ชีวิตบนเส้นด้าย บนแผ่นดินสงครามรัฐกะเหรี่ยง

เรื่อง/ภาพ : อาทิตย์ ธาราคำ
โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต www.searin.org


ดวงตะวันอับแสงขมุกขมัวที่ปลายดอยริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน  ระรอกคลื่นของแม่น้ำกระเพื่อมไหวเมื่อเรือหางยาวลำใหญ่ เหหัวเรือเข้าจอดเทียบที่ริมหาดทราย ผู้โดยสารกว่า  70 คนท่าทางอิดโรยทยอยเดินขึ้นจากเรือ แบกสัมภาระเดินเร่งฝีเท้าตามผู้นำทาง ลัดเลาะลำห้วยเข้าสู่หุบเขาเล็กๆ ก่อนแสงสุดท้ายวันจะสิ้นไป

บนที่ราบแคบๆ ริมลำห้วย ในเขตจังหวัดมือตรอว์ บน แผ่นดิน “กอซูเล” หรือรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ไม่ไกลจากชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพิงพักชั่วคราวนับร้อยหลังถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นที่พักพิงสำหรับชาวบ้านกะเหรี่ยงกว่า 800 คน ผู้หนีภัยความตายจากการรุกรานของกองทัพพม่า มาพักพิงอยู่ใน “พื้นที่ปลอดภัย” ภายใต้การคุ้มครองดูแลของกองกำลังสหชนชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นยู (Karen National Union)


“มาถึงที่นี่ได้ก็ดีใจที่สุดแล้ว อย่างน้อยคืนนี้ก็คงได้นอนหลับสนิท” หม่อทู ชายชาวกะเหรี่ยงวัย 40 ปีที่หนีตายมาพร้อมครอบครัว รับผ้าพลาสติก ข้าวสาร ปลาร้า พริก และเกลือ จากหน่วยงานบรรเทาทุกข์ของเคเอ็นยู ก่อนแยกออกไปสร้างเพิงพักเพื่อเป็นที่นอนในคืนนี้

เช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่หนีมา หม่อทูและครอบครัว ต้องทิ้งบ้านอย่างกะทันหันเมื่อทหารพม่าเข้ามาโจมตีหมู่บ้าน ซ่อนตัวกันอยู่ในป่านานนับเดือน เมื่อข้าวสารและเสบียงหมด แต่ทหารพม่ายังคงปิดล้อมไม่ถอนกำลัง ชาวบ้านที่ไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจรอนแรมเดินเท้าข้ามลำห้วยและภูเขาสูงเป็นเวลานานนับเดือน เพื่อมายังสถานที่ปลอดภัยที่ริมฝั่งสาละวินแห่งนี้

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 เป็นต้นมา กองทัพพม่า ได้เปิดศึกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ  10 ปี ในรัฐกะเหรี่ยงทางตอนบน และตะวันตก เขตจังหวัดตองอูและยองเลบิน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงแห่งใหม่ของพม่าที่ปินมะนาเพียงราว 100 กิโลเมตร

กลุ่มบรรเทาทุกข์ Free Burma Rangers รายงานจากในพื้นที่ว่าการโจมตีรัฐกะเหรี่ยงครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวอย่างน้อย 13,000 คนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน (Internally Displaced Persons-IDPs หรือ ไอดีพี) หมู่บ้านอย่างน้อย 54 แห่งถูกเผา หรือทิ้งร้างเนื่องจากถูกทหารพม่าเข้าทำลาย

กองทัพพม่า ภายใต้การปกครองของสภาพัฒนาและสันติภาพแห่งรัฐ หรือ เอสพีดีซี  ได้ขยายกองกำลังในพื้นที่ 2 จังหวัดของรัฐกะเหรี่ยงอย่างหนัก กลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยง (KHRG) ระบุว่าเฉพาะในเขตจังหวัดตองอูมีกองพลทหารราบเพิ่มขึ้นสูงถึง 11 กองพัน และกองพลทหารราบเบาอีก 3 กองร้อย นับว่าเป็นการเพิ่มกำลังทหารของกองทัพพม่าครั้งใหญ่ที่สุด

ครั้งหนึ่งในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงนับตั้งแต่มาเนอปลอว์ ฐานที่มั่นใหญ่ที่สุดของกองเคเอ็นยูแตกเมื่อ 11 ปีก่อน

เจ้าหน้าที่เคเอ็นยูคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า “เรารู้ว่าพวกเขา (ทหารพม่า) จะยังคงโจมตีเราต่อไป เราจึงต้องปกป้องประชาชนของเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเราต้องหยุดการโจมตีครั้งนี้ให้ได้” เพราะมิเช่นนั้นประชาชนชาวกะเหรี่ยงที่จะต้องเดือดร้อนจากภัยสงครามจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

รายงานข่าวระบุว่าขณะนี้ชาวบ้านกว่า 9,000 คนกำลังเร้นกายซ่อนตัวอยู่ในป่า และกว่า 1,100 คนเดินทางมายังเขตจังหวัดมือตรอว์ ในพื้นที่ปลอดภัยที่ริมฝั่งน้ำสาละวิน ชายแดนตะวันตกของประเทศไทย

ค่ำแล้ว กองไฟส่องแสงหรุบหรู่พอเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในทิวไม้ ชาวบ้านที่เพิ่งเดินทางมาถึงวันนี้ยังสร้างเพิงพักไม่เสร็จ เด็กน้อยร้องไห้จ้าด้วยหิวและอ่อนเพลียจากการเดินทางไกล ผู้ชายตัดไม้ไผ่เร่งลงเสาและทำโครงหลังคา ผู้หญิงและคนแก่ช่วยกันสานหลังคาใบไม้ เพิงเล็กๆ หลังนี้จะเป็นเกราะกำบังให้แก่หลายชีวิตที่จะนอนหลับภายใต้ผืนฟ้าที่ชายขอบของแผ่นดินพม่าในคืนนี้

ซอหม่อซู้ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานบรรเทาทุกข์ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลค่ายพักพิงชั่วคราวแห่งนี้เล่าว่า

“ชาวบ้านหนีกันมาถึงที่นี่ทางเราก็ต้องดูแล มีหมอ มียารักษาเบื้องต้น มีข้าวสาร พริก ให้พอประทังชีวิตไปได้”

“ที่สำคัญที่สุดคือต้องหาพื้นที่ปลอดภัยให้ชาวบ้านอาศัยอยู่ชั่วคราวไปก่อน แต่ก็ไม่รู้จะดูแลกันได้แค่ไหน ทหารของเราก็มีน้อย ฐานทหารพม่าอยู่ห่างไปแค่ 4-5 กิโล จะมาโจมตีพวกเรา เมื่อไหร่ก็ไม่รู้” ซอหม่อซู้ถอนหายใจยาว

จริงอย่างที่ซอหม่อซู้ว่า ทั้งฝั่งขวาและซ้ายของหุบเขาแคบๆ แห่งนี้ขนาบด้วยฐานกองกองทัพพม่า ด้วยระยะห่างเพียงนั่งเรือหางยาวไป 15 - 20 นาที แต่ถึงจะเสี่ยงอย่างไร หุบเขาแห่งนี้ก็เป็นพื้นที่สุดท้ายที่ผู้หนีภัยความตายจะฝากชีวิตไว้ได้

“หนี” ไม่ใช่ทางเลือก 

“ทหารพม่าเข้ามาบุกหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องรีบหนีเอาชีวิตรอด แทบไม่มีเวลาหยิบข้าวหรือของใช้ติดตัว ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ ทุกคนต้องไป ถ้าอยู่ก็ตาย” ซอโหย่เว ชายหนุ่มวัย 28 ปีจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตตองอู เล่าเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นเมื่อหกสัปดาห์ก่อน ก่อนที่เขาและชาวบ้านทั้งหมู่บ้านจะทิ้งทุกอย่างหนีเอาชีวิตมายังที่นี่

มีรายงานข่าวว่าในหลายหมู่บ้าน ทหารพม่ามีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรแนบเป็นจดหมายมาพร้อมลูกกระสุนปืน สั่งให้ชาวบ้านย้ายออกไปอยู่ในพื้นที่ “แปลงอพยพ” ซึ่งควบคุมโดยทหารพม่า พร้อมระบุเส้นตายว่าหากพบชาวบ้านในหมู่บ้านเดิมหลังจากวันที่กำหนดจะถูกฆ่าทิ้งทันที แปลงอพยพเหล่านี้ตั้งอยู่บนที่ราบใกล้ถนนที่ถูกใช้
เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ของกองทัพพม่า เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียง กองกำลัง และยุทโธปกรณ์ของกองทัพพม่า

“ถ้ายอมไปอยู่ในแปลงอพยพเราก็เหมือนตายทั้งเป็น ทหารพม่าต้อนให้เราไปอยู่ใกล้ๆ กับค่ายทหาร ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรทั้งนั้น เราต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ถูกต้อนไปเรายังไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนแต่ต้องไปสร้างค่ายให้ทหารพม่าก่อนสร้างบ้านของเราเอง อาหารก็ไม่มีจะกิน” เหยื่อสงครามเล่าด้วยน้ำเสียงเครือ

ในแปลงอพยพภายใต้การควบคุมของกองทัพพม่าที่เรียกว่า “พื้นที่สีขาว” ชาวบ้านต้องเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชน นานัปการทั้งการเรียกเก็บส่วยเป็นข้าวสาร อาหาร สัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ และเงิน ที่สาหัสที่สุดคือการบังคับใช้แรงงานทาส

รายงานจากพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสิตตัง ทางตะวันตกของรัฐกะเหรี่ยงระบุว่า เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวกะเหรี่ยงเก็บเกี่ยวข้าวไร่ กองร้อยทหารราบเบาที่ 439 ของกองทัพพม่าออกคำสั่งให้ชาวบ้าน “ทุกคน” ในหมู่บ้าน 20 แห่ง ในพื้นที่ควบคุม มาถางหญ้าและต้นไม้ริมถนนสายชเวจิน-เจ้าจี้ ระยะทาง 50 กิโลเมตร เพื่อให้เปิดทัศนวิสัยให้รถของกองทัพพม่า สามารถมองเห็นศัตรู คือ กองกำลังเคเอ็นยู ที่อาจดักซุ่มโจมตี

การบังคับใช้แรงงานในช่วงเวลาเก็บเกี่ยวทำให้ชาวบ้านไม่มีเวลาพอที่จะเก็บเกี่ยวข้าวและผลผลิตอื่นๆ ในไร่นาของตนเองได้ อีกทั้งยังเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการเหยียบกับระเบิดที่วางไว้ตลอดสองข้างถนน

กองทัพพม่าที่เข้ากวาดล้างหมู่บ้านของประชาชนในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงและกวาดต้อนชาวบ้านเข้าสู่แปลงอพยพด้วยเหตุผลหลัก คือ ตัดการสนับสนุนของชาวบ้านกะเหรี่ยงต่อกองกำลังของเคเอ็นยูและเข้าควบคุมพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ

เหตุผลเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกจากหมู่บ้านมาซ่อนตัวอยู่ในป่า หรือจำใจหนีความตายข้ามพรมแดนไปยังค่ายผู้ลี้ภัยบนแผ่นดินไทย


ชีวิตบนเส้นด้าย

สำหรับหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงในเขต “พื้นที่สีดำ”ภายใต้การดูแลของกองกำลังเคเอ็นยูที่ยังไม่มีการกวาดล้างโดยกองทัพพม่าอย่างเป็นทางการ ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านจะมีชีวิตได้อย่างสงบสุข

บนเชิงเขาที่ระดับความสูง 1,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ใช้เวลาเดินเท้าลัดเลาะขึ้นภูเขาจากริมน้ำสาละวินเป็นเวลา 2 วัน คือที่ตั้งของหมู่บ้านโตะเส่เดอ หมู่บ้านขนาด 70 ครัวเรือน

ค่ำคืนในกระท่อมที่หมู่บ้านซึ่งตั้งบนผืนดินแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ชาวบ้านกว่า 30 คนมานั่งเล่าเรื่องราวให้ผู้มาเยือนจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำสาละวินได้ฟัง

“บ้านของเราอยู่มานานแล้ว มีไร่นา มีวัด มีโบสถ์ โรงเรียน แต่ก็ถูกทหารพม่ารุกรานแทบทุกปี” ผู้ใหญ่บ้านเริ่มเล่า

“ช่วงปี 2537 ทหารพม่าเข้ามาตั้งฐานอยู่ที่จอหยะ ที่ริมแม่น้ำสาละวิน เดินข้ามภูเขาไป 2 ชั่วโมงก็ถึง ตอนนั้นพม่าบุกเข้ามาเผายุ้งข้าวทิ้งหมด พวกเราก็หนีกันไปซ่อนอยู่ในป่า รอว่าเมื่อไหร่พม่าจะไปเสียทีเราจะได้กลับมา แต่ทหารพม่าก็เข้ามาเฝ้าอยู่ที่หมู่บ้านตลอด จนปี 2539 ก็เผาหมู่บ้านของพวกเราทิ้ง"

“ตอนนั้นเราต้องอพยพกันไปอยู่บนดอยที่ฟากโน้น อยู่กันในป่า 5 ปีเต็มๆ”

ชีวิตที่หนีซ่อนตัวกันอยู่ในป่าเป็นเรื่องที่สาหัส ชาวบ้านต้อง กระจายตัวกันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อไม่ให้ทหารพม่าตามพบได้

เรื่องที่ลำบากอันดับต้นๆ คือ อาหาร ในช่วงแรกชาวบ้าน ยังสามารถขอหยิบยืมข้าวสารได้จากชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นๆ แต่เมื่อการหลบซ่อนไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด กลับล่วงเลยเป็นเวลานับปี ชาวบ้านก็ต้องแอบทำไร่เล็กๆ เพื่อให้มีข้าวกินประทังชีวิต โดยระหว่างการทำไร่ก็ต้องเฝ้าระวังการโจมตีของทหารพม่าอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งปี 2541 เมื่อสถานการณ์ปลอดภัยมากขึ้น ชาวบ้าน โตะเส่เดอจึงเริ่มย้ายกลับมาเริ่มต้นใหม่ สร้างบ้านอยู่ที่หมู่บ้านเดิมกันอีกครั้ง เพียงเพื่อที่จะถูกโจมตีอีกภายในเวลาไม่กี่เดือนให้หลัง เป็นผลให้ชาวบ้านต้องหนีกันอีกเป็นเวลา 1 เดือน และเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำๆ แทบทุกปี จนชาวบ้านเรียนรู้ที่จะอยู่กับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน โดยทุกครอบครัวจะมี “ตะกร้าฉุกเฉิน” บรรจุข้าวสาร เกลือ พริก มีด หม้อข้าว และของใช้จำเป็น เตรียมพร้อมไว้หนีทันทีหากทหารพม่าเข้ามาใกล้หมู่บ้าน และในป่าก็จะมีเพิงเล็กๆ ซ่อนข้าวสารและอาหารเก็บไว้เผื่อช่วงที่หนี

เมื่อถามว่าทำไมจึงไม่หนีไปอยู่ที่อื่น หรือข้ามฝั่งน้ำมาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ประเทศไทยที่ปลอดภัยกว่า คำตอบเดียวกัน
ที่ได้รับคือ ชาวบ้านไม่ต้องการทิ้งแผ่นดินเกิด

“ถึงจะต้องหนียังไงก็จะกลับมา ที่นี่เป็นบ้านของเรา เรารักทุกๆ อย่างของเรา หมู่บ้าน วัด โบสถ์ ต้นไม้ ลำห้วย

“ไร่นาของเราอยู่ที่นี่ พ่อแม่เราเกิดที่นี่ ตายที่นี่ ตัวเราเองก็จะตายที่นี่” คุณยายวัย 80 กล่าวพลางลูบหัวหลานที่นั่งอยู่บนตัก



เหยื่อสงครามตัวน้อย

สงครามที่กินเวลานานกว่าครึ่งศตวรรษทำให้ประชาชนบนแผ่นดินแห่งนี้มีชีวิตระหกระเหิน ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แม้ทุกคนจะมีความหวังว่าสันติภาพจะคืนกลับมาในสักวัน แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลคือชีวิตน้อยๆ ที่เติบโตมาบนแผ่นดินเพลิง เด็กๆ ที่ต้องเผชิญกับภัยสงครามสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องสอนว่าทหารพม่าคือสิ่งอันตรายที่ทุกคนต้องหนี

“ตอนที่เราหนีตอนกลางคืนหนูกลัวมาก กลัวทหารพม่ายิง แต่ก็ต้องเดินก้มหน้าเดินตามรอยเท้าพ่อแม่ อยากกลับบ้านแต่พม่าเข้ามาเราก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเดี๋ยวทหารพม่าไปเราก็จะกลับไปอยู่บ้านได้เหมือนเดิม”  หน่อนอ เด็กหญิงวัย 12 ปีพูดเสียงใสเหมือนเรื่องสะเทือนใจที่เธอเล่าเป็นเรื่องปกติ

เมื่อซ่อนตัวอยู่ในป่า บางครั้งเมื่อขาดแคลนอาหารจริงๆ พ่อแม่ที่ต้องดูแลลูกเล็กๆ อยู่ในเพิงพักในป่า ต้องยอมส่งลูกที่เป็นเด็กโตวัยประมาณ 9-12 ขวบ ไปกับเด็กหนุ่มที่รู้ทาง พากันเดิน ข้ามภูเขาเป็นเวลา1-2 วันเพื่อแอบเข้าไปในแปลงอพยพหรือหมู่บ้าน ที่ควบคุมโดยทหารพม่าเพื่อขอยืมหรือซื้อข้าวจากชาวบ้านที่นั่น

ระหว่างทาง เด็กๆ ต้องหลบทหารพม่า และระมัดระวังไม่ไปเหยียบกับระเบิด เพียงเพื่อให้ได้ข้าวเปลือก 1 ถุง (ประมาณ 10 กิโลกรัม) และแบกข้ามดอยกลับมาให้พ่อแม่และน้องๆ ที่รออยู่ ถ้าเด็กเหล่านี้ไม่เสี่ยงไป ทั้งครอบครัวก็จะอดตาย

การมีชีวิตที่ระหกระเหินหนีตายกันเป็นประจำ ทำให้ประชาชนตัวเล็กๆ ไม่ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง หรืออาจไม่เคยรู้จักโรงเรียนเลย

“ตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบเราก็ต้องหนีกันอยู่ในป่า ตื่นเช้ามากินข้าวเสร็จก็เก็บของใส่ตะกร้าเตรียมหนีต่อ ฉันไม่เคยรู้จักเลยว่าโรงเรียนเป็นอย่างไร” พอวา เจ้าหน้าที่หญิงชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งเล่าย้อนความหลัง

ลำพังโรงเรียนตามหมู่บ้านต่างๆ ในเขตไอดีพี หรือเขตที่ชาวบ้านต้องหนีกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง การสร้างโรงเรียนและหาครูมาประจำก็ยากลำบากอยู่แล้ว การหาครูมาสอนนักเรียนตัวน้อยที่หนีกันอยู่ในป่าเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้  นอกเสียจากว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านที่พอจะมีความรู้อาสามาเป็นครูสอนเด็กๆ กันเอง และพ่อแม่ก็เจียดเงินหรือข้าวเป็นค่าตอบแทนครูและอุปกรณ์การสอน


“ตอนพวกเราหนี ครูก็หนีไปด้วยกัน ไปตั้งโรงเรียนกันในป่า สอนหนังสือไปก็ต้องคอยฟังข่าวสถานการณ์ไปด้วย”

ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งเล่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยงระบุว่าเด็กๆ ผู้พลัดถิ่นภายใน ที่จังหวัดตองอูได้เข้าเรียนหนังสือกันเพียงปีละ 2-3 เดือน และครึ่งหนึ่งไม่เคยเรียนหนังสือเลย

หมอของคนทุกข์

สุขภาพของผู้พลัดถิ่นนั้นอยู่ในขั้นวิกฤติ เด็กๆ จำนวนมากขาดสารอาหารและน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อย่างน่าตกใจ โรคที่ประชาชนเป็นกันมากที่สุดคือ มาลาเรีย วัณโรค ท้องร่วง และโรคติดเชื้ออื่นๆ

ทั้งนี้ ชาวบ้านที่หนีซ่อนกันในป่าต้องเสาะหายาสมุนไพรรักษากันตามมีตามเกิด หรือถ้าโชคดีก็อาจ ได้พบกับคณะแพทย์เคลื่อนที่จากหน่วยงานบรรเทาทุกข์ เช่น Free Burma Rangers, หมอแบ็คแพ็ค(Backpack  Health Workers Team ของคลินิกแม่ตาว) ซึ่งถือว่าคนไข้โชคดีมากหากได้พบคณะหมอเหล่านี้

“ยามีน้อยมาก ส่งมาได้แค่ประมาณปีละ 2 ครั้ง ยิ่งช่วงที่ทหารพม่าเปิดศึก สกัดเส้นทางลำเลียง การขนยาลำบากมาก หมอก็ต้องจัดสรรยาให้ดี” วินซอ หมอหนุ่มชาวกะเหรี่ยงประจำคลินิกที่ฐานที่มั่นในเขตมือตรอว์กล่าว

คลินิกแห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการส่งทีมแพทย์เคลื่อนที่ออกเดินเท้าไปรักษาชาวบ้านตามหมู่บ้านและในป่า หลายครั้งที่อาการคนไข้สาหัส เช่น ถูกยิง หรือเหยียบกับระเบิด เกินกำลังที่หมอในป่าจะรักษาได้ก็ส่งมายังคลินิกแห่งนี้ หากอาการรุนแรงมากต้องช่วยกันหามคนไข้เดินข้ามภูเขาเป็นเวลา 2-4 วันเพื่อส่งข้ามไปรักษายังฝั่งไทย

ที่พื้นที่พักพิงริมห้วยสาขาของสาละวินแห่งนี้ ผู้หนีภัยความตายยังโชคดีที่มีหมอคอยดูแล
โดยตั้ง “คลินิก” ในเพิงไม้ไผ่คลุมหลังคาด้วยผ้าพลาสติก เปิดรักษาคนไข้ที่มารอหมอตั้งแต่เช้าตรู่ คลินิกนี้มีหมอชาวกะเหรี่ยง 3 คน เป็นหมอที่ได้รับการอบรมจากคลินิกแม่ตาวของหมอซินเทีย มาว แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงเจ้าของรางวัลแมกไซไซ

ตะวันคล้อย เมื่อคนไข้ที่คลินิกเริ่มน้อยลง หม่อวาเซ หมอหนุ่มวัย 25 ปี ก็ถือขวดน้ำเกลือและกล่องยาออกไปตรวจรักษาคนไข้อาการหนักที่นอนรอหมออยู่ตามเพิงพัก ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่เป็นมาลาเรีย ท้องร่วง และอ่อนเพลียจากการรอนแรมมาหลายสัปดาห์

“เด็กอ่อนเยอะแต่เราไม่มีวัคซีนจะฉีดให้ ตอนนี้มีแค่ยาบรรเทา ยาฉีดยังส่งมาไม่ได้ เราก็รักษาเท่าที่ทำได้ไปก่อน ถ้าได้ยาก็คงรักษาคนไข้ได้มากกว่านี้” หมอกล่าวก่อนหันไปแทงสายน้ำเกลือให้แก่คนไข้แม่ลูกอ่อนที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นในเพิงไม้ไผ่


ค่ำแล้ว จันทร์เสี้ยวส่องแสงวับวาวที่ปลายยอดไม้ เสียงหริ่งเรไรระงมก้องหุบเขา มองเห็นเพิงพักมืดเป็นเงาดำนิ่งสนิทอยู่ในนิทารมย์

ผู้พลัดถิ่นที่อ่อนเพลียต่างหลับใหลด้วยอุ่นใจว่าที่บนยอดดอยและริมฝั่งน้ำ มีทหารเคเอ็นยูคอยรักษาความปลอดภัยให้แก่หลายร้อยชีวิตในหุบเขาแห่งนี้

ลุ่มสาละวินยังคงเป็นที่ปลอดภัย ตราบเท่าที่สายน้ำยังคงไหลอย่างอิสระ