาในวันนี้ของใสแดงและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 1,242 คน ก็คือ พวกเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อที่จะพิสูจน์ได้ว่า พวกเขามีสัญชาติไทยโดยการเกิด ?


ใสแดงอาจได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตหรือไม่ ?

โดยหลักกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ ใสแดงอาจได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาหากพิสูจน์ได้ว่า พ่อหน่อมีสัญชาติไทย หรือใสแดงอาจได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาหากพิสูจน์ได้ว่าแม่แอมีสัญชาติไทย ดังนั้น เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าใสแดงมีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต ก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบิดาหรือมารดาของใสแดงมีสัญชาติไทยในขณะที่ใสแดงเกิดหรือไม่ ?

ฟังข้อเท็จจริงของใสแดงได้ว่า พ่อหน่อเกิดที่ดอยลางใน พ.ศ. 2474 ในขณะที่แม่แอก็เกิดที่ดอยลางในปี พ.ศ. 2478 บรรพบุรุษของทั้งสองคนก็อาศัยอยู่ที่เขตดอยลาง ซึ่งก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ในฝั่งไทย แต่ก็ประชิดติดแดนกับสบยอน ดอยลางได้รับการยอมรับตลอดมาว่า เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น โดยข้อกฎหมายสาระบัญญัติ อย่างน้อยก็สรุปได้ว่า พ่อหน่อและแม่แอได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดน โดยผลของมาตรา 3 (3) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2456 อย่างแน่นอน

นอกจากนั้น หากเราฟังว่า คนเชื้อชาติไทยใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทยเป็นคนไทยดั้งเดิม เราก็น่าจะสันนิษฐานให้เป็นคุณได้ว่า บรรพบุรุษของพ่อหน่อและแม่แอเป็นคนสัญชาติไทยโดยมูลนิติธรรมประเพณี สันนิษฐานได้ว่า ปู่ย่าตายายของพ่อหน่อและแม่แอน่าจะเกิดก่อน พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ซึ่งเป็นกฎหมายสัญชาติที่เป็นลายลักษณ์อักษรของประเทศไทย หากเราเข้าใจในความเป็นมาของประวัติศาสตร์กฎหมายสัญชาติไทย เราก็คงจะฟังได้ว่า ทั้งพ่อหน่อและแม่แอได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาและมารดา โดยผลของมาตรา 3 (1) และ (3)แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 อีกด้วย

เหลือเพียงว่า ใสแดงจะหยิบยกพยานหลักฐานใดมาชี้ว่า พ่อหน่อและแม่แอเกิดที่ดอยลาง? และชี้ว่าบรรพบุรุษของบุคคลทั้งสองเป็นคนเชื้อสายไทยใหญ่ที่อาศัยตามแนวชายแดนไทยมาตั้งแต่ก่อนที่รัชกาลที่ 6 จะประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2456ใสแดงคงไม่อาจหาสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิดของพ่อหน่อและแม่แอมาเป็นพยานเอกสารที่น่าเชื่อถือได้ ทั้งนี้ ก็เพราะบิดาและมารดาของเขาเกิดในยุคที่ยังไม่มีโรงพยาบาลตามแนวชายแดน นอกจากนั้น พ่อหน่อและแม่แอยังเกิดก่อนที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรทั่วไป อันได้แก่ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499 จึงยังไม่มีอำเภอในพื้นที่ในวันที่พ่อหน่อและแม่แอเกิด การถามหาสูติบัตรจากพ่อหน่อและแม่แอ จึงเป็นการตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ซึ่งไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมายที่อำเภอแม่อายจะเชื่อแต่พยานเอกสารที่บุคคลในสถานการณ์อย่างพ่อหน่อและแม่แอไม่อาจมี พยานบุคคลจึงเป็นพยานที่อำเภอจะต้องรับฟัง พยานบุคคลในที่นี้ก็อาจเป็นบุคคลที่รู้จักพ่อหน่อและแม่แอในวัยเด็ก รวมถึงพยานผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่ศึกษาความเป็นมาของชุมชนตามแนวชายแดนไทย - พม่า ซึ่งสามารถที่จะวิเคราะห์ถึงชุมชนดอยลางในราว พ.ศ.2474 - 2478

ในยามหนุ่ม พ่อหน่อกับแม่แอก็ไปค้าขายที่สบยอนบ้าง แก่งทรายมูลบ้าง ท่าตอนบ้าง วิถีชีวิตก็เหมือนๆ กับคนแม่อายในยุคนั้น สำหรับพ่อหน่อซึ่งไม่เคยอ่านออกเขียนได้ เรื่องของทะเบียนราษฎรหรือบัตรประชาชนเป็นเรื่องใหม่และเข้าใจยากสำหรับพ่อหน่อและแม่แอ การไปแสดงตัวที่อำเภอฝางอันแสนจะไกลนั้นเป็นสิ่งที่คิดไม่ออก ไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร เมื่อรู้ว่าสำคัญ มันก็เกือบจะสายไปแล้ว เราได้แต่เอาใจช่วยใสแดงในการรวบรวมพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อนำมาพิสูจน์ความเป็นคนสัญชาติไทยของพ่อหน่อและแม่แอ เราเชื่อว่าใสแดงทำได้ หากสิ่งที่ใสแดงเล่าให้เราฟังนั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งโดยหลักการ ใสแดงและอำเภอแม่อายใน พ.ศ. 2543 ควรจะได้พิสูจน์ประเด็นนี้ร่วมกันแล้ว และผลของการพิสูจน์น่าจะปรากฏในบันทึกของอำเภอที่เรียกว่า “ปค.14” แล้ว ดังนั้น ในวันนี้อำเภอแม่อายก็ควรจะเอาหลักฐานต่างๆ ที่อยู่ที่อำเภอมาคลี่ดูกับใสแดง

ในที่สุด แม้จะฟังได้ว่า พ่อหน่อมีสัญชาติไทย ใสแดงก็ไม่ได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดา ทั้งนี้ เพราะพ่อหน่อและแม่แอมิได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่หากฟังได้ว่า แม่แอ มีสัญชาติไทย ใสแดงก็ย่อมได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาโดยการเกิดโดยผลของมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

ใสแดงอาจได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนหรือไม่ ?

โดยหลักกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ ใสแดงอาจได้สัญชาติไทยโดยดินแดน หากพิสูจน์ได้ว่าใสแดงเกิดในประเทศไทย จากบิดาหรือมารดามีสัญชาติไทย หรือหากพิสูจน์ได้ว่า ใสแดงเกิดในประเทศไทยก่อนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 จากบิดาและมารดาต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย หรือหากพิสูจน์ได้ว่าใสแดงเกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดาต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยถาวรในประเทศไทย

เมื่อใสแดงเล่าว่า ตนเกิดเมื่อวันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2513 ที่บ้านใหม่หมอกจ๋าม หมู่ที่ 8 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เราก็คงจะฟังต่อไปได้ว่า ใสแดงย่อมได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิดโดยผลของมาตรา 7 (3) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบับดั้งเดิม และย่อมไม่เสียสัญชาตินี้ไปทั้งโดยผลของข้อ 1 แห่ง ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 และโดยมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ เพราะบิดามารดาของเขาเกิดในประเทศไทย

แล้วในแง่ของพยานหลักฐานว่า เขาเกิดในประเทศไทยจริง ใสแดงมีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ? ใสแดงไม่มี หนังสือรับรองการเกิดและสูติบัตร เรื่องเล่าการเกิดของเขาและพี่น้องไม่ได้รับการบันทึกจากอำเภอแม่อาย เพราะพวกเขาเกิดก่อนการตั้งอำเภอแม่อาย ถ้ามีใครสักคนเห็นความสำคัญที่จะไปแจ้งเกิดให้แก่ใสแดงที่อำเภอฝาง เขาก็คงจะพอมีสูติบัตรได้ แม้ใน พ.ศ. 2513 นั้น พ่อหน่อและแม่แอจะไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรของประเทศใดเลยในโลก ทั้งนี้ เพราะกฎหมายในวันนั้นยอมรับให้สัญชาติไทยแก่คนที่แค่เกิดในประเทศไทย แต่เมื่อพ่อหน่อของใสแดงมีภรรยาหลายคน และเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ยิ่งภายหลังการตายของแม่แอ ใสแดงจำได้ว่าพ่อหน่ออยู่
ไม่เป็นที่ ความสนใจที่จะทำทะเบียนบ้านนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมาอยู่ที่บ้านใหม่หมอกจ๋ามนี่เอง

แม้จะไม่มีพยานเอกสารในเรื่องสถานที่เกิดของใสแดง แต่ใสแดงก็มีพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือมากมาย โดยเฉพาะคนที่ทำคลอด ให้กับเขา ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ พยานบุคคลในชั้นที่เห็นเขามาตั้งแต่เด็กมีมากมาย ในประเด็นนี้อีกเช่นกัน โดยหลักการ ใสแดงและอำเภอแม่อายใน พ.ศ. 2543 ก็ได้พิสูจน์ประเด็นนี้ร่วมกันไปหมดแล้ว และผลของการพิสูจน์น่าจะปรากฏในบันทึกของอำเภอที่เรียกว่า “ปค.14” แล้ว เจ้าหน้าที่ของอำเภอใน พ.ศ. 2543 ก็น่าจะทำหนังสือรับรองการเกิดให้กับเขาแล้วด้วย

บทส่งท้าย

ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของอำเภอแม่อายในวันนี้ก็ควรจะเอาหลักฐานต่างๆ ที่เก็บอยู่ที่อำเภอมาคลี่ดู และบอกกับใสแดง หรือผู้ชนะคดีในศาลปกครองอีก 1 ,243 คนว่า พยานบุคคลที่พวกเขานำมาในวันนั้นไม่มีน้ำหนักตรงไหน ? อย่างไร ? ภาระพิสูจน์ในวันนี้น่าจะเป็นของอำเภอแม่อาย สำหรับใสแดงและเหล่าอดีตคนไร้สัญชาติแห่งแม่อายได้ทำหน้าที่ของเขาไปเสร็จสิ้นแล้วใน พ.ศ. 2542 - 2544 และเจ้าหน้าที่ของอำเภอแม่อายในช่วงเวลาก็ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาไปแล้ว

ข้อโต้แย้งของกรมการปกครองและอำเภอแม่อายในวันนี้ควรจะชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับแต่ละคำร้องว่า การอนุมัติคำร้องเพิ่มชื่อของชาวบ้านแม่อาย 1,243 คนดังกล่าวมีความมิชอบด้วยกฎหมาย ณ จุดใด ? โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในศาลปกครองหรือในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ไม่ปรากฏว่า การกระทำทางปกครองของอำเภอแม่อายในช่วง พ.ศ. 2542 - 2544 ที่เกี่ยวกับใสแดงมีความมิชอบด้วยกฎหมาย มิใช่หรือ? หากการเพิ่มชื่อของใสแดงในทะเบียนราษฎรโดยอำเภอในอดีตเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และจะให้ใสแดงต้องยื่นพยานหลักฐานใหม่ ก็ดูเป็นการสร้างภาระให้แก่ประชาชนเกินสมควรมิใช่หรือ ?

การจะยกเอาเรื่องที่ครอบครัวใสแดงถูกบังคับให้ทำทะเบียนผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าใน พ. ศ.2519 มาอ้างยันว่า พวกเขาเสียสัญชาติไทยแล้ว ก็คงทำมิได้

จึงอยากให้อำเภอแม่อายบอกมาให้ชัดเจนว่า ความมิชอบด้วยกฎหมายของเรื่องเก่าแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร ? หลังจากนั้น ใสแดงก็จะได้ชี้แจงแสดงเหตุผลได้ถูกต้อง

----------ล้อมกรอบ----------

เมื่อฟังได้ว่า ใสแดงเกิดในพ.ศ. 2516 ก็จะสรุปได้ว่า กฎหมายที่มีผลกำหนดปัญหาการได้สัญชาติโดยการเกิดของใสแดงก็คือ มาตรา 7 และ 8 แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบับดั้งเดิม รวมตลอดถึงมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 สำหรับกฎหมายที่กำหนดปัญหาการเสียสัญชาติไทยโดยการเกิดนี้ของใสแดง ก็คือมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบับดั้งเดิม และข้อ 1 แห่ง ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 รวมถึง มาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

โดยกฎหมายข้างต้น ใสแดงจะมีสิทธิ์ในสัญชาติไทยก็ต่อเมื่อใสแดงมีข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

ประการแรก บุคคลจะมีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดา หาก (1) บุคคลเกิดจากบิดาซึ่งเป็นคนสัญชาติไทย (2) บิดานั้นได้สมรสตามกฎหมายกับมารดาก่อนบุตรเกิด กล่าวคือ บิดาเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
ในขณะที่บุตรเกิด และ (3) ยังไม่มีการประกาศให้บุคคลเสียสัญชาติไทยในราชกิจานุเบกษา

ประการที่สอง บุคคลจะมีสัญชาติไทย โดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา หาก(1) เกิดจากมารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติไทย และ(2) ยังไม่มีการประกาศให้บุคคลเสียสัญชาติไทยในราชกิจานุเบกษา

ประการที่สาม บุคคลจะมีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน หาก(1) บุคคลเกิดในประเทศไทย (2) ไม่ปรากฏว่าบิดากับมารดาเป็นคนต่างด้าว ซึ่ง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสถานะเป็นบุคคลที่มีเอกสิทธิและความคุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ (3) ไม่ปรากฏว่าบิดากับมารดาเป็นคนต่างด้าวซึ่ง เข้าเมืองในลักษณะไม่ถาวร และ (4) ยังไม่มีการประกาศให้บุคคลเสียสัญชาติไทยในราชกิจานุเบกษา