แม่ตาวคลินิก แสงสว่างในความมืดบนชายแดนตะวันตก

โดย ธันวา สิริเมธี



เด็กชายโมเช่อายุ 12 ปี เกิดที่เมืองพะอัน จังหวัดเมียวดี ประเทศพม่า เริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจรูมาติค ตั้งแต่อายุ 7 ปี ทำให้เขาไม่สามารถวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไป แม่เคยพาไปพบหมอที่โรงพยาบาลในกรุงย่างกุ้ง หมอบอกว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดให้เร็วที่สุดก่อนที่อาการจะหนักจนลิ้นหัวใจตีบแคบลงและเสียชีวิตในที่สุด

เนื่องจากครอบครัวของเด็กชายมีฐานะยากจนเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศพม่า ลำพังรายได้กับค่าใช้จ่ายประจำวันยังแทบไม่เพียงพอ โอกาสเก็บเงินค่าผ่าตัดลูกชายเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ผู้เป็นแม่จึงต้องทนเฝ้าดูลูกชายเดินเข้าใกล้ความตายอย่างทุกข์ทรมานใจ

วันหนึ่ง คนในหมู่บ้านมาบอกว่าที่ชายแดนไทยมีคลินิกแห่งหนึ่งรักษาโรคให้กับผู้ป่วยจากประเทศพม่าโดยไม่คิดค่ารักษา หากโชคดีเด็กชายอาจได้รับการผ่าตัด ได้ยินดังนั้น ผู้เป็นแม่จึงรวบรวมเงินค่า
เดินทางพาลูกชายที่กำลังนอนรอความตายขึ้นรถมุ่งหน้ามายังแม่น้ำเมย พรมแดนธรรมชาติที่กั้นขวางชีวิตอันแตกต่างราวฟ้ากับดินของผู้คนบนสองแผ่นดินเอาไว้



ไม่กี่วันต่อมา เด็กชายถูกส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แพทย์ระบุว่า เด็กชาย ต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด โดยมีค่ารักษาเป็นเงินสองแสนบาท ทางคลินิกพยายามรวบรวมเงินบริจาคอยู่นานหลายเดือนแต่ก็ไม่สามารถหาได้ครบจำนวน หัวใจในร่างผอมบางค่อย ๆ เต้นช้าลงทีละน้อย

แต่แล้วท่ามกลางความมืดมิดสิ้นหวัง แสงสว่างก็เริ่มเล็ดลอดเข้ามาส่องนำทางสู่ชีวิตใหม่
ทางโรงพยาบาลได้ยื่นข้อเสนอลดค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีผู้ใจบุญเสนอให้ความช่วยเหลือ

หลายเดือนผ่านไป จดหมายลายมือโย้เย้ฉบับหนึ่งเดินทางจากอำเภอแม่สอดไปถึงโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่ ภายในมีข้อความว่า

“ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับผม”

บนถนนจากอำเภอแม่สอดสู่สะพานมิตรภาพไทย-พม่า เด็กชายโมเช่กำลังนั่งรถมุ่งหน้าสู่ริมน้ำเมยเพื่อข้ามพรมแดนกลับไปสู่แผ่นดินเกิดพร้อมกับหัวใจดวงเดิมที่ผ่านการซ่อมแซมจนหายเป็นปกติ


...ปลายทางเดียวกัน.........................

ทุกๆ เช้าวันจันทร์บนรถสองแถวสายริมแม่น้ำเมย อำเภอแม่สอดมักคลาคล่ำไปด้วยผู้ป่วยและญาติจากหลากหลายพื้นที่ของประเทศพม่าที่มุ่งหน้าสู่ปลายทางเดียวกัน เมื่อรถจอดหน้า “แม่ตาวคลินิก” ผู้โดยสารเกือบทั้งคันทยอยก้าวลงจากรถ บ้างอุ้มลูกน้อยอาการตัวหนาวสั่น บ้างหอบหิ้วร่างพิการไร้ขา บ้างท้องแก่ใกล้คลอด แต่ละคนเดินตรงเข้าไปรอคิวทำบัตร ก่อนจะแยกย้ายไปตามแผนกตรวจโรคต่างๆ

ภายในแผนกตรวจโรคเด็กที่กำลังคลาคล่ำไปด้วยพ่อแม่และลูกน้อยหลายสิบคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหญิงมีศีรษะโตผิดปกติวัย 13 เดือนกำลังนอนหน้าซีดด้วยพิษไข้อยู่บนตักแม่

มะวินมินท์ แม่ลูกสามวัย 36 ปี เล่าถึงอาการผิดปกติของลูกสาวคนเล็กว่า

“ตอนตั้งท้อง ฉันรู้สึกเหมือนมีถุงน้ำใหญ่ๆ อยู่ข้างใน เวลาเดินรู้สึกเหมือนมีถุงน้ำแกว่งไปมา ไม่สามารถนอนหรือนั่งเหมือนกับตอนท้องลูกสองคนแรก พอคลอดออกมาก็พบว่าลูกหัวโตผิดปกติและโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 4 เดือน ทางคลินิกจึงส่งไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลแม่สอด
ตอนนี้เริ่มยุบลงบ้างแล้วแต่ก็ยังใหญ่กว่าเด็กปกติ และลูกยังนั่งหรือกินอาหารเองไม่ได้”

บ้านเดิมของเธอยู่ในหมู่บ้านชนบทของจังหวัดเมียวดี เนื่องจากรายได้ในหมู่บ้านไม่เพียงพอ เธอและสามีจึงอพยพมาทำงานที่ตัวเมือง โดยฝากลูกสองคนไว้กับตายาย เมื่อลูกสาวคนเล็กป่วยเป็นโรคร้าย เธอจึงไม่สามารถช่วยสามีทำงานหาเงินได้ ส่วนสามีมักป่วยเป็นโรคมาเลเรียบ่อยๆ จึงทำงานได้ไม่เต็มที่
ทุกวันนี้ครอบครัวของเธอต้องอยู่อย่างอดๆ อยาก ๆ ลูกอีกสองคน
ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสียค่าใช้จ่ายสารพัดของโรงเรียน บางครั้งเธอต้องกู้เงินเพื่อนบ้านเพื่อมาซื้ออาหารประทังชีวิต รวมทั้งค่าเดินทางมายังคลินิกแห่งนี้เช่นกัน

เหตุผลที่ทำให้มะวินมินท์และผู้ป่วยจากประเทศพม่าต้องเก็บเงินค่าเดินทางข้ามชายแดนมารักษาที่คลินิกแห่งนี้เพราะค่ารักษาที่โรงพยาบาลในพม่ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับรายได้อัน
น้อยนิดของประชาชน รัฐบาลไม่มีงบประมาณช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ รวมทั้งคุณภาพการรักษาโรคในโรงพยาบาลหลายแห่ง
ต่ำกว่ามาตรฐาน

เส่ง วิน ชายวัย 40 ปีจากเมืองเมาะละแหม่ง ภาคใต้ของประเทศพม่า เป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่พยายามเก็บเงินค่ารักษาดวงตาของเขามานาน 8 ปีแต่ไม่สามารถทำได้ เมื่อได้ข่าวว่า แม่ตาวคลินิกจะมีทีมแพทย์ต่างประเทศมาตรวจรักษาตาให้ฟรี เขาจึงยืมเงินค่าเดินทางประมาณ 500 บาทเพื่อมารักษาที่นี่โดยใช้เวลานั่งรถ 1 วันเต็ม

“ผมเกิดอุบัติเหตุที่ตาข้างขวาระหว่างทำงานสร้างถนนในพม่าเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เนื่องจากผมไม่มีเงินไปรักษาที่โรงพยาบาลจึงซื้อยามาหยอดตาเองที่บ้าน จนกระทั่งตาเริ่มมองไม่เห็น ค่าผ่าตัดที่โรงพยาบาลของรัฐคิดเป็นเงินไทยประมาณ 9,000 บาท ผมพยายามเก็บเงินมาตลอด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมมีรายได้จากการรับจ้างประมาณวันละ 35 บาท แค่ซื้อข้าวสำหรับตัวเองกับลูกอีกหนึ่งคนก็ไม่พอแล้ว บางวันก็ไม่มีรายได้เพราะถูกทหารพม่าบังคับไปทำงานให้กองทัพ”

ส่วนเด็กหญิง ละ ละ เอ วัย 16 ปี ป่วยเป็นโรคหัวใจรั่วมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าบ้านของเธออยู่ในเมืองหลวงของประเทศพม่า และแม่จะเคยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วหลายครั้ง แต่ สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจมารักษาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับทุกคน

“แม่เคยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลในย่างกุ้งหลายครั้ง ก่อนไปโรงพยาบาลทุก ๆ ครั้งเราต้องแวะเอาของใช้ในบ้านไปจำนำ หลังจากไม่มีของมีค่าเหลืออยู่ในบ้านแล้ว แม่จึงตัดสินใจพาฉันมาที่นี่”

ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เด็กหญิงได้รับข่าวดีจากทางแม่ตาวคลินิกว่า เธอกำลังจะได้รับการผ่าตัดปิดรูรั่วที่หัวใจ แม่รีบวิ่งเต้นหยิบยืมเงินค่าเดินทางอยู่นานครึ่งเดือน แต่ก็ได้เงินสำหรับค่าเดินทางของเธอเพียงคนเดียว แต่เนื่องจากเธอจำเป็นต้องมีญาติคอยดูแลหลังการผ่าตัด ทางแม่ตาวคลินิกจึงช่วยสนับสนุน เงินค่าเดินทางให้กับแม่ของเธอ เด็กหญิงดีใจมากที่จะได้กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำงานได้เหมือนคนปกติ ไม่ต้องเป็นภาระของใครอีกต่อไป

อีกไม่นานเด็กหญิงละ ละ เอ ก็จะได้นั่งรถกลับไปยังแม่น้ำ เมยด้วยร่างกายที่แข็งแรงเหมือนคนปกติ เช่นเดียวกับผู้ป่วยไข้หลายแสนคนที่เดินทางมารักษาที่นี่ตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา

...17 ปีคลินิกหมอกะเหรี่ยง.........................

เมื่อ17 ปีก่อน แม่ตาวคลินิกมีเพียงอาคารไม้เก่า ๆ หนึ่งหลังเพื่อใช้ดูแลพักฟื้นผู้ป่วยจากการรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด ในเวลานั้นมีเพียงแพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงชื่อว่า “ซินเทีย” ทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงเล่าถึงเหตุผลที่เปิดคลินิกว่า

“ตอนเริ่มแรก ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดคลินิกรักษาโรค ฉันเดินทางมาถึงที่นี่พร้อมกับเพื่อนนักศึกษาพม่าที่เดินขบวนประท้วงเมื่อปี ค.ศ. 1988 ในตอนนั้น นักศึกษาหลายคนหลบหนีเข้าป่าใกล้ชายแดนไทย เมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บหนัก พวกเขาจำเป็นต้องมาโรงพยาบาลในอำเภอแม่สอด ฉันจึงเริ่มต้นหาสถานที่สำหรับพักฟื้นผู้ป่วยเหล่านี้ก่อนและหลังเข้าโรงพยาบาล โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยในท้องถิ่น องค์กรด้านศาสนา และองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาประเทศ”

ในเวลานั้น ทุกคนตั้งใจขอหลบภัยอยู่บนแผ่นดินไทยเป็นชั่วคราว หากสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นเมื่อไหร่จะรีบกลับบ้านเกิด แต่หลายปีผ่านไป สถานการณ์กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวัง สงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นทุกหัวระแหง การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรงมากขึ้น เศรษฐกิจตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนทำให้ผู้คนนับล้านต้องอพยพหลั่งไหลข้ามชายแดนมายังประเทศไทย

“เมื่อปีที่ผ่านมา คลินิกของเราให้การรักษาผู้ป่วยเกือบ 50,000 คน ป่วยเป็นโรคประมาณ 80,000 โรค เนื่องจากผู้ป่วยบางคนป่วยหลายโรคพร้อมกัน ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นประชาชนจากประเทศพม่าทั้งหมด โดยครึ่งหนึ่งมาทำงานอยู่ในอำเภอแม่สอด อีกครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในฝั่งพม่าแต่เดินทางมาเข้ารับการรักษาที่นี่ ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศพม่ามักมีอาการหนักกว่าผู้ป่วยที่ทำงานอยู่ในแม่สอด เพราะการเดินทางยากลำบาก กว่าจะมาถึงอาการมักจะทรุดหนัก”

ทุกวันนี้ แม่ตาวคลินิกมีอาคารเพิ่มขึ้นหลายหลังจนคล้ายโรงพยาบาลขนาดเล็ก มีเตียงผู้ป่วยอย่างน้อย 160 เตียง ขยายการให้บริการรักษาโรคและดูแลสุขภาพถึง 11 โครงการ ตั้งแต่โรคทั่วไป ผ่าตัดเบื้องต้น ผดุงครรภ์ สุขภาพเด็ก ห้องแล็บและธนาคารเลือด ผ่าตัดตา ผลิตขาเทียม ป้องกันเอชไอวี/เอดส์ รักษามาเลเรีย ตรวจวัณโรคและส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงการให้บริการดูแลสุขภาพและความรู้กับชุมชนแรงงานอพยพในอำเภอแม่สอด

ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่ายังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงจึงเปิดหลักสูตร อบรมเจ้าหน้าที่การแพทย์เพื่อทำงานในคลินิกหรือกลับไปในงานในประเทศพม่าโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรการแพทย์ระดับสากลหลายองค์กร

ปัจจุบัน แม่ตาวคลินิกผลิตบุคลากรทางการแพทย์รวมแล้วไม่น้อยกว่า 500 คน ส่วนหนึ่งทำงานอยู่ในคลินิก ส่วนหนึ่งเดินทางกลับไปเยียวยาผู้ป่วยในประเทศพม่า ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้าน เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่ามองว่าคลินิกแห่งนี้เป็นของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร เจ้าหน้าที่ที่เรียนจบจากที่นี่จึงเป็น “กบฏ” ในสายตาของรัฐบาลทหาร

พื้นที่ทำงานในประเทศพม่ามี 2 ลักษณะ คือ พื้นที่การสู้รบ และพื้นที่เจรจาหยุดยิง พื้นที่แรก เจ้าหน้าที่จะตั้งคลินิกหลบซ่อนในป่าบริเวณที่มีผู้พลัดถิ่นภายในอาศัยอยู่และเคลื่อนย้ายหนีทหารพม่าไปเรื่อย ๆ โดยต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเหยียบกับระเบิดหรือถูกทหารพม่ายิงทิ้ง ส่วนพื้นที่หลัง เจ้าหน้าที่จะต้องปกปิดทางการพม่าว่าได้รับการอบรมการแพทย์และยารักษาโรคจากแม่ตาวคลินิก มิฉะนั้นจะถูกจับและถูกปิดคลินิก

หมอซินเทียเล่าถึงความเสี่ยงและมุ่งมั่นที่จะกลับไปทำงานเพื่อชุมชนของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ว่า
“เจ้าหน้าที่หญิงชาวปะหล่องคนหนึ่งไม่สามารถตั้งคลินิกในเขตหยุดยิงได้จึงต้องหลบซ่อนในป่า ระหว่างที่เธอเดินทางกลับมาประสานความช่วยเหลือจากคลินิกของเรา เธอถูกทหารพม่าจับได้และค้นพบเอกสารที่มีชื่อคลินิกของเราอยู่ในกระเป๋า จึงถูกจับขังคุกอยู่ 6 เดือน หลังออกจากคุก เธอยังคงกลับไปตั้งคลินิกหลบซ่อนอยู่ในป่าเหมือนเดิม”

แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงสรุปถึงเหตุผลที่พวกเขาและเธอมีหัวใจกล้าหาญเช่นนี้ว่า

“พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะมาทำงานตรงนี้อยู่แล้ว เขาต้องการนำความรู้กลับไปช่วยชุมชนของตนเองอยู่แล้ว ยิ่งเห็นชุมชนของตนเองมีปัญหามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งอยากกลับไปทำงานให้หนักมากขึ้นเท่านั้น”

...เหยื่อบริสุทธิ์.........................

ที่อาคารผู้ป่วยใน เตียงเกือบ 50 เตียงเต็มแน่นไปด้วยผู้ป่วยอาการหนักเดินไม่ไหว เด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงด้วยอาการมาเลเรียขึ้นสมอง เขานอนนิ่งอย่างนี้มาเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ที่นั่งด้านข้างมีพ่อวัย 50 ปีนั่งมองลูกด้วยแววตา
เศร้าซึม

“ก่อนมาที่นี่ ผมเคยพาลูกไปที่โรงพยาบาลในเมียวดี แต่ที่นั่นไม่รับรักษา เพราะว่าเราไม่มีเงิน บอกว่าให้มาที่นี่ ตอนนั้นลูกยังเดินได้บ้าง แต่พอมาถึงได้สองวัน ลูกก็นอนนิ่งไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยเพราะเชื้อมาเลเรียขึ้นสมองไปแล้ว”

ที่เตียงผู้ป่วยใกล้กัน หญิงสาวเชื้อสายกะเหรี่ยงกำลังนอนหลับด้วยพิษไข้มาเลเรียเช่นกัน มือข้างหนึ่งถูกสามีกุมไว้ ส่วนลูกสองคนเดินไปมาอยู่ใกล้ ๆ ผู้เป็นสามีเล่าว่า
“ครอบครัวผมทุกคนเคยป่วยเป็นมาเลเรียและมารักษาที่นี่กันหมด ลูกบางคนเป็นมาแล้วสองครั้ง ที่โรงพยาบาลฝั่งโน้นไม่รักษาให้เพราะเราไม่มีเงิน เลยต้องพามาที่นี่”

แม้ว่าโรคมาเลเรียจะห่างหายไปจากคนไทยในเขตเมืองใหญ่นานหลายสิบปีแล้ว แต่โรคนี้ยังเป็นโรคอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตประชาชนในพม่าทุกวันนี้ รวมทั้งเป็นโรคที่ทำให้เด็กต่ำกว่า 5 ขวบเสียชีวิตมากที่สุดและเด็กทารกหลายคนจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้ฉลองวันเกิดครบรอบหนึ่งปี

รายงานผลการทำงานของแม่ตาวคลินิกเมื่อปีที่ผ่านมาเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ป่วยที่เดินทางข้ามชายแดนมาจากพม่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในบรรดาผู้ป่วยมาเลเรียขึ้นสมอง 2,000 คนที่เข้ารับการรักษา ร้อยละ 72 เดินทางมาจากประเทศพม่า

แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงเล่าถึงสถานการณ์ปัญหาสุขภาพของประชาชนจากประเทศพม่าว่า
“ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดคลินิก มาลาเรียเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ผู้คนมากมายเสียชีวิตเพราะโรคมาเลเรีย ในเวลาต่อมา เราพบโรคอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้น คือ การทำแท้ง เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่รู้จักวิธีคุมกำเนิด และการมีบุตรมากเกินไปทำให้ดูแลไม่ไหว ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปัญหาขาดสารอาหารในเด็ก และปัญหายาเสพติดและเอดส์ในกลุ่มหญิงขายบริการซึ่งกำลังรุนแรงมากขึ้น”

ข้อมูลจากรายงานทางการแพทย์ฉบับหนึ่งระบุว่า ห้องแล็บสำหรับตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพในพม่าเป็นสิ่งที่หายากมาก ห้องแล็บที่มีประสิทธิภาพมีเฉพาะที่กรุงย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งและสองของพม่าเท่านั้น ส่วนห้องแล็บในพื้นที่อื่นๆ มีอุปกรณ์ไม่ครบ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการถ่ายเลือดโดยไม่มีการตรวจสอบเชื้อเอชไอวี ส่งผลให้หลายคนได้รับเชื้อโรคร้ายจากโรงพยาบาล กลายเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ของระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลวในประเทศพม่า


นาง เอ (นามสมมติ) หญิงชาวพม่าวัย 35 ปี เป็นหนึ่งในเหยื่อบริสุทธิ์ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีจากการถ่ายเลือดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพม่าเมื่อสามปีก่อน
“ตอนฉันคลอดลูกคนเล็ก ฉันเสียเลือดมากจำเป็นต้องได้รับบริจาคเลือด ฉันเพิ่งมารู้ภายหลังว่าได้รับเชื้อเอชไอวีติดมาจากโรงพยาบาลด้วย หลังจากสามีรู้ว่าฉันติดเชื้อเอชไอวี เขาก็ทิ้งฉันกับลูกไป เพราะไม่เชื่อว่าฉันได้รับเชื้อมาจากโรงพยาบาล”

ปัจจุบัน โรคเอชไอวี/เอดส์กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังขยายตัวในพม่าและข้ามพรมแดนมายังประเทศเพื่อนบ้าน จากการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก WHO เมื่อปี พ.ศ. 2545 พบว่า ประชาชนในวัยผู้ใหญ่ทุก 1 ใน 29 คนจะมีเชื้อเอชไอวี และมีผู้เสียชีวิตในช่วงปีเดียวกันนี้ 48,000 คน

นอกจากโรคที่เกิดจากเชื้อโรค ยังมีโรคที่เกิดจากความรุนแรงของสงครามกลางเมืองซึ่งทางคลินิกได้ให้การรักษามาโดยตลอดและยังไม่มีวี่แววจะลดน้อยลง ทั้งโรคจากการเหยียบกับระเบิด ถูกทหารพม่าข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และบาดเจ็บจากอาวุธสงคราม โดยในปีที่ผ่านมา แผนกขาเทียมได้ผลิตขาใหม่ให้กับผู้ป่วยที่เดินทางมาที่นี่จำนวน 182 คน และยังจัดส่งขาเทียมเข้าไปในเขตประเทศพม่าสำหรับผู้พิการที่ไม่สามารถข้ามชายแดนมายังคลินิกแห่งนี้อีก 70 ขา

สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ แม้จำนวนผู้ป่วยจะหลั่งไหลข้ามชายแดน มารักษาที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่รัฐบาลทหารพม่ากลับยังคงนำงบประมาณจำนวนมหาศาลมาใช้ย้ายเมืองหลวงและขยายกองทัพให้ใหญ่โตมากขึ้นเพื่อสู้รบกับประชาชนของตนเอง ส่งผลทำให้ผู้ลี้ภัยต้องอพยพข้ามแดนมายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น หากรัฐบาลทหารนำเงินจำนวนนี้ไปใช้พัฒนาระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนผู้ยากไร้ จำนวนผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศพม่าก็คงจะลดน้อยลงและคงไม่มีใครต้องกลายเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ของระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลวดังเช่นที่ผ่านมา