บ้านและการรอคอย

โดย รัชนีกร ทองทิพย์
เผยแพร่ครั้งแรก www.thaingo.org

“แม่ตายแล้ว แม่ไม่มีแล้ว ...”
เสียงชายหนุ่มปลายสายร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเป็นเด็ก

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เล่าให้ฟัง” ฉันงง ค่อยตั้งสติ
รับฟังเสียงภาษาไทยกระท่อนกระแท่นจากเพื่อนหนุ่มชาวพม่า

ตันทุน หนุ่มชาวพม่าจากย่างกุ้ง (เมืองหลวงที่ถูกทำให้กลายเป็นอดีต) อายุ 28 ปี เข้ามาทำงานเมืองไทยกว่า 10 ปีแล้ว เคยทำงานทุกอย่างตั้งแต่ประมง โรงงาน ก่อสร้าง จนตอนนี้ทำงานร้านอาหารในกรุงเทพฯ ทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ได้เงินเดือนแค่ 6,000 บาท มีแฟนเป็นคนพม่าจากเมืองเดียวกัน ทั้งสองคนขยันทำงานอดออมเก็บเงินไว้ ตันทุนเคยบอกฉันว่า

“ปีหน้า ผมจะกลับบ้านแล้วนะ” น้ำเสียงมีแววปลื้มปิติ
“อยากกลับบ้านไปอยู่กับแม่ เปิดร้านเล็ก ๆ กินไม่มาก ใช้ไม่มาก ก็พออยู่ได้”
ก่อนสงกรานต์ฉันได้เจอกับคนทั้งคู่ เขาบอกว่า “ปีนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน เก็บเงินยังไม่พอ”
“สงกรานต์ไปไหน ไปวัดด้วยกันไหม” ฉันถาม
“ไปไม่ได้หรอก ช่วงสงกรานต์ตำรวจออกจับคนพม่าเยอะ” เขาตอบ


..........................................

ฉันเองก็ไม่ได้กลับบ้านเหมือนกัน เพราะแม่บอกว่า
“เทศกาลคนเยอะ ไม่ต้องมาหรอก ขับรถมาทางไกล แม่เป็นห่วง”

“ทั้งสามคนนั่นแหละ ไม่ต้องมา ค่อยมาตอนที่ไม่ใช่เทศกาล”

“บ้านจะกลับตอนไหนก็ได้ ทำงาน ทำเรื่องเรียนให้เสร็จก่อน แม่อยู่ที่บ้าน ไม่ไปไหน กลับมาเมื่อไหร่ก็ได้เจอ” เสียงแม่เข้มขึ้นแต่ยังอ่อนโยนเหมือนก่อน

ด้วยเหตุที่บ้านเราอยู่ไกลนัก ขณะที่พวกเราสามคนพี่น้อง เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครได้กลับไปอยู่กับแม่สักคน ที่แม่ย้ำนักย้ำหนาเรื่องกลับบ้านก็เพราะพวกเราเคยทำให้แม่เซอร์ไพร้ (Surprise - ไม่รู้จะใช้คำไทยคำไหนดีให้รู้สึกเหมือนคำนี้ จึงขออนุญาตใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทยนะคะ) ด้วยการกลับบ้านพร้อมกันแบบไม่บอกล่วงหน้าแถมยังขับรถไปกันทั้ง สามคนอีก ทำให้แม่เซอร์ไพร้จริง ๆ

พวกเรา 3 คน วิ่งแข่งกันเข้ากอดแม่ “คิดถึงแม่จังเลย”
“คราวหน้าไม่ต้องนะ แม่หัวใจจะวาย” แม่พูดพลางกอดเราสามคน เอาไว้ในอ้อมกอด (แต่จริง ๆ กอดไม่หมด เพราะถึงพี่สาวจะรูปร่างบอบบางก็เถอะ แต่แค่ฉันกับน้องชายก็ล้นแล้ว)
ฉันเห็นน้ำในตาของแม่ปริ่มขอบตาทุกครั้งที่ได้เจอพวกเรา และทุกครั้งที่เราต้องจากกัน

ทุกครั้งที่กลับบ้านแม่จะสรรหาของถูกปากของพวกเราไว้เสมอ

“น้องเจอยากกินขนมจีนไหม”
“พี่จูนจะกินแกงส้มรึเปล่า”
“น้องจอมกินแกงไข่ปลามั๊ยลูก”
แม่จะทำกับข้าว ทำขนมทั้งวัน เคยห้ามบอกแม่ไม่ต้องทำหรอก กลัวแม่เหนื่อย ไม่คิดว่าแม่จะร้องไห้ “แม่อยากทำให้ลูก แม่ไม่เหนื่อย ถ้าไม่ให้แม่ทำให้ลูกของแม่ แม่จะเสียใจมาก”

..........................................

กลับจากบ้านมากรุงเทพฯคราวนั้น แม่เลยไม่ต้องนอนไปอีกคนนึง เพราะมัวแต่โทรศัพท์หา
“ถึงไหนแล้วลูก”
“ขับรถดี ๆ นะ”
“ถ้าง่วงก็จอดนอนนะ ถึงช้าก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ใครรีบให้เขาไปก่อนนะ ไม่ต้องไปรีบตามเขา”
ฯลฯ
“ค่ะ/ครับ แม่” พวกเราพูดพร้อมกัน อดยิ้มมองหน้ากันไม่ได้ พวกเราเข้าใจ ‘แม่เป็นห่วง’
..........................................

ตันทุนยังร้องไห้ไม่หยุด ฉันไม่เคยเห็นเขาอ่อนแอขนาดนี้ มาก่อน เขาเป็นคนเข้มแข็งเสมอ เป็นคนที่เพื่อน ๆ พึ่งพาได้ทุกครั้ง ตันทุนไม่เคยปฏิเสธการร้องขอจากใคร เขาช่วยทุกอย่างที่ช่วยได้ เขายังเคยบอกฉัน “มีอะไรให้ช่วยบอกนะ ไม่มีเงิน แต่มีแรง ให้ช่วยอะไรก็ได้”

มาวันนี้ภาพชายหนุ่มแข็งแรงคนเก่าไม่มีหลงเหลืออยู่เลย โชวินแฟนสาวนั่งนิ่งคงไม่รู้จะปลอบยังไงเหมือนกัน
“แม่ตายแล้ว แม่ไม่มีแล้ว” เขายังพูดคำเดิมซ้ำ ๆ น้ำตาไหลนอง

“เป็นอะไร ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เล่า” ฉันยังพูดได้แค่คำเดิมเหมือนกัน
เขาเล่าว่าแม่ตายเกือบเดือนแล้ว ครั้งล่าสุดที่เขาส่งเงินไปให้ แม่ยังไม่เป็นไร แม่ป่วยแล้วตายหลังจากนอนป่วยได้แค่ 3-4 วัน วันนี้เขาโทรไปหาแม่ที่พม่า เพื่อนบ้านที่มีโทรศัพท์บอกเขาว่าแม่ตายแล้ว เผาศพไป 3 อาทิตย์แล้ว
เขาไม่รู้...ไม่รู้เลย ว่าแม่ตายแล้ว

ตันทุนมีน้องสาว 2 คน อยู่ที่ย่างกุ้งบ้านเกิดแต่ตอนนี้ต้องย้ายออกไปอยู่กับญาติที่เมียวดีเพราะน้าชายยึดเอาบ้านและที่ดินไปหมด

“เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง น้องผมจะไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง บ้านมีแต่อยู่ไม่ได้”
เขาเล่าว่า ถ้าเขาอยู่น้าชายคงไม่กล้า แต่เพราะรู้ว่าเขาอยู่เมืองไทยยังไงก็กลับไปพม่าตอนนี้คงไม่ได้
“แม่ตายแล้ว ผมจะกลับบ้านไปหาใคร”

..........................................

หลังจากวันนั้น ตันทุนก็เงียบลงกว่าเดิมมาก ฉันเห็นแล้ว อดใจหายไม่ได้ ชีวิตแรงงานพม่าเป็นเหมือนตันทุนอีกหลายคนนัก ต้องจากพ่อแม่มาโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปยังอ้อมกอดของครอบครัวและต้องสูญเสียคนที่รักโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จุดธูปบอกลา

“คิดถึงแม่จังเลย” ฉันรีบต่อสายโทรศัพท์หาแม่ “แม่ก็ คิดถึงลูก” เสียงบุพการีชัดใส

ฉันยังโชคดีที่มีแม่ให้กอด
“อาทิตย์หน้าจะกลับบ้านนะ”