ตอบคุณนคร ไทยใหญ่:คนไร้รัฐในทัณฑสถาน

โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

ความนำ

ด้วยว่า ผู้เขียนมีหน้าที่จะต้องไปตรวจเยี่ยมเชิงกัลยาณมิตรตามเรือนจำและสถานพินิจเป็นเวลามากว่า 3 ปีแล้ว และได้พบเห็นคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติที่ต้องเข้าไปอยู่ในทัณฑ์สถานในทุกแห่งที่ไปเยี่ยม จึงตั้งใจที่จะเขียนถึงคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติประเภทนี้มานานแล้ว ประจวบกับคุณนคร ไทยใหญ่ ซึ่ง“ถูกคุมขัง อยู่ที่ รจก. คลองไผ่”ได้เขียนจดหมายมาถามปัญหาสถานะบุคคลผ่านท่านบรรณาธิการสาละวินโพสต์ ผู้เขียนจึงถือโอกาสนี้ที่จะเขียนถึง “คนไร้รัฐคนไร้สัญชาติในทัณฑ์สถาน” เสียที


คุณนครเขียนมาว่า “ผมชอบอ่านสาละวินโพสต์เป็นประจำ ซึ่งทำให้ผมได้รับรู้ข่าวสารต่างๆ จากประเทศพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องข่าวของบุคคลไร้รัฐ หรือบุคคลที่พยายามร้องขอสัญชาติไทย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมมีเรื่องที่จะรบกวนถามท่านนิดหนึ่งนะครับ ผมอยากทราบว่า เป็นไปได้ไหมที่ผมจะร้องขอมีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากพ่อของผม ซึ่งเป็นคนไทย มีสัญชาติไทยมาโดยตลอดตั้งแต่เกิด ปัจจุบันพ่อแม่ของผมยังมีชีวิตอยู่ ไม่ทราบว่า ผมพอมีโอกาสขอมีสัญชาติไทยหรือไม่ หากเป็นไปได้ ผมต้องดำเนินการอย่างไร และติดต่อหน่วยงานใด? หากเป็นไปไม่ได้ เป็นเพราะสาเหตุใด ? ช่วยกรุณาสอบถามจากผู้มีความรู้ด้านนี้”

นคร ไทยใหญ่ : คนเดินเรื่อง

ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า คุณนคร ไทยใหญ่มีอายุ 32 ปี จึงเดาว่า คุณนครน่าจะเกิดในราวปี พ.ศ.2517จากบิดาซึ่งเป็นคน สัญชาติไทยและมีมารดาเป็นคนไทยใหญ่ คุณนครเล่าว่า มารดามีสัญชาติพม่า ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนสงสัยว่า คุณนครจะเข้าใจผิดในข้อกฎหมายไหม? คนไทยใหญ่จะคิดว่า ตนเองมีสัญชาติพม่า ซึ่งก็อาจจะไม่ผิดในแง่กฎหมายพม่าว่าด้วยสัญชาติ แต่ในแง่ของกฎหมายพม่าว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หากยังไม่มีการรับรองความเป็นคนสัญชาติพม่าในฐานข้อมูลประชากรของรัฐพม่า คนที่เกิดในพม่าก็ยังไม่อาจอ้างสิทธิในสัญชาติพม่าได้ กรณีนี้ก็เป็นในลักษณะเดียวกันกับคนที่เกิดในไทยหรือมีบิดามารดาเป็นคนสัญชาติไทย แม้ว่าจะอ้างว่ามีข้อเท็จจริงครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดในกรณีของคนสัญชาติไทย แต่เมื่อฝ่ายปกครองไม่ยอมรับในข้อเท็จจริงนี้ บุคคลดังกล่าวก็ไม่อาจใช้สิทธิในสัญชาติไทยได้ อาทิ จอบิ คนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงซึ่งเกิดในประเทศไทยจากบุพการีกะเหรี่ยงดั้งเดิมแห่งเพชรบุรี ก็ยัง “ถูกถือ” เป็นคนต่างด้าวเพราะอำเภอแก่งกระจานไม่ยอมบันทึกในทะเบียนราษฎรว่า “จอบิเป็นคนสัญชาติไทย” กรณีนี้ยังอยู่ในศาลปกครองซึ่งคงจะใช้เวลาอีกนาน แต่ก็คงคุ้มค่าที่จะถามกระบวนการยุติธรรมไทยถึงสถานะบุคคลของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในประเทศไทย แต่ที่ไม่คุ้มค่าแน่นอนก็คือ ความรู้สึกดีๆ ที่ชนพื้นเมืองมีต่อรัฐบาลไทยคงจะสึกกร่อนลงไปเรื่อย ๆ สถานการณ์การวางระเบิดในภาคใต้ในสถานที่ราชการก็เป็นสัญญาณที่เตือนข้าราชการไทยได้ดีว่า การไม่เอื้ออาทรต่อชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อชาติ และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่นั้น ย่อมมีผล ทำลายความมั่นคงของประเทศไทยในระยะยาว และจะกลายเป็นปัญหาเชิงสังคมวิทยาการเมือง ฝังลึก แก้ไขยาก แต่สิ่งที่น่าเศร้าใจก็คือภาคการเมืองและภาคราชการไทยไม่เข้าใจในสัญญาณอันตรายตรงไหนเลย

นคร ไทยใหญ่ : เป็นคนสัญชาติพม่าจริงหรือ ?

กลับมาที่เรื่องของมารดาของคุณนคร ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า เธอจะได้รับการลงรายการสัญชาติพม่าในทะเบียนราษฎรของประเทศพม่าหรือไม่ ? หากว่า “ไม่” เธอก็เป็นเพียง “คนไร้รัฐในประเทศพม่า” ซึ่งรอการเยียวยาโดยรัฐพม่าในอนาคตหรืออาจเป็นรัฐอื่นที่ยื่นมือมารับเธอไว้ในความเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” ซึ่งอาจจะให้เพียงสิทธิอาศัย หรือให้ตลอดไปถึงสัญชาติก็เป็นได้

ถ้ารัฐบาลพม่ารับรองความเป็นคนสัญชาติพม่าของมารดา ก็เป็นไปได้ที่คุณนครจะมีสถานะเป็น “คนสัญชาติพม่า” โดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา

นคร ไทยใหญ่ : อาจเป็นคนสัญชาติไทยโดยหลัก สืบสายโลหิตจากบิดาหรือไม่ ?
แต่ในเมื่อบิดาเป็นคนสัญชาติไทย คุณนครจะอาจได้สัญชาติไทยจากบิดาหรือไม่ ?
คำตอบขึ้นอยู่กับว่า บิดามารดาจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายก่อนการเกิดของคุณนครหรือไม่ ?

ถ้าใช่ คุณนครก็จะมีสถานะเป็น “คนสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดา” ซึ่งในกรณีนี้ คุณนครก็ต้องนำเอาตัวบิดาไปร้องขอพิสูจน์สัญชาติไทยต่ออำเภอที่บิดามีทะเบียนบ้านอยู่ โดยนำพยานหลักฐานดังต่อไปนี้ (1) บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนราษฎรของบิดา และ (2) สำเนาทะเบียนสมรสระหว่างบิดาและมารดา ซึ่งหากถ้าคุณนครมีหลักฐาน ครบถ้วนและอำเภอปฏิเสธ คุณนครก็อาจใช้สิทธิขอความยุติธรรมต่อศาลปกครองให้บังคับอำเภอยอมรับความเป็นคนสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตของบิดา

แต่ถ้าบิดามารดาไม่ได้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย คุณนครก็ไม่ได้สัญชาติไทยตามบิดา ก็ต้องไปพิจารณาต่อไปว่า คุณนครอาจได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนหรือไม่ ?


นคร ไทยใหญ่ : อาจเป็นคนสัญชาติไทยโดยหลัก ดินแดนหรือไม่ ?


คุณนครเกิดในประเทศไทยหรือไม่ ?

คุณนครเล่าว่า “พ่อแม่แยกทางกันหลังจากผมเกิดไม่ถึงปี ผมเกิดแถวชายแดนด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมก็ติดไปอยู่กับแม่ฝั่งพม่า ผมเข้ามาในประเทศไทยปี 2532 เพื่อมาหาพ่อ ผมมาอยู่บ้านพ่อที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่เห็นว่าพ่อมีความสุขกับครอบครัวใหม่ ผมได้ออกจากบ้านเพื่อมาหางานทำที่กรุงเทพ โดยไม่มีบัตรประชาชนจนกระทั่งถูกจับ...ผมถูกจับข้อหาจำหน่ายยาเสพติดเมื่อหลายปีก่อน”

ผู้เขียนจึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่า คุณนครเกิดในประเทศไทย แม้คุณนครจะเล่าว่า “ผมไม่มีใบแจ้งเกิด เนื่องจากแม่ผมทำคลอดโดยหมอตำแย” แต่พยานหลักฐานตามกฎหมายว่าด้วยพยานนั้น อาจหมายถึงพยานบุคคลได้ด้วย ต้องถามคุณนครต่อไปว่า หมอตำแยที่ทำคลอดคุณนครยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ? มีเพื่อนบ้านที่เห็นการอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาของบิดามารดา และเห็นการเกิดของคุณนครหรือไม่ ? ซึ่งโดยเหตุผลก็จะต้องมี คุณนครจึงต้องหาพยานบุคคลเหล่านี้มาพิสูจน์ให้ได้ว่า คุณนครเกิดที่แม่ฮ่องสอน

ในการพิสูจน์สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนของคุณนครนั้น คุณนครก็จะต้องนำบิดาและพยานบุคคลทั้งหมดไปที่อำเภอที่บิดาคุณนครมีทะเบียนบ้าน และร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนของบิดา โดยอ้างข้อเท็จจริง 2 ประการดังต่อไปนี้ (1) เกิดในประเทศไทย ซึ่งพยานหลักฐานก็คือ พยานบุคคลที่รู้เห็นการเกิดในประเทศไทยของคุณนคร และ (2) บิดาเป็นคนสัญชาติไทย ซึ่งบิดาในกรณีนี้อาจจะเป็นบิดาตามข้อเท็จจริงหรือตามกฎหมายก็ได้ พยานหลักฐานที่จะแสดงความมีสัญชาติไทยของบิดาก็คือ เอกสารรับรองความเป็นคนสัญชาติไทยของบิดา อันได้แก่ ทะเบียนบ้าน (ทร.14) และบัตรประจำตัวประชาชนคนสัญชาติไทย นอกจากนั้น ในส่วนการพิสูจน์ความเป็นบิดาและบุตร ก็อาจใช้พยานบุคคลที่รู้จักคุณนครและบิดาและเห็นการเติบโตของคุณนครตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน หรือใช้พยานวัตถุ อันได้แก่ เลือดในตัวคุณนครและบิดาเพื่อตรวจ DNA ซึ่งถ้าผลปรากฏว่า เป็นบิดาบุตรกันจริง พยานบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นบิดาบุตรก็ไม่จำเป็น

หากพิสูจน์ได้ครบองค์ประกอบตามกฎหมายดังกล่าว ก็จะฟังได้ว่า คุณนครมีสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดโดยหลักดินแดน และหากอำเภอปฏิเสธ ก็อาจใช้สิทธิทางศาลปกครองเพื่อพิสูจน์ต่อไปได้เช่นกัน

ในกรณีที่กระบวนการถึงศาลปกครอง และศาลเองก็ไม่เชื่อในพยานหลักฐานของคุณนคร คุณนครก็มีทางเลือกได้ 2 ทางเพื่อเข้าสู่สัญชาติไทย (1) ร้องขอสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ต้องมีพยานบุคคลน่าเชื่อถือได้ว่า เกิดในประเทศไทย หรือ (2) ในกรณีที่ไม่มีพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ว่าเกิดในประเทศไทยก็จะต้องร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

นคร ไทยใหญ่ : สถานะบุคคลตามกฎหมายในวันนี้

จะเห็นว่า ถ้าคุณนครมีชื่อในทะเบียนราษฎรพม่า คุณนครก็จะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อรับโทษจนสิ้นสุดแล้วก็จะถูกส่งกลับออกไปในประเทศพม่า แต่ถ้าคุณนครไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐใดเลยในโลก กฎหมายไทยว่าด้วยคนเข้าเมืองของประเทศไทยก็ยังถือว่าคุณนครเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และเมื่อพ้นโทษก็ต้องถูกผลักดันให้กลับออกไปในประเทศพม่าเช่นกัน

ข้อยกเว้นประการเดียวที่จะไม่ส่งตัวคุณนครออกไปจากประเทศไทยก็คือการส่งออกไปประเทศพม่านั้นจะทำให้คุณนครเสี่ยงภัยความตาย

แต่หากคุณนครสามารถพิสูจน์สัญชาติไทยได้ เมื่อพ้นโทษแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็ไม่อาจส่งตัวคุณนครออกไปจากประเทศไทย

ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้คุณนครติดต่อบิดาเพื่อเร่งดำเนินการพิสูจน์สัญชาติไทย ซึ่งหากต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมายก็ขอให้คุณนครหรือบิดาติดต่อสภาทนายความ หรือศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ หรือศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

นคร ไทยใหญ่ : เขามีสิทธิทางการศึกษาในประเทศไทยหรือไม่ ?

คุณนครยังเล่าอีกว่า “ในฐานะคนไม่มีบัตรประชาชน ผมถูกตัดสิทธิ์หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการศึกษา เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดแสดง ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเรือนจำ ผมพยายามศึกษาด้วยตัวเองจนอ่านออกเขียนได้พอสมควร แต่ผมไม่สามารถเข้ารับศึกษาในระบบโรงเรียนที่เปิดสอนภายในเรือนจำได้...”

ในประเด็นเรื่องสิทธิทางการศึกษานี้ ไม่มีข้อจำกัดสำหรับมนุษย์ในสังคมไทย อาจมีความเข้าใจผิดในเหล่าผู้อำนวยการโรงเรียน กศน. ที่ไม่ทราบในหลัก Education for all ซึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 อย่างชัดเจน และมีมติคณะรัฐมนตรียืนยันเรื่องนี้หลายครั้ง

ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะประสานงานกับคณะอนุกรรมการด้านราชทัณฑ์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ทราบถึงความเข้าใจผิดของโรงเรียน กศน. ซึ่งทำงานในทัณฑ์สถานที่คุณนครอยู่ เพื่อให้เข้าใจในสิทธิของคุณนครทางด้านการศึกษา ในระหว่างการต้องขังเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา คุณนครก็มีสิทธิที่จะเรียนได้และได้รับวุฒิการศึกษาตามที่ได้เล่าเรียน

คุณนครกล่าวว่า “ความฝันที่อยากเรียนสูงๆ ของผมจึงได้แต่ฝัน ผมคิดว่าหากผมสามารถร้องขอความเป็นคนไทย หรือ สัญชาติไทยตามพ่อผมได้ ผมคงได้รับสิทธิ์อื่นๆ มากมายเหมือนคนไทยทั่วไป หรือว่ามันคงเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง อย่างไรก็ตาม ผมจะรอฟังคำตอบจากท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากท่านบรรณาธิการ”

ผู้เขียนใคร่เรียนให้คุณนครและท่านที่มาอ่านบทความนี้ ทราบว่า สิทธิทางการศึกษาเป็นสิทธิของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมีสัญชาติ หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นคนสัญชาติไทย อาจจะมีความเข้าใจผิดในพนักงานเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้ แต่หากคุณถูกละเมิดสิทธิทางการศึกษา กฎหมาย สภาทนายความ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและศาลปกครองจะยืนอยู่ข้างเดียวกับคุณค่ะ