ปาปาเลย์ คณะตลกหนวดผู้กล้าแห่งกรุงมัณฑะเลย์

โดย ธันวา สิริเมธี


วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2539 ประตูบ้านพักของนางอองซาน ซูจีใจกลางกรุงย่างกุ้งเปิดออกกว้าง เพื่อต้อนรับผู้คนกว่าสองพันที่มาร่วมงานครอบรอบวันเอกราชของประเทศพม่า ช่วงหนึ่งของงานเป็นการแสดงของคณะตลกหนวดชื่อดังจากกรุงมัณฑะเลย์ ผู้คนต่างยืนเบียดเสียดกันแน่นบนท้องถนนเพื่อหามุมที่มองเห็นเวทีได้ถนัด เสียงหัวเราะและ ปรบมือดังออกมาเป็นระยะเมื่อนักแสดงปล่อยมุขตลกโดนใจผู้ฟัง หนึ่งในนั้นคือบทสนทนาโต้ตอบเรื่อง "ใครใหญ่กว่ากัน" ข้างล่างนี้


ชายคนแรกเริ่มเปิดเรื่องด้วยการอวดว่า "วัวของฉันตัวใหญ่มาก"
ได้ยินดังนั้น ชายคนที่สองจึงเกทับกลับไปว่า "ฉันคิดว่าวัวของฉันตัวใหญ่กว่าวัวของนาย เพราะมันสามารถยืนคร่อมภูเขาได้ทั้งลูกและก้มลงมากินหญ้าอีกหมู่บ้านหนึ่งก็ได้"
ชายคนแรกอมยิ้มแล้วบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงผูกวัวของเธอไว้ในบ้านของฉันได้ เพราะบ้านของฉันใหญ่ขนาดที่เด็กคนหนึ่งตกลงมาจากหลังคา กว่าจะถึงพื้นด้านล่างเขาก็กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว"
ชายคนที่สองไม่ยอมแพ้ รีบโต้กลับไปว่า "ถ้าอย่างนั้น ลุงของฉันก็คงจะเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ ได้แน่ ๆ เพราะลุงของฉันใหญ่ขนาดที่คนย่างกุ้งและมัณฑะเลย์สามารถมองเห็นได้ในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว"
ได้ยินดังนั้น ชายคนแรกจึงหัวเราะก่อนจะโต้กลับไปว่า "ถ้าอย่างนั้นลุงของเธอคงจะแต่งงานกับป้าของฉันได้ เพราะเพียงแค่เธอยกเข่าขึ้นมา เข่าของเธอก็จะกระแทกท้องฟ้าดัง ตึม ตึม เหมือนกับเสียงฟ้าร้องยังไงล่ะ และป้าของฉันยังมีงอบ (เป็นสัญลักษณ์ของพรรคเอ็นแอลดี) หนึ่งใบที่ใส่แล้วสามารถคุ้มแดดคุ้มฝนประชาชนทั่วประเทศพม่าได้เลย"

หลังจบประโยคข้างต้น เสียงปรบมือด้วยความชื่นชมในปฏิภานไหวพริบของผู้แสดงบนเวทีก็ดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณบ้านพักของสตรีหมายเลขหนึ่ง เพราะมุขตลกดังกล่าวมีนัยยะต้องการยกย่องว่าพรรคเอ็นแอลดีเป็นเสมือนที่พึ่งของประชาชนทั่วประเทศพม่านั่นเอง

ในเวลานั้นไม่มีใครคาดคิดว่า มุขตลกนี้จะกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักแสดงตลกหนวดสองพี่น้องต้องสูญเสียอิสรภาพเป็นเวลานานกว่าห้าปี และไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่า หลังได้รับเสรีภาพ พวกเขาจะกล้าหวนคืนเวทีและยืนหยัดแสดงตลกเสียดสีรัฐบาลทหารเหมือนเช่นเดิม ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนัก หากเราจะเรียกพวกเขาว่า "ตลกผู้กล้าแห่งกรุงมัณฑะเลย์"

อะเญะปอย ตลกพื้นบ้าน

"ปาปาเลย์" เป็นชื่อเรียกคณะแสดงตลกหนวดสามพี่น้อง ตามชื่อของพี่ชายคนโตซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ บ้านเกิดของพวกเขาอยู่ที่กรุงมัณฑะเลย์ ภาคกลางของประเทศพม่า ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดศิลปะการเต้นรำพื้นบ้านของชาวพม่า ครอบครัวของเขาเริ่มแสดงตลกพื้นบ้านมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ มาจนถึงรุ่นปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 มีสมาชิกเกือบ 30 ชีวิต ประกอบด้วยนักแสดงตลกนำ สามพี่น้อง คือ ปาปาเลย์ ลูซอว์ และลูมอว์ ภรรยาและเครือญาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นนักเต้นรำ นักดนตรี ไปจนถึงผู้ดูแลเวที สามพี่น้อง เริ่มออกแสดงตั้งแต่อายุ 15 ปีจนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว แม้อุปสรรคจะมากมายแต่ด้วยสายเลือดศิลปินที่เข้มข้น ในกายทำให้พวกเขายังคงยึดมั่นในการแสดงเช่นเดิม


ลักษณะการแสดงจะผสมผสานการแสดงพื้นบ้านสองรูปแบบหลักๆ คือ การแสดงอะเญะปอย (A-nyeint pwe) และ การเต้นรำนัท (Nat) หรือการเต้นรำเทพเจ้า การแสดงอะเญะปอย คือ การแสดงในรูปแบบของละครเวทีผสมผสานกับการเต้นรำ ดนตรี การร้องอุปรากรหรือโอเปร่า รวมถึงมุขตลกเสียดสีเหตุการณ์การเมืองหรือชีวิตประจำวัน ส่วนการเต้นรำเทพเจ้าจะใส่เครื่องแต่งกายเป็นเทพองค์ต่าง ๆ ที่ชาวพม่านับถือ และออกมาร่ายรำด้วยท่าเต้นต่าง ๆ กัน

ในอดีตคณะแสดงจะตระเวนไปตามหมู่บ้านที่เจ้าภาพติดต่อให้ไปร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานศพ หรืองานรื่นเริงใดๆ เจ้าภาพจะเป็นคนว่าจ้างนักแสดงและสร้างเวทีชั่วคราวขึ้นมาหน้าบ้านของตน โดยคนในชุมชนสามารถมาร่วมชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเจ้าภาพสู่คนในชุมชน เนื้อหาการแสดงที่นำมาเล่นจะสอดคล้องกับรูปแบบงานของเจ้าภาพและสถานการณ์ บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น การแสดงของคณะตลกจึงทำหน้าที่เป็นผู้บอกข่าวสารระหว่างชุมชนในพื้นที่ที่สื่อสมัยใหม่ยังเข้าไม่ถึงได้เป็นอย่างดี

หลังจากรัฐบาลทหารยึดอำนาจและไม่อนุญาตให้ชุมนุมเกิน 5 คน เจ้าภาพก็เริ่มหวาดกลัวการว่าจ้างคณะตลกไปแสดง ทำให้งานแสดงลดลงเรื่อยๆ แต่ปาปาเลย์ไม่เคยคิดล้มเลิกคณะแสดง เพราะเขาต้องการอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านซึ่งมีต้นกำเนิดจากเมืองมัณฑเลย์ที่เขาอาศัยอยู่เอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อไปรวมทั้งเขามีความสุขที่ได้มอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมท่ามกลางชีวิตที่ไร้เสรีภาพ เมื่ออองซาน ซูจีเชิญไปแสดงในงานครบรอบวันเอกราชแห่งชาติ เขาจึงรับปากโดยไม่ลังเล
โดยไม่ได้คาดคิดว่า การแสดงครั้งนั้นจะทำให้เขาสูญเสียอิสรภาพนานกว่าห้าปี


เช้าวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2539 สามวันหลังจากแสดงที่บ้านอองซาน ซูจี ปาปาเลย์และลูซอว์เดินทางกลับถึงบ้านในกรุงมัณฑะเลย์ เที่ยงคืนวันนั้นหน่วยข่าวกรองมากกว่า 20 คนบุกเข้ามาล้อมบ้านพร้อมกับจับตัวสองพี่น้องไปยังสำนักงานหน่วยข่าวกรอง พวกเขาถูกสอบสวนโดยบังคับให้นั่งเก้าอี้ทรงสูงขาไม่ถึงพื้น ใช้แสงไฟส่องหน้าตลอดทั้งคืน พวกเขาต้องตอบคำถาม ว่าได้แสดงมุขตลกอะไรไปบ้าง และตอบคำถามซ้ำๆ เดิม ๆ เป็นเวลาสองอาทิตย์ก่อนจะถูกส่งเข้าเรือนจำมัณฑะเลย์ โดยตัดสินลงโทษจำคุก 7 ปีในข้อหาทำให้รัฐบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง

ระหว่างการพิจารณาคดี อองซาน ซูจีและผู้นำระดับสูงในพรรคเอ็นแอลดีพยายามเดินทางมาให้ปากคำ แต่ขบวนรถไฟถูกสกัดระหว่างทาง และแยกโบกี้ที่เธอนั่งออกไปจากขบวน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า โบกี้ของเธอเสีย ไม่สามารถเดินทางต่อร่วมกับโบกี้อื่นๆได้ เนื่องจากในปีนั้นเป็นปีแรกที่รัฐบาลทหารเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ซูจีจึงแอบเหน็บแนมรัฐบาลทหารว่า "ปีนี้เป็นปีการท่องเที่ยว รัฐบาลน่าจะซ่อมโบกี้รถไฟนี้ให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นคงใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยวไม่ได้"

สัปดาห์แรกสองพี่น้องถูกกักขังที่เรือนจำมัณฑะเลย์ หลังจากนั้นถูกย้ายไปเรือนจำใหม่อย่างลับๆ ลูซอว์ น้องชายคนที่สามเล่าถึงความพยายามติดตามหาคำตอบครั้งนี้ว่า "พวกเราต้องหาคำตอบด้วยตนเอง โดยการติดสินบนเจ้าหน้าที่เรือนจำให้ช่วยหาข้อมูลว่า พี่ชายทั้งสองคนถูกย้ายไปที่ไหน ในที่สุดเราก็ได้คำตอบว่าทั้งสองคนถูกส่งไปยังค่ายผู้ใช้แรงงานหนัก (Hard Labor Camp) ในรัฐคะฉิ่น ทางภาคเหนือ ของประเทศพม่า ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับกักขังนักโทษคดีอุฉกรรจ์ประเภทปล้น ฆ่า ข่มขืน และไม่เคยมีนักโทษคดีการเมืองคนไหนถูกส่งไปกักขังที่นั่นมาก่อน (โดยส่วนใหญ่นักโทษการเมืองจะถูกส่งไปขังยังคุกอินเส่งในกรุงย่างกุ้ง) พวกเขาถูกย้ายตอนกลางคืนทางรถไฟ โดยเจ้าหน้าที่ใช้หมวกคลุมหน้าและล่ามโซ่ที่ขาทั้งสองข้างตลอดการเดินทาง"

เมื่อไปถึงค่ายดังกล่าว สองพี่น้องก็ต้องแปลกใจกับความแตกต่างของการควบคุมตัว เพราะขณะที่ขาทั้งสองข้างของพวกเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนหนักอึ้ง แต่นักโทษคดีอุฉกรรจ์คนอื่นๆ กลับไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ ทุกๆ วัน เขาต้องยกด้ามขวาน อันหนักอึ้งเพื่อกะเทาะก้อนหินสำหรับสร้างถนน ขณะที่ขา
ทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ตกกลางคืนนอนบนพื้นปูนเปลือยเปล่าในห้องขังเดี่ยว

หลังจากภรรยาสืบข่าวจนรู้ว่าสามีถูกย้ายไปไหน จึงเตรียม อาหารไปเยี่ยมสามี แต่สภาพของสามีในวันนั้นแตกต่างจากเดิมจนจำไม่ได้"ผมต้องตะโกนเรียกภรรยาตัวเองที่เดินผ่านหน้าผมไปโดยไม่หันมามอง พอเธอหันกลับมาก็ทำหน้าตกใจ เพราะผิวหนังดำเกรียมแดดและผมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตามลำตัวเต็มไปด้วยรอยยุงและแมลงกัด"

ปาปาเลย์ทบทวนความทรงจำในวันนั้นให้ฟัง เขายังจำได้ดีว่า คุณภาพชีวิตที่นั่นเลวร้ายจนตัวเขาเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน "เวลาไม่สบาย พวกเราต้องหายาสมุนไพรมารักษากันเอง บางครั้งเวลาทำงานกะเทาะหินจะมีเศษหินกระเด็นใส่หน้าตาจนเป็นแผล ทางเรือนจำก็ไม่มียาให้ พวกเราต้องนอนบนพื้นดินใต้หลังคาที่มีรูรั่ว ถูกยุงและแมลงกัดจนเป็นโรคผิวหนังและโรคมาเลเรีย ผมก็เคยเป็นมาเลเรียมาแล้วหลายครั้ง ผมมองเห็นเพื่อนนักโทษต้องตายทุกๆ สองถึงห้าวัน เนื่องจากทนสภาพทำงานหนักและโรคต่างๆไม่ไหว"

หลังจากอยู่ที่นี่ประมาณสองเดือน ทั้งสองคนถูกย้ายไปอยู่ ในเรือนจำปกติ โดยจับแยกให้อยู่คนละเรือนจำ แต่ยังคงพันธนาการ โซ่ตรวนที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของพวกเขาไว้เช่นเดิม

ในช่วงแรกที่ถูกส่งไปยังเรือนจำใหม่ สองพี่น้องจะถูกนักโทษเก่าทำหน้าที่นักเลงเจ้าถิ่นและผู้คุมกลั่นแกล้งเพื่อลงโทษเขา แต่ในเวลาต่อมา พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นถึงสายเลือดศิลปินที่เข้มข้น ด้วยการแสดงตลกให้เพื่อนนักโทษได้หัวเราะคลายเครียด พวกเขา เปิดการแสดงในคุกทุก ๆ คืนวันพระจันทร์เต็มดวงและเทศกาลต่างๆ จนในที่สุด ทั้งสองพี่น้องก็กลายเป็นขวัญใจของเรือนจำ

ปาปาเลย์ ตลกผู้พี่ย้อนความทรงจำให้ฟังว่า แม้จะถูกทรมานอย่างหนักในคุก แต่เขายังคงมองโลกในแง่ดี
"เวลาผมทำงานหนักๆ ผมก็จะร้องเพลงไปด้วย ผมเชื่อมั่น อยู่ลึกๆว่า ผมจะต้องไม่ตายในคุก สักวันหนึ่ง ผมจะได้มีชีวิตรอดกลับไปเล่นตลกข้างนอกอีก"

ทางด้านลูมอว์น้องชายคนเล็ก หลังจากพี่ชายทั้งสองถูกจับ คณะตลกจึงขาดนักแสดงนำไปถึงสองคน นอกจากนี้ยังถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกแสดงในที่สาธารณะ ลูมอว์จึงต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยการขายบุหรี่ให้นักท่องเที่ยว เขาเริ่มฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง แต่ด้วยสายเลือดศิลปินที่มีอยู่ในตัวสมาชิกทุกคนในครอบครัว เขาจึงยอมเสี่ยงเปิดการแสดงอีกครั้งสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยดัดแปลงชั้นล่างของเรือนแถวห้องหนึ่งกลางกรุงมัณฑะเลย์เป็น "โรงละคร" ขนาดเล็ก มีเวทีไม้กระดานสูงจากพื้นประมาณหนึ่งคืบเป็นพื้นที่แสดง มีเก้าอี้พลาสติกสีแดงไว้สำหรับคนดู เนื่องจากเขาเปิดการแสดงภายใน "บ้านพัก"
ไม่ใช่ "สถานที่สาธารณะ" และแสดงให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติชม เขาจึงไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด รัฐบาลจึงจับตามองความเคลื่อนไหวอยู่ห่างๆ เท่านั้น

ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาดของตลกหนวดผู้น้อง ในทุกๆ ค่ำคืนที่แสดง เขาได้พยายามบอกเล่าเรื่องราวของพี่ชายทั้งสองคนที่ยังถูกจับกุมให้นักท่องเที่ยวได้ทราบ ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นนักเขียนและผู้สื่อข่าว เรื่องราวของคณะตลกหนวดจึงได้รับการเผยแพร่ในสื่อต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้กลุ่มผู้สนับสนุนประชาธิปไตยในพม่าร่วมกันรณรงค์เพื่อปลดปล่อยพวกเขา อาทิ การรวมตัวของคณะตลกหนวดชื่อดังในหลายประเทศ หรือการจัดรณรงค์โดยเจ้าของผลิตภัณฑ์ Body Shop เรียกร้องให้ประชาชนจากหลายประเทศพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนภาพถ่ายใบหน้าของตลกหนวดทั้งสองคนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารปล่อยตัว เป็นต้น ในที่สุด เขาก็ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดเดิมหนึ่งปีครึ่ง จากเดิมกำหนดโทษไว้ 7 ปี เหลือ 5 ปี 6 เดือน

การกลับมาของตลกผู้กล้า


เช้าวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ครอบครัวตลกได้รับ โทรศัพท์จากทางเรือนจำว่า ตลกสองพี่น้องกำลังจะได้รับการปล่อยตัวในอีกสองวันข้างหน้า หลังจากข่าวดีแพร่สะพัดออกไป เช้าวันที่ 15 กรกฎาคม ก่อนปาปาเลย์จะเดินทางกลับมาถึงบ้าน นอกจากบรรดา "แฟนคลับ" จะมารอต้อนรับจนแน่นถนนหน้าบ้านแล้ว ยังมี "หน่วยข่าวกรองเจ้าเก่า" มาตั้งกล้องวีดีโอบันทึกภาพติดตามความเคลื่อนไหวของผู้คนอยู่บนระเบียงบ้านฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

เย็นวันนั้น นักท่องเที่ยวอิตาลีกลุ่มใหญ่ประมาณ 20 คน เดินทางมาพบกับครอบครัวตลกหนวด และขอให้สามพี่น้องกลับมาแสดงตลกพร้อมกันให้พวกเขาได้ชมอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เมื่อข่าวล่วงรู้ไปถึงหน่วยข่าวกรอง ปาปาเลย์จึงถูกเรียกตัวไปลงชื่อรับรองว่าเขาจะไม่กลับมาแสดงอีก ปาปาเลย์แกล้งถามกลับไปว่า "รัฐบาลต้องการเปิดการท่องเที่ยวเพื่อเก็บเงินจากนักท่องเที่ยว แต่พอนักท่องเที่ยวมาถึงและอยากดูการแสดงของเขา กลับไม่อนุญาตให้แสดง พวกคุณจะเอายังไงกันแน่ ผมเซ็นชื่อให้ก็ได้ ไม่มีปัญหา" หลังจากนั้นเขาเซ็นชื่อแล้วกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี


ตกกลางคืน หน่วยข่าวกรองมาเฝ้ารอดูพฤติกรรมปาปาเลย์ เหมือนเช่นเคย ปาปาเลย์ไม่ได้แต่งตัวแต่งหน้าเหมือนนักแสดงคนอื่นๆ พอนักท่องเที่ยวมาถึงก็โวยวายว่าทำไมปาปาเลย์ไม่แสดงด้วย เขาจึงบอกว่า เจ้าหน้าที่ไม่ให้แสดง บรรดานักท่องเที่ยวแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก

หลังจากนั้น ปาปาเลย์ปล่อยให้น้องชายคนเล็กแสดงเพียงลำพัง ส่วนเขานั่งรวมกับกลุ่มผู้ชม พอการแสดงเริ่มต้น ปาปาเลย์จึงแก้เผ็ดเจ้าหน้าที่ ด้วยการยักย้ายท่าทางท่ามกลางกลุ่มผู้ชม แล้วร่วมเล่นตลกจากด้านล่างของเวที นักท่องเที่ยวต่างปรบมือด้วยความชื่นชมในไหวพริบของเขา ส่วนเจ้าหน้าที่ได้แต่นั่งมองปาปาเลย์แสดงตลกตาปริบๆ แทน

นับจากวันนั้น ปาปาเลย์เริ่มรู้ว่า เขามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอำนาจต่อรองกับหน่วยข่าวกรอง เพราะรัฐบาลต้องการเงินจากนักท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวที่มาถึงกรุงมัณฑะเลย์ต้องการชมการแสดงของเขา หากหน่วยข่าวกรองจับกุมเขาเข้าคุก นั่นหมายความว่า สื่อต่างประเทศก็จะต้องประโคมข่าวนี้ทำให้นักท่องเที่ยวลดจำนวนลง

ทุกวันนี้ ปาปาเลย์และคณะยังเปิดการแสดงทุกค่ำคืน เริ่มตั้งแต่สองทุ่มครึ่งจนถึงสี่ทุ่ม พวกเขาแสดงการเต้นรำอะเญะปอยและเต้นรำนัท พร้อมกับสอดแทรกมุขตลกเสียดสีรัฐบาลโดยใช้คำล้อเลียนที่มีความหมายแฝง เช่น หากต้องการเรียกหน่วยข่าวกรองพม่าก็จะเรียกว่า เคจีบี (KGB) แต่หากต้องการพูดถึงอองซาน ซูจี พวกเขาก็จะกล่าวชื่นชมอย่างเปิดเผยโดยไม่หวาดกลัวการถูกจับกุม

"หน่วยข่าวกรองเรียกผมไปตักเตือน 3 ครั้ง บอกว่า ถ้าเสียดสีรัฐบาลอีกก็จะจับเข้าคุก ผมเลยบอกว่า ถ้าอยากให้ผมเลิกเล่นก็จับผมเข้าคุกแทนละกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่กล้าจับผม เพราะมีสื่อต่างประเทศและองค์กรต่างๆ จับตาดูอยู่ ตอนนี้ พวกเราเป็นเหมือนเผือกร้อนที่พวกเขาไม่กล้าแตะ"

ความกล้าหาญของเขาเป็นที่ชื่นชมของอองซาน ซูจี สตรีหมายเลขหนึ่งของพรรคเอ็นแอลดีอย่างมาก ก่อนขบวนรถของเธอ ถูกโจมตีที่เมืองเดพายิน รัฐคะฉิ่น เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2545 และถูกกักบริเวณในบ้านพักมาจนถึงปัจจุบัน เธอแวะชมการแสดงชุดพิเศษจากคณะตลกหนวดที่กรุงมัณฑะเลย์ ในวันนั้น คณะตลกกลับมาแสดงเป็นภาษาพม่าอีกครั้งในรอบหลายปี ผู้ชมหลายพันคนแน่นขนัดทั่วถนนสาย 39 ใจกลางกรุงมัณฑะเลย์

"วันนั้น ซูจีก็นั่งเก้าอี้สีแดงเหมือนกับที่พวกคุณนั่งตอนนี้ เธอเป็นหนึ่งในคนดูหลายพันคน พวกเราดีใจมากที่ได้ต้อนรับเธอที่นี่"

สามพี่น้องตลกหนวดชี้ชวนให้ผู้ชมดูภาพถ่ายซูจีในอัลบั้มรูปและภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่แขวนไว้บนผนังอย่างภาคภูมิใจ อาจกล่าวได้ว่า คณะแสดงตลกอยู่รอดมาได้เพราะอานิสงค์จากการเปิดปีการท่องเที่ยวในปี 2539 เพราะนั่นทำให้พวกเขามีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น

ลูซอว์ น้องชายคนเล็กแสดงความคิดเห็นต่อการท่องเที่ยว ในพม่าต่างไปจากมุมมองของอองซาน ซูจีและกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับการท่องเที่ยวในพม่าว่า "แม้หลายคนจะบอกว่า หากสนับสนุนการท่องเที่ยวในพม่า เงินจะเข้ากระเป๋ารัฐบาลทหาร แต่สำหรับพวกเรา การท่องเที่ยว ทำให้พวกเราได้บอกเล่าความทุกข์ยากสถานการณ์ข้างในผ่านนักเขียน นักข่าว ที่เข้ามาในรูปแบบนักท่องเที่ยว เราไม่มีโอกาสได้ออกไปนอกประเทศเพื่อบอกเล่าความทุกข์ของพวกเรา การท่องเที่ยวจึงเป็นประตูสู่โลกภายนอกที่เราใช้ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ พวกเรามองว่าถ้าไม่มีนักท่องเที่ยว รัฐบาลก็ยังหาเงินจากการขายทรัพยากรอื่นๆ ก็ได้ แต่ถ้าพวกเราไม่มีนักท่องเที่ยว นั่นหมายความว่า พวกเราไม่มีโอกาสบอกเล่าความจริงให้คนภายนอกรับรู้เลย"

ตลกหนวดสามพี่น้องกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้พวกเขากล้าหาญท้าทายอำนาจเผด็จการมาจนถึงวันนี้ได้ก็คือ

"พวกเราเชื่อมั่นว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และการพูดความจริงต้องอาศัยความกล้าหาญเพื่อเอาชนะความหวาดกลัว" ด้วยเหตุนี้ ทุกๆ ค่ำคืน บนถนนสาย 39 ตัดกับถนน 80 และ 81 กลางกรุงมัณฑะเลย์จึงยังคงมีเสียงดนตรีและการร่ายรำพื้นบ้านของคณะตลกหนวดสามพี่น้องให้ชาวต่างชาติได้ชื่นชมและนำเรื่องราวความทุกข์ยากของผู้คนในพม่ากลับไปบอกเล่าให้โลกภายนอกฟังเช่นเดิม