โดย Sai Leng
ขึ้นชื่อว่า "ควาย" หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "เจ้าทุย" ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ดูจะเป็นสัตว์ที่น่าสงสาร เพราะต้องทำงานหนักรับใช้คนจนแทบไม่มีเวลาหยุดพักเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าทุยในรัฐฉาน ประเทศพม่า มาตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 20 ปี และได้เรียนรู้ว่า การเกิดเป็นเจ้าทุยในรัฐฉาน นอกจากจะต้องทำงานหนักเหมือนกับเพื่อนทุยทุกแห่งหนแล้ว พวกมันยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารแบบป่าเถื่อน รวมทั้งได้รับผลกระทบจากนโยบายกวาดล้างชนกลุ่มน้อยและสงครามกลางเมืองเช่นเดียวกับเจ้านายของมันอีกด้วย
เรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นความทุกข์ของเจ้าทุยในบ้านเกิดของผมเพราะพวกมันตกเป็นเหยื่อของปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่ยืดเยื้อเรื้อรังเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศพม่า
ช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดของควายคือช่วงฤดูฝน นั่นเพราะมันต้องทำงานเพาะปลูกข้าวให้แล้วเสร็จ โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควายหัดใหม่ที่ยังไม่เคยงานไถนามาก่อนจะถูกตีด้วยเชือกจนถึงกับเลือดตกยางออกน้ำตาไหลในช่วง 2 - 3 วันแรก ตอนที่ผมเห็นควายเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกสงสารมันมากจนแอบร้องไห้ออกมา คิดอยู่ในใจว่า "ทำไมมันต้องมาทำงานหนักอย่างนี้ เราไม่ได้ต้องการอาหารหรือผลผลิตอะไรมากขนาดนี้นี่นา" ตอนนั้นผมยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ได้แต่ตามพ่อกับพี่ชายไปเลี้ยงควายในช่วงก่อนที่จะมีการไถนา
ในแต่ละปี เราจะทำนา 1 ถึง 3 ครั้ง หากเจ้าทุยตัวไหน เกิดมาในครอบครัวเจ้านายที่ยากจน หลังเสร็จสิ้นนาของเจ้านายแล้ว พวกมันจะต้องไปทำงานรับจ้างให้กับนาของคนอื่น เพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเจ้านาย ซึ่งเวลาไปทำงานให้กับคนอื่น พวกมันมักถูกใช้งานหนักมากกว่าเดิม และได้พักน้อย เพราะผู้เช่าถือว่าพวกมัน ไม่ใช่ควายของเขาและต้องการใช้งานให้คุ้มกับค่าเช่า
วันแล้ววันเล่า ที่ควายต้องทำงานหนัก อย่างนี้เคียงข้างกับคน มันลำบาก กว่าเจ้าของมาก และแทบไม่มีเวลาที่จะหากินอย่างอิสระ จะมีเวลากินหญ้าเฉพาะช่วงระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน แล้วยังจะต้องช่วยแบกของหนักอยู่บนหลังอีกด้วย
เมื่อฤดูหนาวมาถึง เจ้าของจะปล่อยควายของตนให้ออกหากินเองอยู่ช่วงหนึ่งเป็นการเพิ่มพลังหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการตรากตรำงานหนัก แม้ว่าช่วงเวลาที่ควายต้องอยู่ห่างจากเจ้าของจะเป็นช่วงที่ควายได้พัก แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาเสี่ยงอันตรายของพวกมันมากที่สุดเช่นกัน เนื่องจาก หากพื้นที่นั้นมีทหารพม่าเคลื่อนกำลังพลเข้ามาประจำการจำนวนมาก พวกมันก็จะตกเป็นเป้าของปลายกระบอกปืนกลายเป็นอาหารมื้ออร่อยของบรรดาทหารเหล่านี้ ควายหลายตัวจึงไม่มีโอกาสรอดกลับมาทำนารับใช้เจ้านายอีกต่อไป ผมไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย พวกมันไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่ไม่ว่ามันจะไปที่ไหนก็หนีไม่พ้น เพราะค่ายทหารกระจายอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้าในรัฐฉาน ที่ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนและที่หากินของพวกควาย ก็กลับกลายมาเป็นที่ตั้งของค่ายทหารไปเสียหมด ทางการก็แค่ไล่คนในพื้นที่ให้ออกไปอยู่ที่อื่นมิหนำซ้ำ เวลาที่ทหารเคลื่อนพลเข้ามาในรัฐฉาน นั่นหมายถึงสิ่งที่น่ากลัวกำลังจะมาเยือนผู้คน ในพื้นที่และรวมไปถึงพวกควายด้วย
เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่แร้นแค้นอย่างนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก เพราะความต้องการอาหารต้องมากขึ้น ตามไปด้วย ชาวบ้านต้องนำอาหารส่วนหนึ่งไปให้ทหารตามคำสั่ง ซึ่งอาหารพวกนั้นล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกควายทั้งสิ้น นอกจากนี้ ชาวบ้านยังต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงของตนเพื่อนำไปเป็นอาหารเลี้ยงกองทัพอีกด้วย จึงทำให้สัตว์เลี้ยงน้อยใหญ่ในหมู่บ้านค่อยๆ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ เมื่อจำนวนควายเหลือน้อยลงทุกที ควายที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดอยู่จึงต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะที่นั่นไม่มีรถไถ มีเพียงสัตว์เลี้ยงที่ชาวบ้านจะพึ่งพาอาศัยใช้แรงงานได้เท่านั้น
การที่กองทัพส่งทหารเข้ามาในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารในพื้นที่นั้นๆ ชาวบ้านทำมาหากินแทบไม่ได้ ทหารยึดเอาที่นาไปเป็นของตัวเองหมด ชีวิตคนในพื้นที่ต้องตกอยู่ในอันตราย เมื่อกองทัพ มีคำสั่งอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่ไปยังที่ที่ทางการจัดให้ เจ้าควายนี่แหละ ที่ต้องทำหน้าที่แบกสัมภาระให้กับชาวบ้าน ซึ่งการสั่งอพยพไม่มีการประกาศล่วงหน้า สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ยิ่งมีการอพยพมากเท่าไหร่มันก็เหนื่อยมากเท่านั้น นอกจากนี้ ที่อยู่แห่งใหม่อาจไม่มีหญ้าไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับพวกมัน แถมอาจต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้พวกมันเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น
ทุกครั้งที่ย้ายไปอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ พวกมันต้องเริ่มต้นทำงานหนักอีกครั้ง เพราะต้องไถปรับพื้นที่ใหม่สำหรับเพาะปลูก เมื่อทหารบังคับใช้แรงงานประชาชนเพื่อก่อสร้างโครงการพัฒนาต่างๆ โดยไม่จ่ายค่าแรง คนยากจนที่ไม่มีเงินสำหรับประทังชีวิตก็ต้องเริ่มขายควายหรือใช้งานมันหนักขึ้น บางคนต้องขายสัตว์เลี้ยงเพื่อนำเงินมาเลี้ยงปากท้อง บางครั้ง ทหารพม่าจะสั่งให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ค่ายทหาร นำเนื้อวัวบ้าง เนื้อไก่บ้าง หรือเนื้อหมูไปให้พวกเขาทำอาหารทุกอาทิตย์ ถ้าชาวบ้านไม่หาไปให้ก็จะถูกปรับหรือถูกลงโทษ
การบังคับย้ายถิ่นก่อให้เกิดแต่เรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจในประเทศเรียกได้ว่าแทบจะล่มสลาย
ก่อนที่รัฐบาลทหารจะยึดอำนาจและเข้ามาปกครองประเทศผู้คนดำรงชีวิตแบบพอเพียง สามารถอยู่รอดได้ในพื้นที่ทำการเกษตรของตน ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องขายสัตว์เลี้ยงเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว แต่ปัจจุบัน ฝูงวัวควายจำนวนมากต้องถูกต้อนข้ามชายแดนไปขายยังประเทศไทย โดยมีปลายทางอยู่ที่โรงฆ่าสัตว์ แต่เนื่องจากกว่าจะเดินทางไปถึงชายแดนต้องข้ามภูเขาลัดเลาะผ่านพื้นที่ทุระกันดาร ลูกวัวควายบางตัวที่คลอดระหว่างทางเดินตามแม่ไม่ทันก็ต้องถูกทิ้งไว้ให้เผชิญหน้ากับความตายอย่างโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับควายที่แก่มากแล้วหรือตัวที่ไปต่อไม่ไหวเพราะไม่ได้กินอาหารก็ต้องจบชีวิตลงระหว่างทางเช่นกัน
ตอนที่ผมเดินทางมาถึงประเทศไทย ผมมีโอกาสคุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นพ่อค้าต้อนวัวควายไปขายที่ประเทศไทย เขาบอกว่า การเดินทางต้อนวัวควายนั้นลำบากมาก เขาทนอยู่กับสภาพที่เลวร้ายเช่นนั้นต่อไปไม่ไหว จึงต้องมาเป็นแรงงานหาเช้ากินค่ำในประเทศไทย ซึ่งเขาคิดว่าดีกว่างานต้อนวัวควายหลายเท่าเพราะมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ ถึงแม้บางครั้งจะมีปัญหาเรื่องค่าแรงกับนายจ้างบ้างก็ตาม
เพื่อนผมผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาวัยเยาว์ของเขาที่เต็มไปด้วยฝูงวัวควาย บางตัวก็หยอกล้อกัน บางตัวก็ขวิดกันบ้างตามประสา แต่ตอนนี้ทั้งวัวควายและหญ้าต่างเหลือน้อยลงแล้ว พวกมันดูผอมโซ เขาคิดถึงสัตว์ที่เขาเคยเลี้ยงและคลุกคลีมา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงอยู่ที่ไหน "คิดดูสิ มันจะอยู่กันยังไงตามลำพังไม่มีใครเลย ถ้าเป็นเราบ้างที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็คงอยู่ได้ไม่นาน" เขาพูดถึงเพื่อนคู่กายในอดีตด้วยความเป็นห่วง
ก่อนหน้านี้ เวลาที่ผมสังสรรค์กับเพื่อนๆ ผมมักสั่งอาหารที่ทำมาจากเนื้อควายอยู่บ่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่า พวกวัวควายที่นี่มาจากไหน แต่หลังจากรู้ว่า เนื้อควายเหล่านี้ส่วนหนึ่งเดินทางมาจากที่ไหน ผมก็กินไม่ลงอีกเลย