โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
ความนำเรื่อง
นายอนุชิต สมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวอภิสกุลไพศาลเขียนจดหมายร้องทุกข์มาที่ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2549 มีใจความสำคัญว่า "....ในปีพ.ศ.2539 ทางอำเภอแจ้งว่า มีการเพิกถอนสัญชาติไทยของครอบครัวของข้าพเจ้าทั้งหมด....หลังจากนั้น ครอบครัวของข้าพเจ้าก็ได้พยายามขอเข้าพบและตรวจสอบหลักฐานที่อำเภอหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร...ข้าพเจ้าและครอบครัวจึงใคร่ให้ท่านโปรดให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวของข้าพเจ้าด้วย"
ครอบครัวอภิสกุลไพศาลคือใคร ?
ครอบครัวอภิสกุลไพศาลในวันนี้ก็คือครอบครัวแซ่ลี้ ในอดีต ซึ่งเริ่มต้นจากนายอาฝะ แซ่ลี้ ชายชาวลีซูคนหนึ่ง และนางเชี้ยวยีจึง แซ่ลี้ หญิงชาวลีซูอีกคนหนึ่ง ซึ่งบุคคลทั้งสองเกิดที่บ้านหัวแม่คำในประเทศไทย แต่บิดามารดาของทั้งอาฝะและเชี้ยวยีจึงเป็นชาวลีซูซึ่งเกิดในประเทศพม่า แล้วอพยพเข้ามา ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านหัวแม่คำตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2487 ในเวลาต่อมา ครอบครัวแซ่ลี้ได้ยอมรับความเป็นไทยโดยการขอเปลี่ยนชื่อ "สกุล" เป็น "อภิสกุลไพศาล" แต่อย่างไรก็ตาม การยอมรับที่จะมีชื่อสกุลไทยแทนชื่อสกุลในภาษาชาติพันธุ์ดั้งเดิมก็มิได้ทำให้ครอบครัวนี้พ้นไปจากโศกนาฏกรรมแห่งความไร้รัฐความไร้สัญชาติที่ชาวไทยภูเขาจำนวนมากประสบ
ครอบครัวอภิสกุลไพศาลตกเป็นคนไร้สัญชาติจริงหรือ ?
โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงของครอบครัวอภิสกุลไพศาล ดิฉันพบว่า ครอบครัวนี้อาจมีจุดเกาะเกี่ยวกับ 2 รัฐ อันได้แก่ ประเทศไทยและประเทศพม่า ในส่วนของประเทศพม่า ย่อมมีจุดเกาะเกี่ยวกับบิดาและมารดาของอาฝะและเชี้ยวยีจึง เพราะรัฐพม่าเป็นรัฐเจ้าของ ดินแดนที่เกิดของบิดามารดา แต่บุคคลนี้ก็ได้อพยพออกจากประเทศพม่ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนการเกิดของอาฝะและเชี้ยวยีจึง ซึ่งน่าจะก่อน พ.ศ.2500 และไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่รัฐพม่าจะรับบันทึกชื่อบิดาและมารดาของอาฝะและเชี้ยวยีจึง ในทะเบียนราษฎรของประเทศพม่า ดังนั้น จุดเกาะเกี่ยวระหว่างรัฐพม่าและครอบครัวอภิสกุลไพศาลจึงมิใช่จุดเกาะเกี่ยวที่ มีประสิทธิผล (Non-Effective Connecting Point) แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ย่อมมีจุดเกาะเกี่ยวกับอาฝะ และเชี้ยวยีจึง เพราะรัฐไทยเป็นรัฐเจ้าของดินแดนที่เกิดของ ครอบครัวอภิสกุลไพศาลทั้งหมด กล่าวคือ อาฝะและเชี้ยวยีจึง ตลอดจนบุตรอีก 11 คน นอกจากนั้น รัฐไทยยังเป็นรัฐเจ้าของถิ่นอันเป็นภูมิลำเนาของครอบครัวทั้งหมด แม้รัฐไทยจะมิได้บันทึกชื่อของอาฝะและเชี้ยวยีจึงในทะเบียนราษฎรตั้งแต่เกิด รัฐนี้ก็ได้บันทึกชื่อครอบครัวอภิสกุลไพศาลในทะเบียนราษฎรตั้งแต่ พ.ศ.2528 ดังนั้น จุดเกาะเกี่ยวระหว่างรัฐไทยและครอบครัว อภิสกุลไพศาลจึงเป็นจุดเกาะเกี่ยวที่มีประสิทธิผล (Non-Effective Connecting Point) แม้ในปัจจุบัน ฝ่ายปกครองไทยจะ ไม่ยอมรับว่า ครอบครัวอภิสกุลไพศาลมีสัญชาติไทยก็ตาม ครอบครัวอภิสกุลไพศาลจึงมิใช่คนไร้รัฐ แต่เป็นคนไร้สัญชาติ ที่มีชื่อในทะเบียนราษฎรไทย แม้เอกสารของกรมการปกครองจะระบุว่า พวกเขามีสัญชาติ ลีซู แต่ด้วยประเทศลีซูนั้นไม่มีอยู่จริง ดิฉันแปลกใจอย่างมาก
ในทุกครั้งที่เห็นคำว่า"สัญชาติลีซู"ในเอกสารราชการไทย ทั้งที่ ไม่มีประเทศลีซูอยู่บนโลกใบนี้ ดังนั้น หากเราไม่มีความรู้ใน รัฐศาสตร์อย่างดีพอ เราก็อาจจะเข้าใจไปว่า ประเทศลีซูมีอยู่จริง และไม่ตระหนักรู้ว่า บุคคลดังกล่าวนั้นตกอยู่ในความไร้สัญชาติซึ่งจะนำมาซึ่งผลกระทบด้านลบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมาก จึงกล่าวได้ว่า สมาชิกทั้ง 11 คนของครอบครัวอภิสกุลไพศาล ตกเป็นคนไร้สัญชาติจริง ซึ่งอาจจะเป็นความไร้สัญชาติโดย ข้อกฎหมาย หรือโดยข้อเท็จจริงก็ได้ ดังจะได้อธิบายให้ทราบ ต่อไป
ฟังได้ว่า อาฝะได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิด
แม้เอกสารที่รัฐไทยบันทึกเกี่ยวกับอาฝะจะสับสนบางส่วน แต่หากนำพยานบุคคลมาสืบประกอบก็คงไม่มีปัญหา เพราะอาฝะ เป็นชาวเขาซึ่งอาศัยอยู่ในศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาของกรมประชาสงเคราะห์ ดิฉันจึงมั่นใจที่จะฟังเป็นยุติในชั้นนี้ได้ว่า อาฝะเกิดที่บ้านหัวแม่คำ เมื่อราวปี พ.ศ. 2487 ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ ทำให้สรุปผลทางกฎหมายได้ว่า อาฝะได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดโดยกฎหมายลายลักษณ์อักษรของรัฐไทยฉบับแรกว่าด้วย สัญชาติไทย กล่าวคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2456 ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระราชทานโดยในหลวงรัชกาลที่ 6 แม้จะมีบิดามารดาเป็นคนลีซูต่างด้าวซึ่งเกิดที่เมืองตุง(ข้อมูลจากปากคำของอาฝะ) ประเทศพม่า ข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ทำให้อาฝะเสียไปซึ่งสิทธิในสัญชาติไทย โดยหลักดินแดนโดยการเกิด แต่อย่างไรก็ตาม ต้องตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เคยมีการแจ้งการเกิดของอาฝะในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย เพราะอาฝะเกิดก่อน พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499 ซึ่งวางรากฐานของงานทะเบียนราษฎรทั่วประเทศไทย
ฟังได้ว่า เชี้ยวยีจึงได้สัญชาติไทยโดยผลการเปลี่ยนแปลง กฎหมายสัญชาติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500
ในส่วนเชี้ยวยีจึงนั้น เมื่อเราฟังข้อเท็จจริงได้ว่า เชี้ยวยีจึง เกิดจากบิดามารดาลีซูต่างด้าวซึ่งเกิดที่เมืองตุง ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2500 ณ บ้านหัวแม่คำ เชียงราย ก็ต้อง สรุปผลทางกฎหมายว่า ในขณะที่เกิด เชี้ยวยีจึงไม่มีสัญชาติไทยมาตั้งแต่เกิด ทั้งนี้ เพราะกฎหมายสัญชาติไทยในยุคที่เชี้ยวยีจึงเกิด ระบุว่า "บุคคลจะมีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนก็ต่อเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงครบ 2 ประการ กล่าวคือ (1) เกิดในประเทศไทย และ (2) มารดาเป็นคนสัญชาติไทยในขณะที่บุคคลเกิด" เชี้ยวยีจึงจึงไม่อาจได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดน แม้เกิดในประเทศไทย เพราะมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 กฎหมายไทยกลับยอมรับให้คนที่เกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีมารดาสัญชาติไทยดังเช่นเชี้ยวยีจึงได้สัญชาติไทย ขอให้สังเกตว่า การได้สัญชาติไทยของเชี้ยวยีจึงครั้งนี้ก็ยังไม่มี การบันทึกในเอกสารใดๆ ของรัฐ น่าจะยังไม่มีการจัดทำ ทะเบียนราษฎรในพื้นที่ดอยหัวแม่คำ
ฟังได้หรือไม่ว่า อาฝะและเชี้ยวยีจึงถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ?
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นกฎหมายที่มีผลเป็นการถอนสัญชาติไทยของคนที่เกิดในประเทศไทยก่อนวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ซึ่งมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองในลักษณะไม่ถาวร หรือในกรณีที่ไม่มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย มารดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองในลักษณะไม่ถาวร
แล้วอาฝะและเชี้ยวยีจึงเสียสัญชาติไทยเพราะกฎหมายฉบับนี้หรือไม่ ?
คำตอบมีได้เป็น 2 ทาง กล่าวคือ
ทางแรก หากเราฟังได้ว่า บิดาและมารดาของอาฝะและเชี้ยวยีจึงเข้ามาในประเทศไทยก่อนวันที่ประกาศใช้กฎหมาย ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกว่าด้วยคนเข้าเมือง กล่าวคือ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2470 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 บิดามารดาของคนทั้งสองก็จะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ในลักษณะถาวร และส่งผลต่อไปให้บุตรไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อ 1 แห่ง ปว.337 อันหมายถึง อาฝะกับเชี้ยวยีจึงก็จะไม่เสียสัญชาติไทย ข้อเท็จจริงที่พบในเอกสารที่มีไม่อาจให้คำตอบต่อปัญหานี้ได้ เราคงจะต้องลงพื้นที่ไปสอบปากคำ ของครอบครัวอภิสกุลไพศาลที่เชียงราย ศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาที่เชียงรายน่าจะมีคำตอบให้เรา
ทางที่สอง หากเราฟังได้ว่า บิดาและมารดาของอาฝะและเชี้ยวยีจึงเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ประกาศใช้กฎหมาย ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกว่าด้วยคนเข้าเมือง กล่าวคือ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2470 บิดามารดาของคนทั้งสองก็จะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ผลต่อมา ก็คือ บุตรย่อมตกอยู่ภายใต้ข้อ 1 แห่ง ปว.337 กล่าวคือ อาฝะ กับเชี้ยวยีจึงก็จะเสียสัญชาติไทย ความเป็นคนสัญชาติไทยของอาฝะและเชี้ยวยีจึงก็จะสิ้นสุดลงในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515
หากอาฝะและเชี้ยวยีจึงถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศ คณะปฏิวัติฉบับที่ 337 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2515 เราจะแก้ไขปัญหาให้บุคคลทั้งสองได้ไหม ? อย่างไร ?
แม้ว่าอาฝะหรือเซี้ยวยิงจึงจะเสียสัญชาติไทยในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ก็ตาม แต่ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2547 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ดร.โภคิน พลกุล) มีคำสั่งอนุญาตเป็นการทั่วไป ให้บุคคลที่ เสียสัญชาติโดย ปว.337 กลับมีสัญชาติไทย โดยให้ไปยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย ณ สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่นที่มีภูมิลำเนา
ฟังว่า บุตร 10 คนแรกของอาฝะและเชี้ยวยีจึงได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิด และไม่เคยเสียสัญชาติไทย
อาฝะและเชี้ยวยีจึงมีบุตร 11 คน กล่าวคือ (1) นายอาซัง หรือสมหวัง ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2510 (2) นางสาวอาหมีเหมยหรือนวลนภา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2515 (3) นายอาช่วงยิงหรือระยอง ซึ่งเกิดที่เชียงรายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2516 (4) นางสาวไดยิงหรืออารยา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2523 (5) นางสาวอาฝ่าหรืออรนุช ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2525 (6) นายเจียงไฉ่หรืออดิศร ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2526 (7) นายเจียงชิงหรืออนุชิต ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 (8) จำลอง ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 (9) นาย ภากร ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2532 (10) นางสาว ตรีริยา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2534 และ (11) เด็กหญิง อรสา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2535
โดยหลักกฎหมายสัญชาติไทย บุตร 10 คนแรกย่อมได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิดโดยผลอัตโนมัติของกฎหมาย ดังนั้น การที่อำเภอแม่จันนำชื่อเขาเหล่านี้ลงไว้ในทะเบียนราษฎรประเภทคนสัญชาติไทยจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วตามกฎหมายแต่การที่อำเภอแม่จันได้นำชื่อบุตรดังกล่าวออกจากทะเบียนราษฏรดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ เพราะบุคคลดังกล่าวไม่เคยเสียสัญชาติไทย แม้ว่าจะฟังว่า อาฝะและเชี้ยวยีจึงตกอยู่ภายใต้ ปว.337 การเสียสัญชาติไทยของบิดามารดาก็จะไม่มีผลกระทบถึงบุตร หากจะอธิบายโดยภาษากฎหมาย ของศาลฎีกาในคำพิพากษาที่ 989/2533 เราอาจอธิบายได้ว่า บุตร 10 คนแรกมิใช่บุตรของคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะเห็นว่า บุตร 2 คนแรก กล่าวคือ อาซังและอาหมีเหมย เกิดในขณะที่บิดามารดายังมีสัญชาติไทย ในขณะที่บุตรอีก 8 คนต่อมาก็เป็นบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย
ศาลฎีกาในคำพิพากษาที่ 989/2533 ก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า บิดามารดาอาจตกอยู่ภายใต้ ปว.337 แต่บุตรของบิดามารดาหาตกอยู่ภายใต้ ปว.337 ไม่ กรณีดังนี้ได้ถูกยืนยันอีกครั้งโดยกรณีนายยุทธนา ผ่ามวัน ใน พ.ศ.2547 ซึ่งกรมการปกครองได้ยอมรับว่า บุคคลที่เกิดในประเทศไทยจากบิดามารดาที่เกิดในประเทศไทย ย่อมมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยผลของกฎหมาย ดังนั้น เมื่อดิฉันอ่านเจอสูติบัตรของเด็กชายจำลอง แซ่ลี้ ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 8 ของอาฝะและเชี้ยวยีจึง ซึ่งเป็น "สูติบัตรประเภทที่ออกให้แก่บุตรของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดย มิชอบด้วยกฎหมายหรือในลักษณะชั่วคราว" ดิฉันรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากที่พบว่า เด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยผลอัตโนมัติ แต่ถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติไทย มาตั้งแต่เกิด ความไร้สัญชาติอย่างนี้มิได้เกิดจากกฎหมาย แต่เกิดจากข้อเท็จจริงซึ่งมนุษย์ได้ก่อให้เกิดขึ้น และเรื่องนี้ได้เกิดแก่เด็กชายจำลองมาตั้งแต่เขาเกิด จนปัจจุบัน แม้เรื่องของยุทธนา ผ่ามวันจะได้รับการเยียวยาโดยอำเภอสว่างแดนดิน แต่เรื่องของจำลองและพี่น้องอภิสกุลไพศาลยังไม่ได้รับการเยียวยาจากอำเภอแม่จัน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับบุตรคนที่ 11 นั้น อาจได้สัญชาติไทยโดยผลของกฎหมาย หากฟังว่า อาฝะและเชี้ยวยีจึงไม่ตกอยู่ภายใต้ ปว.337 แต่หากฟังว่า อาฝะและเชี้ยวยีจึงเสียสัญชาติไทย โดยผลของ ปว.337 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 บุตรคนที่ 11 นี้ ก็อาจจะไม่มีสัญชาติไทยเลยตั้งแต่เกิด เพราะอาฝะและเชี้ยวยีจึงจะถูกถือว่าเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจแก้ไขได้โดยการเสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดหลักเกณฑ์การให้สัญชาติไทยเพื่อที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะมีคำสั่งอนุญาตให้สัญชาติไทยได้ กรณีนี้คงไม่ง่ายและรวดเร็วนัก แต่ก็เป็นโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาของบุตรที่เกิดตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ของชาวไทยภูเขาที่เกิดในประเทศไทย แต่เสีย สัญชาติไทยโดยผลของ ปว.337 และต่อมาถูกถือเป็นคนเข้าเมือง ผิดกฎหมายตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 โดยมาตรา 7 ทวิ วรรค 3
จะทำอย่างไรให้ข้อกฎหมายบรรจบกับข้อเท็จจริง ?
จะเห็นว่า ครอบครัวอภิสกุลไพศาลย่อมไม่ตกเป็นคนไร้สัญชาติหากจะได้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ดิฉันก็มีทั้ง ความสบายใจและความหนักใจ กล่าวคือ สบายใจก็เพราะเห็นทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว และหนักใจก็เพราะท่ามกลางความผิดพลาดที่แต่ละฝ่ายต่างมีส่วนรับผิดชอบคนละเล็กคนละน้อยนั้น มิใช่ของง่ายที่ผลักดันให้ทุกฝ่ายช่วยกันเยียวยาปัญหาที่ เกิดขึ้นและเรียนรู้ที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก หากเราจะพยายามแก้ไขปัญหาให้ครอบครัวอภิสกุลไพศาล นั้น เราคงต้องยอมรับในความผิดพลาดที่เกี่ยวขึ้นแก่ครอบครัวอภิสกุลไพศาลเสียก่อน ดิฉันเห็นว่า ความผิดพลาดเกิดจากการที่ ภาคราชการที่เกี่ยวข้องต่างก็มิได้ใช้ "หลักกฎหมายสัญชาติ" ในการพิจารณาเพื่อกำหนดสิทธิในสัญชาติไทยของอาฝะและ เชี้ยวยีจึงอย่างถี่ถ้วน โดยหลักการ การลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรนั้น ก็จะต้องพิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติก่อนแล้วจึงมาใช้กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรใน การจัดทำทะเบียนบ้าน
ในกรณีการกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมายไทยของอาฝะและเชี้ยวยีจึงเมื่อ พ.ศ.2528 นั้น เราจะสังเกตว่า อำเภอแม่จันมิได้มีการนำปัญหาความมีผลของ ปว.337 มาพิจารณากับข้อเท็จจริงของอาฝะและเชี้ยวยีจึงอย่างถ้วนถี่ นอกจากนั้น จะเห็นว่า การอนุมัติให้ลงสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านให้แก่อาฝะ และเชี้ยวยีจึงโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2530 ก็เป็นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพิจารณาลงสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน ให้แก่ชาวเขา พ.ศ.2517 จะพบว่า จังหวัดเชียงรายก็มิได้ตระหนักรู้ในความมีอยู่ของ ปว.337 แต่ในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2539 อำเภอแม่จันโดยหนังสือที่ ชร.0516/ท.ร./1067 กลับมายก ปว.337 เพื่อจำหน่ายชื่อและรายการบุคคลของครอบครัวอภิสกุลไพศาลออกจาก ทร.14 อันทำให้ครอบครัวนี้ไม่อาจใช้สิทธิในสัญชาติไทย ข้อเสนอสำหรับกรมการปกครองและอำเภอแม่จันก็คือ กลับมาพิจารณาข้อเท็จจริงของครอบครัวอภิสกุลไพศาลอย่าง ถี่ถ้วนว่า ในประการแรก จะต้องนำข้อเท็จจริงของอาฝะและ เชี้ยวยีจึงมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า ตกอยู่ภายใต้ ปว.337 จริงหรือไม่ ? ซึ่งถ้าไม่ตกภายใต้ ปว.337 ก็ควรจะนำชื่อพวกเขา กลับเข้าสู่ระบบทะเบียนราษฎรให้ถูกต้อง หรือถ้าตกอยู่ภายใต้ ปว.337 ก็ควรจะต้องนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2547 มาใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยไม่ชักช้า
ในประการที่สอง ก็คือ การแก้ไขปัญหาให้แก่บุตร 10 คน แรกนั้น ก็จะต้องนำชื่อพวกเขากลับเข้าสู่ระบบทะเบียนราษฎรให้ถูกต้อง ความเป็นคนสัญชาติไทยของพวกเขานั้นไม่ผูกติดกับการเสียสัญชาติไทยของบิดามารดา
ในประการที่สาม ก็คือการแก้ไขปัญหาให้แก่บุตรคนที่ 11 หากอาฝะและเชี้ยวยีจึงตกอยู่ภายใต้ ปว.337 โดยไม่ชักช้า
บทส่งท้าย
เพื่อให้เรื่องของอาฝะและเชี้ยวยีจึงได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องตามกฎหมายและนโยบาย เราจึงจะประสานขอทราบความคืบหน้าและความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาจากกรมการปกครองจังหวัดเชียงรายและอำเภอแม่จันต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดแก่ครอบครัวอภิสกุลไพศาลนี้ ไม่อาจโทษเจ้าหน้าที่ของอำเภอแม่จันได้เป็นการส่วนตัว เรื่องของระเบียบภายในทางปฏิบัติของกรมการปกครอง และหนังสือสั่งการหลายฉบับในหลายยุคสมัยที่ขัดแย้งกันเองและขัดต่อ พ.ร.บ.สัญชาติเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมด จะเห็นว่า เรื่องซับซ้อน และผิดพลาดดังกล่าวเป็นสิ่งที่กรมการปกครองและอำเภอแม่จันต้องสะสางกันเอง แต่ไม่ควรเอาเรื่องอุปสรรคในระบบราชการมาเป็นอุปสรรคต่อเรื่องของการเยียวยาความเสียหายให้แก่ครอบครัวอภิสกุลไพศาล ซึ่งแนวคิดดังนี้ก็ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนแล้วโดยศาลปกครองสูงสุดในทุกคดีที่ฝ่ายปกครองอ้างความเป็นไปไม่ได้ ในระบบราชการมาปฏิเสธสิทธิของประชาชน เพื่อที่ให้งานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายของเรา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์นิติศาสตร์ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มอบหมายให้นางสาวดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุลและคณะ เข้าให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ครอบครัวอภิสกุลไพศาลและในระหว่างการติดตามกรณีนี้ ก็จะมีการถอดประสบการณ์เพื่อสร้างบทเรียนสำหรับการแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติของชาวไทยภูเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับครอบครัวอภิสกุลไพศาลต่อไป