ศิลปะสะท้อนชีวิตจากค่ายเยาวชนไทย-พม่า

อาจกล่าวได้ว่า ภาพวาดหนึ่งภาพ ไม่ว่าจะมาจากฝีมือของจิตรกรมีชื่อเสียงหรือไม่มีใครรู้จักต่างล้วนทำหน้าที่บ่งบอกเรื่องราวความรู้สึกนึกคิดของผู้วาดต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เช่นเดียวกับภาพวาดหลากหลายจากฝีมือจิตรกรเยาวชนรุ่นใหม่จากไทยและพม่ากว่า 40 ชีวิตในกิจกรรม "ค่ายแบ่งปันความฝัน สรรค์สร้างความเข้าใจระหว่างเยาวชนไทย-พม่า" ที่ศูนย์ข่าวสาละวิน จัดขึ้นในช่วงกลางปีที่ผ่านมา



บนซ้าย แผนที่ชีวิตของโจชัว
บนขวา ภาพวาดเรื่องราวของเขื่อนสาละวินผลงานของโรส
ล่างซ้าย ภาพเขื่อนปากมูลของอ้วน
ล่างขวา แผนที่ชีวิตของเมียวอ่อง

ค่ายครั้งนี้มีสมาชิกค่ายเป็นนักกิจกรรมรุ่นใหม่จากภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนจากเขื่อนปากมูล เยาวชนมุสลิมจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเยาวชนกะเหรี่ยงจากภาคเหนือ มาทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักกิจกรรมรุ่นใหม่จากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ของประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็น พม่า กะเหรี่ยง มอญ อาระกัน ไทยใหญ่ ปะโอ คะยา เป้าหมายสูงสุดของค่ายครั้งนี้ คือ สร้างความเข้าใจระหว่างคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวที่สุดแต่กลับถูกขวางกั้นด้วยกำแพงอคติทางประวัติศาสตร์มาช้านาน ค่ายครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกของหลาย ๆ คนที่ได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนต่างพรมแดน

หนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยทำให้เพื่อนจากสองฝั่งพรมแดนเข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น คือ กิจกรรม "แผนที่ชีวิต" ซึ่งทุกคน จะต้องใช้สีเทียนวาดภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่ผ่านมา ผ่านการใช้สัญลักษณ์และสีสันต่างๆ ภายในเวลา 15 นาที หลังจากนั้นจึงเริ่มอธิบายความหมายของภาพให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มของตนซึ่งมีทั้งเพื่อนจากฝั่งไทยและพม่า

ภาพวาดของโจชัว(ชื่อสมมุติ) หนุ่มคะเรนนี วัย 24 ปี เป็นหนึ่งในภาพวาดที่ทำให้เพื่อนคนไทยน้ำตาซึมหลังจากฟังเรื่องราว ของเขา ภาพวาดแบ่งออกเป็นสองส่วน บริเวณฝั่งซ้ายมือถูกแทนที่ด้วยภาพสามเหลี่ยมเล็กๆจำนวนมากล้อมด้วยลายเส้นมองดู คล้ายรั้วลวดหนาม ใต้สามเหลี่ยมเหล่านั้นมีคำว่า "Refugee Camp"(ค่ายผู้ลี้ภัย) ส่วนบริเวณฝั่งขวาของภาพ มีคำว่า "BURMA"(ประเทศพม่า) และ "SPDC"(รัฐบาลเผด็จการพม่า) โดยมีวงกลมเล็กๆ กระจัดกระจาย มีป้ายหัวกะโหลกไขว้และภาพของวิญญาณที่กำลังหลุดลอยออกจากร่าง ทั้งสองฝั่งของภาพถูกคั่นด้วยแม่น้ำสายหนึ่งที่เต็มไปด้วยภาพจระเข้อ้าปากคล้ายกำลังรอเหยื่ออันโอชะ ..!

โจชัวอธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า สามเหลี่ยมที่เรียงรายอยู่หมายถึงบ้านเรือนในค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็น สถานที่ที่โจชัวเติบโตขึ้นมาพร้อมกับหลายร้อยหลายพันชีวิตที่หนีภัยความตายจากการสู้รบมาจากรัฐคะยา ประเทศพม่า ค่าย ผู้ลี้ภัยถูกล้อมไปด้วยรั้วลวดหนาม ซึ่งคนในค่ายไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม ส่วนบรรดาจระเข้ในแม่น้ำที่หันหน้าไปทางค่ายผู้ลี้ภัย ไม่ได้หมายความว่าบริเวณนั้นมีจระเข้อยู่ชุกชุม แต่สัตว์เดรัจฉานที่ดุร้ายเหล่านั้น เขาใช้มันเป็นสัญลักษณ์แทน "ทหารพม่า" ต่างหาก ในภาพจะเห็นจระเข้กำลังอ้าปากรอคอยที่จะปลิดชีวิตใครก็ตามที่ข้ามพ้นมายังบริเวณดังกล่าว ส่วนวงกลมเล็ก ๆ ด้านขวาที่กระจัดกระจายอยู่คือกับระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ผืนดิน และภาพวิญญาณที่ล่องลอยอยู่คือเหยื่อของความรุนแรงที่เกิดขึ้น

เมียวอ่อง(ชื่อสมมุติ) หนุ่มชาวมอญผิวเข้มหนึ่งเดียวในค่าย ใช้สีเทียนเขียวเข้มเพียงสีเดียวเป็นเครื่องมือเล่าเรื่อง เขาเริ่มวาดแผนที่ประเทศพม่าซึ่งติดกับประเทศไทย ที่ฝั่งพม่ามีภาพโรงเรียนหนึ่งแห่งและบ้านหนึ่งหลัง คนจำนวนหนึ่งกำลังเดินออกจากบ้านหลังนั้นมุ่งหน้ามายังเขตประเทศไทย เหนือแผนที่ประเทศพม่ามีภาพปืนสองกระบอกที่หันปากกระบอกไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มีคนกำลังออกจากบ้าน ลูกศรอันหนึ่งโยงจากบ้านหลังนี้ชี้ไปยังบ้านฝั่งประเทศไทย และลูกศรอีกอันหนึ่งชี้จากบ้านฝั่งไทยไปยังบ้านฝั่งพม่า คล้ายแผนภูมิวงจรบางอย่าง

"ภาพวาดของผมหมายถึงผู้คนในรัฐมอญถูกทหารพม่ากดขี่ข่มเหงและละเมิดสิทธิมนุษยชน สงครามกลางเมืองผลักดันให้ผู้คนต้องเป็นผู้พลัดถิ่น และอพยพหนีตายมายังฝั่งไทย ซึ่งรัฐบาลไทยก็พยายามผลักดันให้พวกเขากลับประเทศ" เมียวอ่องบรรยาย

หากพิจารณาภาพของเพื่อนจากฝั่งพม่าเกือบทุกภาพ ล้วนเป็นภาพของความโหดร้ายจากการปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศพม่ามายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ ภาพการอพยพ สงคราม ความขัดแย้ง การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ความแร้นแค้นของประชาชนที่ปรากฏอยู่บน แผ่นกระดาษภาพแล้วภาพเล่า เรื่องเล่าชะตากรรมชีวิตผู้คนที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จากประเทศพม่าถ่ายทอดอกมานั้นแทบไม่ต่างกัน ส่วนภาพวาดของเพื่อนจากฝั่งไทย ส่วนหนึ่งเป็นภาพความสดใสสะท้อนให้เห็นชีวิตอันเรียบง่ายไร้อุปสรรคของหนุ่มสาวที่เพิ่งเติบโตเรียนรู้โลกภายนอก อีกส่วนหนึ่งเป็นภาพของอดีตอันงดงามและความทรงจำอันเจ็บปวด ดังเช่นภาพวาดของอ้วน เยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี

ภาพวาดของเขาแบ่งเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นภาพเขื่อนปากมูล มีคำบรรยายว่า "เขื่อนคือฝันร้าย ทำลายวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติ" ส่วนด้านขวาเป็นภาพของสถานที่เดียวกันคือบริเวณที่สร้างเขื่อนปากมูลที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวและบ้านเรือนริมน้ำ มีเรือชาวบ้านหาปลาอยู่เต็มแม่น้ำที่ไหลได้อย่างอิสระไม่มีแท่งคอนกรีตมาขวางกั้น ลายมือขยุกขยิกบรรยายภาพว่า "อดีตคือสิ่งที่สวยงาม อนาคตต้องกลับมา"

อ้วนเริ่มอธิบายเรื่องราวของตนผ่านภาพวาดว่า "ผมไม่อยากให้มีการสร้างเขื่อนปากมูลเพราะทำลายวิถีชีวิตของชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำ สัตว์น้ำ ป่าไม้ ชีวิต ริมฝั่งแม่น้ำมูลเปลี่ยนไป เมื่อก่อนชาวบ้านพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันแต่พอสร้างเขื่อน ชาวบ้านก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามต่างจังหวัด วิถีชีวิตแบบเดิมเปลี่ยนไป มีการแก่งแย่งชิงดีกัน ผมอยากให้ธรรมชาติและความสงบสุขกลับมาสู่บ้านเกิดของผมอีกครั้ง"

หลังจากฟังเรื่องราวผลกระทบจากเขื่อนของอ้วน บรรดาเพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์จากพม่าหลายคนก็เริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเขื่อนที่กำลังจะสร้างในประเทศพม่าผ่านภาพวาดของเธอเช่นกัน

โรส(ชื่อสมมุติ) สาวน้อยจากรัฐคะเรนนี ชายแดนไทย-พม่า หนึ่งในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนบนน้ำสาละวิน เธอบอกเล่าเรื่องเขื่อนสาละวินโดยวาดภาพแผนที่ประเทศพม่าพร้อมเส้นประแสดงเส้นทางน้ำสาละวินและจุดที่จะมีการสร้างเขื่อน เธอบอกกับเพื่อนๆ ว่า หากมีการสร้างเขื่อน ผู้คนที่ดำรงชีวิตริมน้ำก็จะได้รับความเดือดร้อน เพราะเมื่อมีการสร้างเขื่อนก็ต้องมีการตัดไม้ทำลายป่า ระเบิดแก่ง ปลาก็จะสูญพันธุ์ น้ำท่วมที่อยู่อาศัย กองกำลังชนกลุ่มน้อยกับทหารพม่าก็จะปะทะกัน ชาวบ้านต้องหนีภัยสงครามมายังฝั่งไทย ที่ผ่านมา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบไม่เคยได้ใช้ไฟฟ้าจากเขื่อนที่สร้างในพื้นที่ แต่กลับถูกส่งไปให้คนในเมืองหลวงใช้

ทางด้านลี่และมัน ชายหนุ่มมุลสิมจากภาคใต้เริ่มแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ของตนเช่นกันว่า ประชาชนชาวพม่าและชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่างก็ต้องเผชิญความรุนแรงไม่แตกต่างกัน พวกเขาได้แต่ขอภาวนาให้เพื่อนชาวพม่าทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับความสงบสุขบนแผ่นดินเกิดเร็ววัน เช่นเดียวกับชาวมุสลิมในบ้านเกิดของพวกเขา เพราะสันติภาพเท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนทุกคนมีความสุข

แม้ว่าระยะเวลาของการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายครั้งนี้จะสั้นเพียงแค่สามวัน แต่สมาชิกค่ายทุกคนต่างรู้สึกร่วมกันว่า หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ภายในค่ายครั้งนี้ กำแพงอคติทางประวัติศาสตร์ในใจของพวกเขาได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ไม่ยึดติดเส้นพรมแดนอีกต่อไป