ในบ้านพักหลังเล็กๆ ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มือผอมบางของชายพม่าคนหนึ่งกำลังจรดปลายพู่กันแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษวาดเขียนสีขาว เวลาผ่านไปนานนับเดือน ภาพชายชราผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงนั่งทอดสายตาจากระเบียงออกไปเบื้องหน้าจึงเริ่มปรากฏชัดแทนที่กระดาษสีขาว หลายปีต่อมา มือของชายคนเดิมยังคงแต่งแต้มกระดาษขาวจนกลายเป็นภาพสะท้อนเรื่องราวของผู้พลัดถิ่นจากประเทศพม่ารวมแล้วไม่น้อยกว่า 50 ภาพ
ปัจจุบัน ภาพวาดเหล่านี้ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเขาในห้องพักเหมือนเช่นเคย หากกำลังเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ยากของผู้คนจากประเทศพม่าตามงานแสดงศิลปะในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งตีพิมพ์อยู่บนปฏิทินและหนังสืออีกหลายเล่ม
สิ่งที่ยังคงอยู่เป็น “เพื่อน” และรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ในบ้านพักทุก ๆ วันเห็นจะมีเพียง “สีน้ำและพู่กัน” ซึ่งคอยทำหน้าที่แบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกของเขาลงสู่กระดาษสีขาวมาตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา “เพื่อน” ผู้ทำให้ชื่อ “หม่อง หม่อง ติน” ของเขากลายเป็นจิตรกรสีน้ำชาวพม่าที่กำลังได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคนหนึ่งในขณะนี้

กว่าที่เขาจะได้สัมผัสความรู้สึกของการใช้สีสันแต่งแต้มลงบนภาพวาดเป็นครั้งแรกในชีวิตก็จนเมื่อเขาอายุ 11 ปี หลังจากพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากปัญหาความยากจนที่นำไปสู่ความกดดันในครอบครัว ปู่กับย่าจึงพาเขาย้ายไปอยู่ในเขตเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐกะเหรี่ยง แม้ว่าที่โรงเรียนแห่งใหม่จะยังคงไม่มีสอนวิชาศิลปะแต่เขาก็มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกของการจุ่มพู่กันลงบนจานสีน้ำครั้งแรกในงานปิดภาคการศึกษาประจำปีของโรงเรียนซึ่งจะจัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง ในงานนี้ทางโรงเรียนจะอนุญาตให้นักเรียนใช้สีวาดภาพต่าง ๆ เพื่อจัดแสดงให้ผู้ปกครองชื่นชม ซึ่งเขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยพลาดส่งภาพเข้าร่วมงาน แม้ว่าความสุขจากการได้แต่งแต้มสีต่าง ๆ จะมาถึงเพียงปีละหนึ่งครั้ง แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ ที่สำคัญสำหรับเด็กน้อยอย่างเขาให้ก้าวเดินต่อไปเป็นจิตรกรชื่อดังในวันนี้
เขามีโอกาสได้รับการอบรมความรู้ด้านศิลปะครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปีจากครูศิลปินในท้องถิ่นท่านหนึ่ง ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน เขาได้เรียนรู้ทฤษฎีและความรู้พื้นฐานสำหรับการวาดภาพ อาทิ เส้น ระดับของสี ระยะห่างของวัตถุ แต่ด้วยความรักอิสระทำให้เขาชอบเรียนรู้แนวทางการวาดภาพด้วยตนเองมากกว่าถูกจำกัดด้วยทฤษฎีต่าง ๆ การเข้าห้องเรียนวิชาศิลปะครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของเขา

ที่ศิลปินเหล่านั้นแนะนำไปฝึกฝนเพื่อหาแนวทางของตนเอง จน
ในที่สุดเขาก็พบว่า เขาหลงใหลการวาดภาพอิริยาบถต่าง ๆ ของผู้คนมากที่สุด
ด้วยปัญหาภายในครอบครัวและข้อจำกัดมากมายในการใช้ชีวิตใต้ระบอบเผด็จการทำให้เขารู้สึกอึดอัดที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังเดิม เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งและพบกับความรู้สึกว่า “ฉันต้องไปจากที่นี่” เขาก็ตัดสินใจเก็บข้าวของเดินจากบ้านมุ่งหน้าเข้าไปในเขตป่าของรัฐกะเหรี่ยงโดยทันที ในเวลานั้นเขาไม่รู้ ว่าปลายทางของเขาอยู่ที่ไหน มีเพียงความรู้สึกในใจเท่านั้นที่ทำให้เขาต้องไปจากที่เดิม จนกระทั่งพบกับทหารกะเหรี่ยงเคเอ็นยูและถูกจับ เนื่องจากถูกเข้าใจผิดว่าเขาเป็นสายลับให้กองทัพพม่า เขาถูกจับขังและทรมานอยู่กลางป่าจนกระทั่งอดีตครูชาวกะเหรี่ยงซึ่งย้ายไปทำงานให้กับกองกำลังเคเอ็นยูมาพบและรับรองกับทางเคเอ็นยูว่าเขาไม่ได้เป็นสายลับอย่างแน่นอน เขาจึงได้รับการปล่อยตัวและครูแนะนำให้เขาเดินทางมาทำงานที่
แม่ตาวคลินิกของหมอซินเธียซึ่งช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นจากประเทศพม่า ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
หม่อง หม่อง ติน เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่คลินิกแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1995 โดยรับตำแหน่งพ่อครัวในช่วง 6 เดือนแรก หลังจากได้รับอบรมความรู้ด้านการแพทย์ จึงย้ายไปทำงานในคลินิกเด็กเป็นเวลา 2 ปี ที่นี่เองที่ทำให้เขาได้แต่งแต้มสีสันลงบนภาพ วาดอีกครั้ง โดยใช้สีน้ำที่อาสาสมัครชาวต่างประเทศนำมาบริจาคให้เด็กๆ ใช้ระบายเล่นแก้เหงา เขาเริ่มสนใจวาดภาพจากภาพถ่ายชีวิตผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากงครามกลางเมืองในประเทศพม่าที่ปรากฏอยู่ตามหนังสือพิมพ์หรือหนังสือต่าง ๆ จนนานวันผ่านไป ผู้คนในคลินิกจึงรู้ว่า เขามี “พรสวรรค์” ในการวาดภาพ สีน้ำที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะทุกๆ ภาพที่ปรากฏต่อสายตา สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในภาพราวกับมีชีวิตจริง รวมทั้งสามารถทำให้คนดูรู้สึกเศร้า เอ็นดู เห็นอกเห็นใจ ชีวิตผู้คนพลัดถิ่นจากประเทศพม่าได้เป็นอย่างดี
หลายปีผ่านไป ผลงานของเขาเริ่มได้รับการกล่าวขวัญถึงในหมู่ชาวต่างประเทศที่เดินทางมาเป็นอาสาสมัคร บริจาคเงิน และเยี่ยมชมคลินิกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง แวดวงผู้จัดแสดงงานศิลปะในต่างประเทศ อาทิ อเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี เป็นต้น ได้นำผลงานของเขาไปจัดแสดงและจำหน่ายเพื่อนำเงินรายได้กลับมาช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นจากประเทศพม่าต่อไป
หม่อง หม่อง ติน เล่าว่า ผลงานที่เคยขายได้มูลค่าสูงสุด คือ 500 ดอลลาร์(ประมาณ 19,000 บาท) ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะภาพนั้นสวยงามที่สุด หากเป็นเพราะเขากำหนดราคาเอาไว้สูงที่สุดเพื่อนำเงินนั้นมาช่วยค่าผ่าตัดผู้หญิงวัย 45 ปีคนหนึ่ง เธอมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูกหลังจากคลอดลูกคนที่ 9 จำเป็นต้องต้องส่งไปเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลซึ่งมีค่ารักษาที่สูงเกินกว่าครอบครัวที่มีอาชีพขายถ่านของเธอจะรับภาระได้ เธอจึงต้องนอนรอคอยอย่างไร้ความหวัง เมื่อหม่อง หม่อง ติน ได้พบกับเธอก็รู้สึกสงสาร อยากให้เธอได้กลับไปใช้ชีวิตปกติเพื่อดูแลลูก ๆ และสามีต่อไป เขาจึงตัดสินใจขายภาพวาดโดยกำหนดมูลค่าไว้ที่จำนวนเงินผ่าตัดและเล่าเหตุผลให้กับคนที่สนใจภาพของเขาได้ฟังก่อนตัดสินใจ และในที่สุด เขาก็สามารถนำเงินจากผลงานของเขามาทำให้เธอได้กลับไปใช้ชีวิตกับสามีและลูกได้เช่นเดิม
“ตอนนั้นผมบอกเธอว่า ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ไม่ใช่ เงินของผม ผมเป็นแค่คนกลางระหว่างคนซื้อภาพกับคนไข้ที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น ที่ขายได้ราคาสูงไม่ใช่เพราะตัวภาพเขียน แต่เป็นเพราะผมได้เล่าเรื่องคนไข้ให้คนซื้อฟังมากกว่า ผมคิดว่าก่อนที่ผมจะตาย ผมอยากทำอะไรก็ได้ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม”
ทุกวันนี้ เขายังคงทำงานในคลินิก โดยทำหน้าที่ดูแลชาวต่างประเทศและบุคคลภายนอกที่มาเยี่ยมคลินิก รวมทั้งเป็นฝ่ายศิลปะ วาดภาพและจัดแต่งคลินิกให้สวยงามเมื่อมีงานสำคัญ เขามักใช้เวลาในช่วงบ่ายของทุก ๆ วันกลับไปยังห้องพักเพื่อวาดภาพ โดยเลือกภาพถ่ายที่สะท้อนปัญหาของผู้คนพลัดถิ่นที่ตีพิมพ์ตามสื่อต่าง ๆ หรือภาพถ่ายที่เขาถ่ายเก็บไว้มาเป็นภาพต้นแบบ
แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ในคลินิกหลายคนได้อพยพไปอยู่ในประเทศที่สามเป็นจำนวนมากจนทำให้เขารู้สึกใจหายที่ต้องพลัดพรากจากคนคุ้นเคย แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะอพยพโยกย้ายตนเองไปอยู่ในสถานที่ ๆ ห่างไกลจากแผ่นดินเกิดเลย เพราะเขายังรู้สึกว่าสถานการณ์ในพม่ายังคงเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
“ถึงแม้ว่าการเลือกอยู่ที่นี่ผมจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ แต่ผมคงรู้สึกละอายใจมากกว่าที่จะหนีเอาตัวรอดไปอยู่ในประเทศที่เจริญและห่างไกลจากสภาพความเป็นจริงที่กำลัง เกิดขึ้นในพม่า”
จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 11 ปีแล้วที่เขาเดินทางข้ามชายแดนมายังประเทศไทย แม้ว่าความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตบนแผ่นดินเกิดที่สงบสุขจะยังคงริบหรี่ แต่มือของเขาก็ยังจับพู่กันอย่างมั่นคง เพื่อแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษขาวส่งผ่านเรื่องราวความทุกข์ยากของผู้คนสู่โลกภายนอกต่อไป ด้วยความหวังลึก ๆ ว่าภาพเขียนเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของผู้คนที่ได้เห็นและนำไปสู่การผลักดันให้เกิดสันติภาพในแผ่นดินที่เขาจากมาในสักวันหนึ่ง
หากวันนั้นเดินทางมาถึง ชายชราผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่ปรากฏอยู่บนภาพ วาดของเขาก็คงไม่ต้องเหม่อมองคิดถึงบ้านเกิดอีกต่อไป และภาพวาดของเขาก็คงเปลี่ยนจากภาพคราบน้ำตาเป็นรอยยิ้มของผู้คนที่ได้กลับสู่มาตุภูมิที่จากมานานหลายสิบปี